ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1921 ยอมแล้ว
ตอนที่ 1921 ยอมแล้ว
………………..
หรงซิวพยักหน้าแล้วพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ถูกต้อง ตระกูลส่วนใหญ่ที่อยู่ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ถูกแบ่งออกเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง สอง สาม มีสองตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้รวมอยู่ภายในนั้น หนึ่งคือ ตระกูลหนาน ส่วนอีกหนึ่งคือ ตระกูลอี้”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
“เหตุใดสถานะของตระกูลทั้งสองตระกูลนี้ถึงแตกต่างออกไปล่ะ”
หรงซิวหัวเราะขึ้นมา
“เรื่องนี้พูดไปแล้วมันก็ยาว เจ้าจำได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เมื่อหมื่นปีก่อนเกิดสงครามสะท้านฟ้าขึ้นที่สุสานสังหารเทพ และมีผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายไป”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
นางจำเรื่องนี้ได้แน่นอน
“ตอนนั้นสถานการณ์ของสงครามดุเดือดเป็นอย่างมาก ได้ยินมาว่าคนจำนวนมากที่ต่อสู้ในสุสานสังหารเทพ และมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน สงครามที่ดุเดือดเช่นนั้น ทำให้เกิดการระเบิดของพลังสวรรค์และโลกขึ้น แทบจะทำให้ท้องฟ้ามืดมิดไร้อาทิตย์ แรงคุกคามค่อยๆ ขยายไปด้านนอกสุสานสังหารเทพ ซึ่งตอนนั้นผู้ฝึกตนในระดับธรรมดากำลังอยู่ที่นั้น”
ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เมื่อพิจารณาจากฝ้ายหลุมศพจำนวนมากที่พวกเขาเห็นมาก่อนหน้านี้ สถานการณ์ในสงครามเมื่อตอนนั้นอาจจะทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรงอย่างมาก
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมารวมตัวเพื่อประมือกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่ากลัวแน่นอน
“ยังดีที่ต่อมามีคนผู้หนึ่งออกมาขัดขวาง เขาได้วางค่ายกลเอาไว้ที่ด้านนอกสุสานสังหารเทพ จนกระทั่งการต่อสู้ที่ดุเดือดสิ้นสุดลง ในที่สุดค่ายกลนั้นถึงได้แตกสลาย แต่อย่างไรก็ตามมันก็สามารถปกป้องคนที่อยู่ภายนอกสุสานสังหารเทพเอาไว้ได้”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน สามารถทำได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
“คนผู้นั้นมีฐานะลึกลับอย่างมาก ไม่มีใครรู้จักเขา หลังจากเรื่องนี้สิ้นสุด คนผู้นั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตามข่าวลือบอกว่า ในตอนนั้นบรรพบุรุษของตระกูลอี้และตระกูลหนานเป็นผู้ติดตามของคนคนนั้น”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจขึ้นมาในทันที
“แต่ต่อมา ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ติดตามคนผู้นั้นอีก แต่กลับค้นหาพื้นที่ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่เพื่อลงหลักปักฐาน และสร้างตระกูลของตัวเอง จนกลายมาเป็นตระกูลหนานและตระกูลอี้ในปัจจุบันนี้”
หรงซิววางถ้วยน้ำชาลง และใช้ปลายนิ้วเรียวยาวลูบที่ปากถ้วยเบาๆ ทำให้เกิดเสียงเบาบาง
“เวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ก็ถูกฝังกลบไปนานแล้ว คนที่รู้ก็มีเพียงไม่กี่คน แต่ตระกูลหนานและตระกูลอี้จะถือตนว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น พวกเขาไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก คนที่รู้จักพวกเขาก็มีเพียงแต่ตระกูลอันดับหนึ่งที่ได้รับการสืบทอดมาเท่านั้น”
มิน่าล่ะ…
เมื่อได้ยินหรงซิวอธิบายดังนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที ว่าทำไมก่อนหน้านี้นางถึงไม่เคยได้ยินชื่อของตระกูลหนานมาก่อน
อีกทั้งในตอนที่เจอกับหนานอีอีและคนอื่นเป็นครั้งแรกที่ด้านนอกของสุสานสังหารเทพ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงดูเย่อหยิ่งขนาดนั้น
ตระกูลหนานและตระกูลอี้…
เป็นตระกูลที่อยู่เหนือตระกูลชั้นนำเหล่านั้น
“ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ตระกูลหนานและตระกูลอี้เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในสุสานสังหารเทพอย่างนั้นหรือ แต่ก่อนหน้านี้…เหตุใดหนานอีฝานถึงได้หวาดกลัวเจ้าขนาดนั้น”
ฉู่หลิวเยว่ลองถามหยั่งเชิง
นางไม่ได้ถามคำถามนี้เป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้หรงซิวตอบนางอย่างส่งๆ มาโดยตลอด เขาบอกว่าเขากุมจุดอ่อนของหนานอีฝานเอาไว้ นั่นจึงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวเขา
แต่รู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่ยังมีบางอย่างแปลกไป
ท่าทางของหนานอีฝาน…เหมือนไม่ใช่แค่โดนคุกคามเพียงอย่างเดียว
อีกฝ่ายยังแฝงด้วยความเคารพและหวาดกลัวอยู่หลายส่วน
จริงด้วย…
แม้หนานอวี่สิงจะพูดอยู่ตลอดว่าตนเองนั้นมาแก้แค้นให้กับหนานอีอี แต่ถ้าไม่มีการอนุญาตจากหนานอีฝาน เขาจะสามารถนำผู้อาวุโสระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากขนาดนั้นมาด้วยได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“จริงสิ ไม่รู้ว่าตอนนี้ลั่วเหยี่ยนและคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง…”
ตั้งแต่วันที่ท่าเรือดอกท้อเกิดความวุ่นวาย นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาสามวันแล้ว
ภายในสามวันนี้ ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวก็อยู่ภายในจวนเยว่เพื่อจัดการกับเรื่องราวที่ตามมา
ลักษณะภูมิประเทศของเทือกเขาด้านนอกท่าเรือดอกท้อแทบจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด แต่ยังดีที่สถานที่แห่งนี้มีพลังแห่งสวรรค์และโลกอุดมสมบูรณ์ และมีการช่วยเหลือจากพื้นที่มิติขนาดเล็กของซานซาน ดังนั้นจึงสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่ภายในเมืองท่าเรือดอกท้อ แม้ว่าจะถูกโจมตีไม่น้อย แต่ยังดีที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เสียหายอะไรมาก
ส่วนสำนักกระบี่ทมิฬถูกกวาดล้างไปทั้งหมดแล้ว
แม้กระทั่งจวนของพวกเขาก็ถูกผู้คนทำลายให้ราบเป็นหน้ากองด้วยความโมโห
แต่ช่วงนี้จวนเยว่กลับดูครึกครื้นมากยิ่งขึ้น
ที่ด้านนอกประตูจะมีคนมารอเป็นจำนวนไม่น้อยทุกวัน
มีบ้างที่มาแสดงความขอบคุณ และมีบ้างที่พวกเขาอยากจะเข้ามาทำงานที่จวนเยว่
แต่โดยสรุปแล้วพวกเขาล้วนอยากติดตามฉู่หลิวเยว่
หลังจากผ่านเรื่องราวเหล่านั้น ผู้คนที่รอดชีวิตในท่าเรือดอกท้อก็ได้รวมตัวกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาล้วนเลื่อมใสและให้ความเคารพฉู่หลิวเยว่เป็นอย่างมาก และยินดีที่จะติดตามด้วยความสมัครใจ
เหตุผลที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ นอกจากจะติดหนี้บุญคุณของฉู่หลิวเยว่แล้ว พวกเขายังรู้สึกเลื่อมใสฝีมือและพรสวรรค์อันแข็งแกร่งของนางด้วย ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญ
ค่ายกลของท่าเรือดอกท้อถูกปกคลุมด้วยพลังของทัณฑ์ทลายเทพหนึ่งชั้น ซึ่งตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ได้เป็นคนควบคุมมันอย่างสมบูรณ์แล้ว
ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่ได้กลายเป็นนายท่านของท่าเรือดอกท้อแห่งนี้แล้ว
ก่อนหน้าที่ฉู่หลิวเยว่จะมาที่นี่ นางก็พยายามค้นหาสถานที่มากมายเพื่อก่อตั้งกองกำลังของตนเอง
แต่จะมีที่ไหนเหมาะสมไปกว่าท่าเรือดอกท้อแห่งนี้อีก?
ดังนั้นนางจึงพายเรือตามน้ำ เก็บท่าเรือดอกท้อใส่กระเป๋าของตัวเอง
นางเป็นคนควบคุมค่ายกล สำหรับท่าเรือดอกท้อแล้ว นางจึงเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดภายในที่แห่งนี้!
หลายวันที่ผ่านมานี้ นางได้ส่งซานซานและคนอื่นๆ ไปจัดการเรื่องราวเหล่านั้นแล้ว
คัดกรองผู้คน จัดตั้งผู้คุ้มกัน ตรวจสอบสถานะ กักขังผู้คนอย่างมีระบบ
ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนมากอยากเข้าร่วมจวนเยว่ ดังนั้นต่อให้มีคนส่วนน้อยที่มีปัญหา แต่พวกเขาก็ไม่กล้าก่อเรื่อง
ซานซานอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานจึงคุ้นเคยกับสถานการณ์ภายในเมือง
การจัดการเรื่องเหล่านี้จึงราบรื่นเป็นอย่างมาก
อีกทั้งมีเฉินอีและคนอื่นคอยช่วยเหลือ ดังนั้นงานจึงมีประสิทธิภาพสูงมาก
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉู่หลิวเยว่มีเวลาว่างมานั่งจิบชากับหรงซิว
ที่นางถามคำถามนี้ออกมาก็เป็นเพราะว่า หลังจากวันนั้นลั่วเหยี่ยนและผู้อาวุโสตระกูลหนานอีกสามคนก็ถูกขังเดี่ยว
…ใช่แล้ว ในเมื่อมีภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย ท้ายที่สุดคนเหล่านี้ก็ไม่ได้หลบหนีออกไป
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เยี่ยนชิงไปสอบสวนมาสามวันแล้ว อีกไม่นานก็คงจะได้ข้อมูล”
หัวคิ้วของฉู่หลิวเยว่ขยับเล็กน้อย ท่าทางลังเล
“แต่ท้ายที่สุดแล้วสี่คนนั้นก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ หากอยากจะถามอันใดจากปากของเขา เกรงว่ามันคงจะไม่ง่าย…”
ทันทีที่สิ้นเสียง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้น
“ฝ่าบาท พระชายา”
คนที่มาใหม่เดินมาอย่างสงบ คนผู้นั้นคือเยี่ยนชิงนั้นเอง
ฉู่หลิวเยว่สังเกตได้ทันที เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กลิ่นหอมสดชื่นหลังอาบน้ำลอยโชยมา
นี่เป็นการจัดการทำความสะอาดแบบพิเศษ
แต่อย่างไรก็ตามบนร่างกายของเขายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ
เห็นได้ชัดว่ากระบวนการสอบสวนสามวันที่ผ่านมานั้น…
เยี่ยนชิงทำความเคารพแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“มีคนหนึ่งยอมแล้วขอรับ”
คำพูดประโยคนั้นแทรกความคิดของฉู่หลิวเยว่ขึ้นมา
นางถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ยอมแล้ว?”