ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1927 ฮูหยินสำคัญที่สุด
ตอนที่ 1927 ฮูหยินสำคัญที่สุด
………………..
ฉู่หลิวเยว่หมายตาภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยมาโดยตลอดจริงๆ
ล้อกันเล่นหรือไร!
ใครบ้างไม่อยากได้สมบัติที่ถูกจัดอยู่ในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่กัน?
แม้วันนั้นนางจะง่วนอยู่กับทัณฑ์ทลายเทพ แต่ก็ยังคงจับสังเกตของสิ่งนี้ได้อยู่
ตอนนี้ลั่วเหยี่ยนตกอยู่ในกำมือพวกเขาแล้ว ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยย่อมต้องส่งต่อให้พวกเขาเช่นกัน
ลั่วเหยี่ยนหยุดนิ่งมิขยับเขยื้อนอยู่นานทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
“เหตุใด ทำใจไม่ได้หรือ?”
ลั่วเหยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
จนป่านนี้แล้ว ยังจะพูดเรื่องทำใจได้ไม่ได้อีก?
เขาล้วงหยิบเอาม้วนกระดาษสีแดงสดยื่นส่งไปให้
เปลวเพลิงสีทองอร่ามในมือฉู่หลิวเยว่พลันพุ่งทะยาน แปรสภาพกลายเป็นเอ็นหวายทะลุข้ามค่ายกลไป ก่อนจะเข้าเกี่ยวรัดแล้วดึงเอาม้วนภาพมา
ลั่วเหยี่ยนเหลือบตามองภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยเป็นครั้งสุดท้าย
เดิมทีเขายังคิดอยู่เลยว่า สบโอกาสเมื่อไรจะจรลีไปจากที่นี่เสีย
ทว่าหลังจากได้ฟังคำพูดพวกนั้นของหรงซิวและฉู่หลิวเยว่จนจบ เขาก็ตัดใจลงโดยสมบูรณ์
ไม่ว่าจะหนีไปหรืออยู่ที่นี่ต่อ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คือตายเสียเดี๋ยวนี้
ฉู่หลิวเยว่ถือภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยเอาไว้ในมือ กะน้ำหนักเอาคร่าวๆ แล้วพบว่าเบาหวิวมากทีเดียว
หนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่อย่างภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อย สมบัติเก่าเก็บประจำตระกูลของตระกูลหนาน…
ดันตกมาอยู่ในมือของนางได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ลั่วเหยี่ยนเองก็เอ่ยตอบคำถามส่วนใหญ่กลับไป
เขาหมดอาลัยตายอยากไปแล้วโดยสิ้นเชิง
เขาโกรธแค้นฉู่หลิวเยว่และหรงซิวเหลือเกิน หากว่าไม่มาพบเจอพวกนางในอาณาจักรเสิ่นซวี่เข้า หนานอีอีย่อมไม่มีทางเลือกทางเดินที่มิอาจหวนกลับมาได้อีก
เขาแสนจะชิงชังหนานอีฝานด้วยเช่นกัน เพื่อหนานอวี่สิง เพื่อตำแหน่งประมุขนั่น เขาถึงลงมือกับหนานอีอีได้อย่างลงคอ!
ดังนั้น เขาที่เป็นพวกทำอันใดก็ต้องทำให้ถึงที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร จึงบอกกล่าวเรื่องราวทุกอย่างที่รู้ออกไปตรงๆ จนหมดสิ้น
เขาอยากให้พวกมันทั้งสองฝ่ายฆ่ากันให้ตายไปข้าง!
…
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวก็ออกจากคุกใต้ดินไป
ลั่วเหยี่ยนมิได้ร้องขอความตาย แม้ว่าเขาจะอยากตายให้รู้แล้วรู้รอดก็ตาม
แต่เขายังอยากเห็นว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะดำเนินไปสิ้นสุดอย่างใดอยู่ดี!
ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว เขาจึงนั่งจมอยู่ในความเงียบงันตรงนั้นอย่างก่อนหน้าไม่มีผิด
เมื่อเยี่ยนชิงที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงฝีเท้า ก็รีบสาวเท้าเข้าไปต้อนรับทันที
“ฝ่าบาท พระชายา”
เมื่อเห็นว่าบนดวงหน้าของฉู่หลิวเยว่แฝงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เยี่ยนชิงก็พลันกระจ่างว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงราบรื่นไม่มีปัญหา
ในใจเขาบังเกิดความนับถือขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ก่อนหน้านี้เขาใช้ทุกวิถีทาง ก็มิอาจทำให้ลั่วเหยี่ยนปริปากได้ ฝ่าบาทและพระชายาลงไปครั้งเดียวก็ถามมาได้เสียแล้ว
หลังจากเดินห่างออกมา ฉู่หลิวเยว่ก็หันศีรษะกลับไปมองคราหนึ่ง
“ดูเหมือนต่อไปคงต้องส่งคนมาเพิ่มแล้ว”
นางไม่อยากให้คนพวกนี้ได้ตายเร็วขนาดนั้น
หรงซิวพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย เพียงแต่มิได้ออกปากว่าจะช่วยเหลือ
“เจ้าอยากไว้ชีวิตลั่วเหยี่ยนหรือ?”
เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับ
“แน่นอนอยู่แล้ว แม้หนานหงหยางจะเป็นพยานให้ได้เหมือนกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าน่าเชื่อถือสู้ลั่วเหยี่ยนไม่ได้ อีกอย่าง… เมื่อครู่เขาพูดพล่ามออกมามากมายปานนั้น ไม่ใช่เพราะอยากให้เรากับตระกูลหนานตีกันหรอกหรือ? เช่นนั้น… ข้าก็จะให้โอกาสนี้แก่เขา คิดเสียว่าช่วยเติมเต็มความฝันเขาหน่อยก็แล้วกัน”
น้ำเสียงของฉู่หลิวเยว่ผ่อนคลายยิ่ง
ลั่วเหยี่ยนกำลังคิดอันใดอยู่ นางล้วนรู้แจ้งแก่ใจดี
เพียงแต่นางไม่คิดจะใส่ใจ
หนานอวี่สิงและหนานอีอีล้วนสิ้นชีพไปหมดแล้ว พวกลั่วเหยี่ยนเองก็บาดเจ็บล้มตายไม่ใช่น้อย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยตกมาอยู่ในมือนางอีก
ครั้งนี้ตระกูลหนานสูญเสียไปมหาศาล ย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้
สงครามอันน่าสะพรึงคงยากจะหลีกเลี่ยงได้แล้ว
หรงซิวพยักหน้าด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยกัน?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“งั้นหรือ? ชัดเจนขนาดนั้นเชียว?”
นางแค่เคยได้ยินมาว่าทรัพย์สมบัติตระกูลหนานมีอยู่ไม่น้อยเท่านั้นเอง…
หรงซิวคว้ามือของนางมากุม
“ในเมื่อจัดการเรื่องฟากนี้เรียบร้อยแล้ว เยว่เออร์ก็คงแบ่งเวลามาให้สามีได้บ้างแล้วกระมัง”
พูดจบ ก็ลากตัวคนเดินกลับไปทั้งอย่างนั้น
เยี่ยนชิงพลันนึกถึงเสียงหัวเราะขบขันก่อนหน้านี้ของน้องแปดขึ้นมาได้ จึงหยุดชะงักฝีเท้าในบัดดล
ฉู่หลิวเยว่ได้วางเรื่องหนักใจลงในที่สุด ทั้งยังได้ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยมาครอบครองอีก จิตใจย่อมเบิกบานอย่างยิ่ง จึงปล่อยให้หรงซิวเคี่ยวกรำตามใจชอบ
ผลลัพธ์คือความอลวนคราวนี้จึงลากยาวไปจนถึงช่วงพลบค่ำ
ครั้นถึงยามสนธยา ภายในจวนเยว่ก็เริ่มจุดไฟตะเกียง
ภายในห้องนอน ฉู่หลิวเยว่เอนพิงอ้อมอกของหรงซิว เรือนผมสีดำดุจแพรไหมสยายทั่ว
เปลวเทียนส่องสว่าง ฉายส่องให้ดวงหน้าของนางทวีความงดงามดุจภาพวาด สวยหยดย้อยหาสิ่งใดเทียม
นางยืดแขนออกจากผ้านวม เรียวแขนดุจรากบัวหยกบอบบางยิ่ง ทั้งยังขาวใสและเนียนละมุน
ผ้าปักบนร่างร่วงผล็อย เผยให้เห็นว่าบนไหปลาร้าของนางมีรอยแดงแต่งแต้มอยู่หลายจุด
หรงซิวหลุบตามองนาง ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว ก่อนจะตอดเล็กตอดน้อยคนในอ้อมแขนอีกครา
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปตวัดสายตาจ้องเขาอย่างโมโห
น่าเสียดายที่สายตาที่มองมาครานี้ไร้ซึ่งอำนาจสยบโดยสิ้นเชิง กลับกันมันแฝงด้วยความน่าเอ็นดูและแววเย้ายวนอย่างสาวน้อยที่ชวนให้ลุ่มหลงเป็นพิเศษ
หรงซิวคว้ามือของนางไว้ด้วยท่าทีซุกซนอยู่หลายส่วน
ในตอนที่เขากำลังจะพลิกร่าง ฉู่หลิวเยว่พลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“ไม่ได้! ข้ายังมีเรื่องต้องทำ!”
หรงซิวหัวเราะเบาๆ ยกมือของนางมาประทับจุมพิตแผ่วเบา สุ้มเสียงยังคงเจือแววแหบพร่าหลายส่วน
“เรื่องอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ชักมือกลับ รีบควานหาเหตุผลอย่างรวดเร็ว
“ข้า ข้ายังไม่ได้ตรวจสอบภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยนั่นเลย!”
เดิมนางก็สงสัยใคร่รู้ในของสิ่งนี้อยู่แล้ว วางแผนดิบดีว่ากลับมาจะตรวจสอบดูเสียหน่อย กลายเป็นว่ายังไม่ทันทำอันใดก็ถูกหรงซิวลากไปก่อน
หรงซิวส่งเสียง “อืม” ในลำคอเบาๆ คราหนึ่งราวกับกลั้นหัวเราะ ทั้งยังแฝงด้วยอากัปกิริยาล่องลอย ปากคอยพรมจูบไล้ไปตามเรียวนิ้วของนางอย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนหนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่อย่างภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยจะสำคัญยิ่งกว่ามือนางที่ถูกพรมจูบอยู่เสียอีก
“เจ้าก็ตรวจสอบไปซี”
เขางอแขนของตน จัดแจงให้ฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนท่าทางนอนให้สบายยิ่งขึ้นภายในอ้อมอกเขา
ฉู่หลิวเยว่เองก็ชักมือกลับมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ครุ่นคิดไปมา ก่อนจะหยิบเอาภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยออกมาจากแหวนเฉียนคุน
มันเป็นม้วนกระดาษสีแดงสดยาวประมาณหนึ่งจั้ง ปลายด้ามจับทั้งสองด้านถูกแกะสลักเป็นลวดลายเมฆมงคล
ดูแล้วเหมือนม้วนภาพธรรมดาทั่วไปไม่มีผิด
มืออีกข้างของฉู่หลิวเยว่ตวัดเบาๆ!
ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยจึงถูกคลี่ออกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ!