ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1929 เป้าหมาย
ฉู่หลิวเยว่มีท่าทีตกใจจนปิดไว้ไม่มิด
นางเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยมาแล้ว
ในบรรดาสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ลือชื่อ ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยนับว่าเป็นชิ้นที่ไม่สะดุดตาอย่างยิ่งยวดโดยแท้
เพราะมันไม่มีพลังต่อสู้อันใด จนแทบจะกลายเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่พกพาได้อยู่รอมร่อ
นอกจากจะใช้ส่งคนในยามคับขัน ช่วยชีวิตคนแล้ว ในยามปกติมันก็แทบไร้ซึ่งประโยชน์ใดโดยสิ้นเชิง
อีกอย่างกระทั่งเรื่องนี้ ก็ใช่ว่าจะทำได้สำเร็จทุกรอบด้วย
ก่อนหน้านี้พวกลั่วเหยี่ยนเองก็แพ้พ่ายไปไม่ใช่หรือ
เพราะค่ายกลของท่าเรือดอกท้อพังทลาย ภาพวาดเมฆาล่องลอยจึงโดนลูกหลงจากฝั่งของฉู่หลิวเยว่ไปด้วย ท้ายที่สุดเลยตัดขาดจากพวกเขาไปอีกรอบ
มองเช่นนี้แล้ว ชื่อเสียงของสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยชิ้นนี้แบกไว้ก็ออกจะผิดเพี้ยนไปอยู่มากทีเดียว
ที่ฉู่หลิวเยว่ฉวยมันมาจากลั่วเหยี่ยน ความจริงแล้วก็เข้าหลักการทำนองว่า “มิอาจปล่อยปละละเลยสมบัติชิ้นใดไปได้” เสียมากกว่า
นอกเหนือจากนั้นก็คือมีความสงสัยใคร่รู้ปนอยู่ด้วยไม่น้อย
หากถามว่าคาดหวังอันใดจากของสิ่งนี้หรือไม่…
ก็ตอบได้ว่าไม่เลยจริงๆ
ตัวฉู่หลิวเยว่เองครอบครองหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์อยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งของสิ่งนี้ยังเป็นสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงขจรไกลมากที่สุดด้วย
ดังนั้นที่นางคอยจับตาดูของสิ่งอื่น แท้จริงแล้วก็มองไปอย่างนั้น
แต่ให้ตายอย่างใดนางก็คิดไม่ถึง…
ที่แท้ภายในภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยจะซ่อนงำความลับเช่นนี้เอาไว้!
ค่ายกลระดับสูงมากมายปานนี้เรียงรายแน่นขนัดอยู่รวมกันจะแปลว่าอันใดไปได้?
ยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งเลือดตาแทบกระเด็น ระดมความคิดสุดความสามารถในการวางค่ายกล บางทียังดีไม่เท่าการแตะลงบนภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยเบาๆ เช่นนี้ด้วยซ้ำ!
นี่คือการบดขยี้ขั้นพื้นฐานอย่างใดอย่างนั้น!
นี่ต่างหากเล่าคือสมบัติที่แท้จริง!
กระทั่งฉู่หลิวเยว่ที่เคยเห็นสมบัติเลอค่ามานับไม่ถ้วน ตอนนี้เองก็ตกตะลึงไปเช่นเดียวกัน
ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยนี้เกินกว่าที่นางจินตนาการไปมากโข!
หรงซิวแทบไม่เคยเห็นท่าทีตอบสนองเช่นนี้ของนางจึงใช้เวลาดื่มด่ำอยู่พักหนึ่ง ในใจชมชอบเสียจนเครียดเกร็ง อดทนแล้วอดทนอีก ถึงควบคุมตัวเองไม่ให้ไปลากคนกลับขึ้นเตียงได้
“ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยถูกจัดอยู่ในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ได้ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว”
มุมปากของเขาอมยิ้ม ราวกับกำลังแผ่กระจายความคลุมเครือที่แฝงอยู่ไปทั่วใบหน้า
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปมองเขา
“…เจ้ารู้อยู่แล้ว?”
หรงซิวหลุดหัวเราะพลางส่ายศีรษะ
“นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยเหมือนกัน แต่ข้ารู้อยู่แล้วว่าหนานอีฝานให้ความสำคัญกับของสิ่งนี้อย่างมาก บัดนี้เข้าใจเสียทีว่าที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง”
มือของฉู่หลิวเยว่ลูบบนภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยไปมาแผ่วเบา
ค่ายกลสามอันนั้นก็พุ่งแวบกลับไปอย่างรวดเร็ว
กลับไปอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนหน้าทุกประการ
กระแสคลื่นในใจฉู่หลิวเยว่ยังคงกระหน่ำมิยอมสงบอยู่นาน
ตัวนางคือปรมาจารย์
นางจึงรู้แจ้งแก่ใจว่าสมบัติเลอค่าเช่นนี้มีพลังต่อสู้ที่น่าตื่นตะลึงมากขนาดไหน!
จะพูดว่าใช้หนึ่งสยบหมื่นก็มิใช่คำกล่าวที่เกินจริงเลยด้วยซ้ำ!
“จริงด้วย ตระกูลหนานหยิ่งผยองปานนั้น สิ่งของที่สะดุดตาพวกเขาได้จะเป็นของธรรมดาสามัญได้อย่างใด… แล้วก็ ขอแค่มีค่ายกลจำนวนมากขนาดนี้รวมอยู่ด้วยกัน ก็จะมีพลังอันแข็งแกร่งในระดับที่สามารถทำลายช่องว่างอากาศเมื่อไรก็ได้”
“แต่ในเมื่อภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยยอดเยี่ยมเช่นนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้พวกลั่วเหยี่ยนถึงไม่ใช้กันเล่า?”
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย
“ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยเป็นสมบัติของตระกูลหนาน หากเดาไม่ผิดละก็ เริ่มแรกสุดคงเป็นหนานอีฝานมอบให้หนานอวี่สิงใช้ในกรณีเข้าตาจน เพียงแต่ภายหลังอาจเป็นลั่วเหยี่ยนไปพูดอันใดหรือทำอันใดบางอย่างเข้า ถึงได้ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยมาอยู่ในมือตนเอง น่าเสียดายที่เขาไม่รู้วิธีใช้ภาพวาดเมฆาล่องลอยอย่างแท้จริง จึงสูญเสียโอกาสหลบหนีไปเช่นนี้”
หากตอนนั้นเขาสามารถเปิดใช้ค่ายกลพวกนี้ ต่อให้ค่ายกลของท่าเรือดอกท้อพังทลายไปแล้ว พวกเขาก็คงไม่ถูกพลังของฉู่หลิวเยว่หยุดยั้งไว้ จากนั้นก็หนีออกไปได้อย่างราบรื่นแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย
ตอนที่นางรับเอาของสิ่งนี้มา ผนึกป้องกันด้านบนเองก็ไม่มีไอลมปราณของลั่วเหยี่ยนเลยจริงๆ
“ครานี้ตระกูลหนานสูญเสียไปมหาศาล หนานอีฝานต้องไม่อยู่เฉยแน่”
ฉู่หลิวเยว่จ้องภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยพักหนึ่ง สุดท้ายก็เก็บมันกลับไป
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาคิดจะทำอันใด?”
หนานอีฝานย่อมรู้ข่าวแล้วอย่างแน่นอน รู้ว่าฟากนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง
ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด
นี่ออกจะผิดปกติอยู่ไม่น้อย
หรงซิวหัวเราะคิก
“ตอบโต้ข้าศึกด้วยกองกำลัง รับมือน้ำหลากด้วยการกั้นเขื่อนอย่างใดเล่า”
น้ำเสียงของเขาแฝงแววเอ้อระเหย สีหน้าผ่อนคลาย ราวกับมิรู้สึกว่าสิ่งนี้จะเป็นภัยคุกคามใดเลยแม้แต่น้อย
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
นางสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าหรงซิวกุมความได้เปรียบใดของหนานอีฝานไว้ในมือแน่…
“จริงสิ เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวจากฝั่งถ้ำปีศาจทมิฬเลยเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่พลันนึกถึงอันใดบางอย่าง จึงเอ่ยถามออกไปด้วยความใคร่รู้ไม่น้อย
ในวันนั้น นางเห็นชัดเจนว่าดวงหน้าของมั่วอวิ๋นปรากฏอยู่บนลายสลักของถ้ำปีศาจทมิฬ
สำนักกระบี่ทมิฬทั้งหมดคงจะเป็นกำลังของถ้ำปีศาจทมิฬนั่นเอง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาถึงได้ลอบส่งคนจำนวนหนึ่งมาก่อตั้งกลุ่มที่เรียกว่าสำนักกระบี่ทมิฬที่ท่าเรือดอกท้อ
ด้านหนึ่งก็เพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะผู้ฝึกตน อีกด้านหนึ่งก็คือเพราะหมายปองสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นที่ฝังอยู่ใต้ท่าเรือดอกท้อ
ฉู่หลิวเยว่พอจะเข้าใจเหตุผลข้อหลังได้
ที่พวกเขาคิดจะแย่งชิงมาคงจะเป็นผลึกสีฟ้าทึมพวกนั้น
เพียงแต่พวกเขากลับคาดไม่ถึงว่ามัวสาละวนอยู่ตั้งนาน สุดท้ายกลับถูกนางตัดขาดฉับพลัน
เพียงแต่จนตอนนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่เข้าใจในเหตุผลข้อแรกอยู่ดี
“ถ้ำปีศาจทมิฬลักลอบเฟ้นหาผู้ฝึกตนไปมากขนาดนี้เพื่ออันใดกัน? พวกที่มีพรสวรรค์หน่อยก็เอาไว้ คนไหนธรรมดาก็ฆ่าทิ้งไม่เหลือ… นี่พวกเขาคิดจะทำอันใดกันแน่?”
เมื่อคิดถึงภาพฉากที่ได้เห็นก่อนหน้านี้ ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกสั่นสะท้านด้วยหวาดผวา
สองสามปีมานี้ ถ้ำปีศาจทมิฬทำท่าทีเหมือนตัดขาดจากโลกีย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีการเคลื่อนไหวในที่ลับอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว!
หรงซิวพลันเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้ายังจำเหตุการณ์ตอนที่เจ้าได้รับโล่ได้อยู่หรือไม่?”
………………..