ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1930 ความวุ่นวายก่อตัว
“จำได้”
ฉู่หลิวเยว่เก็บหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์กลับไป ก่อนสาวเท้าเดินไปทางหรงซิว
“เหตุใดหรือ?”
หรงซิวกล่าวว่า
“กลุ่มคนที่ประมือกับพวกเราตอนนั้นก็มีบางส่วนที่มาจากถ้ำปีศาจทมิฬด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตกใจก่อนเป็นอันดับแรก ในแววตาแฝงไว้ซึ่งความตื่นตกใจ จากนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
“… ข้าน่าจะรู้ได้ตั้งนานแล้ว…”
ตอนนั้นท่าเรือดอกท้อมีคนมากมายผสมปนเป ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ตัวตนที่ชัดเจนของกันและกัน
อีกอย่างพอมีเรื่องขโมยสมบัติเกิดขึ้น ผู้คนก็ยิ่งรวมตัวกันมากกว่าเก่า จึงย่อมมิอาจตรวจสอบที่มาของคนทุกคนได้อย่างชัดเจน
ฉู่หลิวเยว่ในตอนนั้นมิรู้เลยว่าตนเองถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอดไว้ในมือ ดังนั้นหลังจากเรื่องราวจบลงก็ไม่ได้ใส่ใจอีก
บัดนี้พอมาคิดดูแล้ว คนของถ้ำปีศาจทมิฬก็ไล่ตามโล่สีดำมาตั้งแต่แรกแล้วน่ะสิ?
หรือไม่ก็ไล่ตามเนื้อเพลงฉินส่วนที่อยู่ภายในร่างของนาง…
ฉู่หลิวเยว่นิ่วหน้าน้อยๆ
หรงซิวยื่นมือไปหานาง รวบเอาตัวคนเข้าอ้อมอก จากนั้นประทับจูบลงกลางกระหม่อม
“วางใจเถอะ ไม่ว่าใครจะมาก็ยังมีข้าอยู่”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง
“เจ้าหมายความว่า… คนของถ้ำปีศาจทมิฬและตระกูลหนานต่างก็มุ่งหน้ามาที่นี่?”
มุมปากของหรงซิวหยักยกน้อยๆ
นางมักจะหัวไวอยู่เสมอ ทั้งยังสามารถคาดเดาความหมายของคำพูดเขาได้ในคราเดียว
“ท่าเรือดอกท้อเป็นสถานที่อันเลอค่า หลายปีมานี้มีคนจำนวนมากต่างหมายปอง แต่เพราะต้องเผชิญกับค่ายกลที่ไม่เสถียรจึงไม่อาจลงมือได้ บัดนี้เจ้าได้ท่าเรือดอกท้อไปครอง ไม่แปลกที่จะทำให้คนจำนวนมากพากันอิจฉาตาร้อน”
แท้จริงแล้วฉู่หลิวเยว่เองก็เดาได้ถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว
สองสามวันมานี้นางจึงให้พวกเฉินอีเร่งมือจัดการเรื่องสำคัญในท่าเรือดอกท้อ เพื่อจะได้เตรียมตัวรับมือกับอันตรายที่คืบคลานเข้ามา
เพียงแต่ว่าแค่นั้นอาจจะยังไม่พอ
“ไม่ช้าคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็คงมาถึง ท่าเรือดอกท้อนี่เป็นของเจ้า ใครก็มาแย่งไปจากเจ้าไม่ได้”
สุ้มเสียงของหรงซิวเรียบเรื่อย หากแต่แฝงด้วยแรงกดดันรุนแรงที่ขจัดออกไปไม่ได้ง่ายๆ!
ลึกลงไปในแววตาราวกับมีกระแสคลื่นน้ำโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเก่า
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าน้อยๆ
“วางใจเถอะ ของของข้า ข้ารักษาไว้ได้อยู่แล้ว”
…
ข่าวเรื่องฉู่หลิวเยว่ยึดครองท่าเรือดอกท้อไว้ได้กระจายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ในไม่ช้า
ทุกตระกูลใหญ่ต่างตกอยู่ในความอลวนวุ่นวายด้วยใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความตื่นตะลึง!
ท่าเรือดอกท้อน่ะหรือ!
นั่นมันพื้นที่ชั้นยอดที่คนนับไม่ถ้วนในอาณาจักรเสิ่นซวี่ลอบจ้องตาเป็นมันกันนี่นา!
ทั้งเฟื่องฟูไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก ตำแหน่งชัยภูมิหรือก็ยอดเยี่ยม ไหนจะทรัพยากรธรรมชาติที่มีให้ใช้ได้ไม่หมดไม่สิ้น…
เป็นพรมแดนที่เลิศล้ำมิอาจจินตนาการได้โดยแท้!
แม้ว่าหลายปีนี้จะมีคนนับไม่ถ้วนย่อยยับกลับมา แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โอบกอดความหวังริบหรี่นั่นเอาไว้ คิดหาโอกาสทำให้ท่าเรือดอกท้อตกมาเป็นของตนให้ได้
พวกที่มีความคิดเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นตระกูลชั้นสูงทั้งสิ้น
…ส่วนพวกที่ระดับและพลังอ่อนแอลงมาแม้จะมีฝันใหญ่โต แต่ต่างก็รู้ว่าตัวเองมิอาจทำได้สำเร็จ
คนทั้งหลายต่างเคยเกิดคำถามนี้ขึ้นมาในหัวว่า ท้ายที่สุดแล้วท่าเรือดอกท้อจะไปตกแก่ใครกันแน่?
อีกทั้งคนผู้นั้นคือฉู่หลิวเยว่ด้วย!
ตัวตนของนางคือใครกัน?
พระชายาของหรงซิว โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์!
ลูกศิษย์ของหนานซู่ไหว เจ้าสำนักหลิงเซียว!
ทายาทสืบทอดของซั่งกวนจิ้ง ช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์!
ชื่อนี้กลายเป็นชื่อที่โด่งดังไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ในระยะนี้เลยก็ว่าได้
ไม่เพียงแต่เพราะสถานะที่กล่าวมาข้างต้น ยังเป็นเพราะนางยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสองอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลอันยิ่งใหญ่ด้วย!
ใครไม่รู้บ้างว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของนางคือนายหญิงน้อยแห่งเผ่าหงส์ทองคำ?
ใครไม่รู้บ้างว่าประมุขเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงไปพระราชวังเมฆาสวรรค์เพื่อมอบของกำนัลแสดงความยินดีให้แก่นางและหรงซิวโดยเฉพาะ!?
ทว่าต่อให้เป็นแบบนี้แล้ว การบอกว่านางยึดครองท่าเรือดอกท้อไว้ได้ก็ยังยากจะเหลือเชื่ออยู่ดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข่าวลือที่ว่านางใช้พลังของตัวเองสร้างค่ายกลของท่าเรือดอกท้อขึ้นมาใหม่เลย!
นั่นน่ะเป็นเรื่องเพ้อฝันชัดๆ!
ตระกูลชั้นสูงมากมายปานนั้นเคยยกกองกำลังทั้งตระกูลไปหวังจะได้ครองท่าเรือดอกท้อ สุดท้ายล้วนแตกพ่ายกลับมาทั้งนั้น!
นับประสาอันใดกับแม่นางอายุน้อยคนหนึ่ง
ไม่มีใครเชื่อข่าวที่ว่าแม้แต่น้อย
ทว่าข่าวที่แพร่ตามออกมาทีหลัง กลับทำให้พวกเขาต้องเชื่อสุดใจว่าบัดนี้ท่าเรือดอกท้อตกอยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่แล้วโดยสมบูรณ์!
…
“ได้ยินว่าคนของนางเข้าควบคุมท่าเรือดอกท้อทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ทางเข้าออกสองทางของท่าเรือดอกท้อ ประตูหนึ่งที่เชื่อมกับทางเข้าเขตแดนและอีกประตูที่อยู่อีกด้านล้วนถูกคนของนางวางกำลังรักษาการณ์ไว้แล้ว ใครคนไหนเข้าออกก็จะโดนตรวจสอบอย่างเข้มงวด”
ณ ตระกูลอี้
เดิมเรื่องที่สำคัญที่สุดในวันนี้ของพวกเขาคือการตัดสินคัดเลือกนายน้อยของตระกูลอี้
ผลกลับกลายเป็นว่าจู่ๆ ข่าวของท่าเรือดอกท้อก็ถูกส่งมา ทำให้บรรดาคนทั้งหลายต่างตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวาย
พวกเขาจึงต้องแบ่งความสนใจส่วนหนึ่งไปให้ท่าเรือดอกท้ออย่างเสียมิได้
แม้ว่าตระกูลอี้จะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่สนใจ
ยิ่งไปกว่านั้น จริงๆ แล้วหลายปีมานี้ตระกูลอี้เองก็มีความคิดหมายจะยึดครองท่าเรือดอกท้อด้วยเช่นกัน
บัดนี้ยังไม่ทันจะได้ลงมือ ก็ถูกคนชิงตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง
ใครจะรับได้กันเล่า?
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยพลางลูบสางเคราของตน ก่อนทอดถอนใจยาวเหยียด
“นี่เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน… ด้วยความเร็วระดับนี้แล้ว ช่างลงมือว่องไวเสียจริง!“
“เฮอะ ลำพังแค่นางคนเดียวจะไปงับเอาท่าเรือดอกท้ออันใดได้? ข้าว่าผู้ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังคงเป็นพระราชวังเมฆาสวรรค์ไปแล้วแปดส่วน!”
ผู้อาวุโสอีกท่านเอ่ยพลางแค่นเสียงขึ้นจมูก
พระราชวังเมฆาสวรรค์ที่ว่า แท้จริงแล้วก็คือหรงซิวนั่นเอง
คนจำนวนมากพากันพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวเป็นสามีภรรยากัน เรื่องนี้หรงซิวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไปได้อย่างใดกัน?
“ได้ยินมาว่าพวกคนที่ซั่งกวนเยว่พามาล้วนเป็นผู้ที่ติดตามนางจากด้านนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ตั้งแต่คราวก่อน ดูแล้วก็ไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจอันใด ทั้งยังจัดการเรื่องต่างๆ ในท่าเรือดอกท้อได้ไม่ดีนัก เบื้องหลังพวกนี้… คงจะเป็นคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์คอยให้ความช่วยเหลือกระมัง?”
ใครคนหนึ่งเอ่ยคาดเดาออกมา
ความจริงแล้วมิได้มีเพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้
แทบจะทุกคนเลยด้วยซ้ำที่ต่างก็มีความคิดเช่นนี้
ผู้อาวุโสที่เอ่ยปากเป็นคนแรกขมวดคิ้ว พลางกล่าวด้วยความลังเลอยู่หลายส่วนว่า
“แต่… ข่าวที่ข้าได้รับบอกว่าซั่งกวนเยว่มีลูกน้องคนหนึ่งที่เหมือนจะอยู่ในท่าเรือดอกท้อมาแล้วหลายปี ทั้งยังเจริญก้าวหน้าในธุรกิจเสียด้วย เหมือนจะชื่อ… ชื่อเถ้าแก่ซานอันใดสักอย่าง… ชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดังทีเดียว”
นี่ก็พิสูจน์แล้วมิใช่หรือว่าแท้จริงแล้วนางกับคนของนางก็มีความสามารถอยู่บ้าง?
ทว่าคนส่วนใหญ่กลับมิได้นำพาคำพูดนี้
“ใครจะรู้ว่าในนั้นแอบซ่อนความฉาวโฉ่อันใดไว้บ้าง อย่างใดเสียข้าก็คิดว่าที่เจ้าซั่งกวนเยว่ผู้นั้นครอบครองท่าเรือดอกท้อได้… ความจริงแล้วคงเป็นเพราะพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนจำนวนมากถึงยึดครองได้สำเร็จ”
ยิ่งไม่ต้องคิดถึงว่าผู้หนุนหลังของนางนั้นแข็งแกร่งเพียงใด!
“น่าเสียดาย! ที่ตรงนั้นเป็นที่ดีแท้ๆ!”
…
จวินจิ่วชิงนั่งลงยังที่ของตน นัยน์ตาหลุบต่ำเล็กน้อย ใบหน้ามิแสดงอารมณ์ใดออกมา
ในตอนที่ทุกคนกำลังทอดถอนใจอย่างเสียดายอยู่นั่นเอง อี้เหวินเทาก็เดินออกมาจากหอบรรพชน
คนทั้งหลายต่างพากันเงียบเสียงลงในบัดดล
“เรื่องนายน้อยตระกูลอี้ ข้าได้ทำการคัดเลือกคนที่เหมาะสมเอาไว้แล้ว”
สายตาของอี้เหวินเทากวาดมองทุกคน สุดท้ายก็หยุดลงที่จวินจิ่วชิง