ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1932 อดเปรี้ยวไว้กินหวาน / ตอนที่ 1933 จารึก
ตอนที่ 1932 อดเปรี้ยวไว้กินหวาน / ตอนที่ 1933 จารึก
………………..
ตอนที่ 1932 อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
คนจำนวนมากต่างสบสายตากันด้วยความตกใจ
ใครคนหนึ่งเลียบๆ เคียงๆ ถามขึ้นมาว่า
“… ท่านประมุขหมายถึง… ท่าเรือดอกท้อหรือขอรับ?”
อี้เหวินเทาผงกศีรษะ
“ถูกต้อง”
“ท่าเรือดอกท้อมีพลังแห่งสวรรค์และโลกสมบูรณ์พร้อม แม้หลายปีมานี้จะมีคนเข้าออกอยู่ตลอด แต่เพราะการสั่นสะเทือนของช่องว่างในอากาศ ค่ายกลไม่มั่นคง ทรัพยากรธรรมชาติด้านในนั้นจึงไม่ถูกใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้น แหล่งชัยภูมิพิเศษของท่าเรือดอกท้อเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
อี้เหวินเทาเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา
เขาไม่คิดจะปิดบังความทะยานอยากในท่าเรือดอกท้อภายในน้ำเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล
“แต่… ตอนนี้ท่าเรือดอกท้อตกอยู่ในความดูแลของซั่งกวนเยว่ หากพวกเราบุ่มบ่ามเข้าไป เกรงว่า…”
อี้เหวินเทาคลี่ยิ้มออกมา
“นางเป็นพระชายาของหรงซิว โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ ตั้งตนเป็นราชาครองท่าเรือดอกท้อเช่นนั้นจะนับเป็นอันใดได้?”
คนจำนวนมากลอบพยักหน้า
คำพูดนี้ก็มีเหตุผลเช่นกัน…
อีกอย่างทั้งสองคนนั้นเพิ่งอภิเษกสมรสกันได้ไม่นาน
การกระทำเช่นนี้ของฉู่หลิวเยว่ย่อมเลี่ยงที่จะทำให้ผู้อื่นคิดมากได้ยาก
เพียงแต่ยังไม่ได้กำจัดความเป็นไปได้ที่ว่านี่คือความคิดของหรงซิว
“อีกอย่าง ในอาณาจักรเสิ่นซวี่น่ะ ผู้แข็งแกร่งคือทุกอย่าง”
แม้อี้เหวินเทาจะยิ้มอยู่ หากแต่แววตากลับแฝงด้วยแววยโสอยู่หลายส่วน
ต่อให้ตอนนี้ท่าเรือดอกท้อจะเป็นของซั่งกวนเยว่ การที่นางรักษาเอาไว้ได้ต่างหากจึงจะนับว่ามีความสามารถ!
“จิ่วชิง เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
เขาหันศีรษะไปมองจิ่วชิงแวบหนึ่ง
แววตาของจวินจิ่วชิงเป็นประกายน้อยๆ
“ท่านประมุขพูดถูกต้องทุกอย่างขอรับ”
อี้เหวินผงกศีรษะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนรีบกลับไปเตรียมตัวได้ทันที พรุ่งนี้จะออกเดินทางกัน!”
…
ตระกูลอี้ตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือชิงท่าเรือดอกท้อ
ทว่าตระกูลที่เลือกเช่นนี้ ไหนเลยจะมีแค่พวกเขา
ณ ตระกูลหนาน
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว บนยอดเขากลับยังคงสว่างเรืองรอง
ภายในห้องกว้างขวางโอ่โถง ตอนนี้บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหนานมารวมกันอยู่ที่นี่จนหมดสิ้น
หนานอีฝานผู้ครองตำแหน่งประมุขนั่งอยู่ด้านบน
บรรยากาศราวกับถูกแช่แข็งก็มิปาน ทุกคนต่างพากันเงียบกริบมิส่งเสียง
ผ่านไปสักพัก หนานอีฝานถึงได้กล่าวออกมาว่า
“… เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ เดิมพวกอวี่สิงไปท่าเรือดอกท้อเพื่อหาตัวฆาตกรที่ฆ่าอีอี ผลลัพธ์กลับพบว่าหรงซิวและซั่งกวนเยว่เป็นคนออกคำสั่ง ทว่าพวกเขาส่งข่าวกลับมาได้ไม่นาน ก็…“
สุ้มเสียงของเขาทั้งทุ้มต่ำและแหบพร่า
คนทั้งหลายยิ่งทวีความเงียบกริบมากกว่าเก่า
หากเรื่องพวกนี้เป็นความจริง ก็แปลว่าผู้ที่สังหารพวกหนานอีอีและหนานอวี่สิงก็คือพวกหรงซิวมิใช่หรือ?”
“นอกจากอวี่สิงแล้ว ผู้อาวุโสทั้งแปดท่านที่ติดตามไปด้วยก็บาดเจ็บล้มตายกันมากกว่าครึ่ง หากเดาไม่ผิดแล้วละก็ ตอนนี้คงเหลือแค่ลั่วเหยี่ยนและคนอื่นอีกสามคน… อีกทั้งจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่ส่งข่าวใดๆ กลับมา ดูเหมือนว่า… สถานการณ์คงไม่ดีเท่าไร”
ยิ่งหนานอีฝานพูด สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งดูไม่ได้
เรื่องที่พวกหนานอวี่สิงไปท่าเรือดอกท้อ คนส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น
จนกระทั่งพวกเขารู้ข่าว ก็ได้ยินว่าสูญเสียผู้อาวุโสไปแล้วห้าคน!
หนานอวี่สิงที่มีแววจะได้เป็นประมุขคนต่อไปมากที่สุดก็ตายไปแล้วด้วย!
“หรงซิว! ซั่งกวนเยว่! พวกมันจะรังแกคนหนักข้อเกินไปแล้ว!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพรั่งพรูออกมาด้วยน้ำเสียงโมโห
“ท่านประมุข! หนี้แค้นครั้งนี้พวกเราย่อมต้องทวงคืน! ก็แค่พระราชวังเมฆาสวรรค์มิใช่หรือ? พวกเราตระกูลหนานยังต้องกลัวพวกเขาอีกหรือไร!?”
“ถูกต้อง! ในเมื่อพวกเขาบังอาจทำถึงขนาดนี้ ก็อย่าโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจเลย!”
“ถล่มท่าเรือดอกท้อให้ราบเป็นหน้ากลอง!
ตอนที่ 1933 จารึก
สุ้มเสียงหลากหลายรูปแบบกระหึ่มดังขึ้นมาทันใด ดูแล้วเหมือนทุกคนกำลังโกรธแค้นกับเรื่องนี้มากจนอยากพุ่งไปแก้แค้นท่าเรือดอกท้อตอนนี้ ทันทีอย่างใดอย่างนั้น
ทว่า เป็นเช่นนี้จริงๆ งั้นหรือ?
หนานอีฝานหลุบตามองต่ำ ปกปิดไว้ซึ่งแววเย็นเยียบในนัยน์ตาของตน
เขาน่ะรู้แจ้งแก่ใจถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนพวกนี้ดี
ภายนอกดูแล้วต่างแบ่งปันศัตรูและความโกรธแค้นร่วมกัน หากแต่ในความเป็นจริง ไม่แน่ว่าบางคนอาจจะใจเต้นระริกอย่างเบิกบานไปแล้วก็ได้!
แต่ว่าหนานอวี่สิงเองก็ตายไปด้วย!
เช่นนี้แล้ว สายเลือดของหนานอีฝานก็ไม่มีคนที่เหมาะสมพอที่จะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนาน!
ตระกูลหนานดูเหมือนรักใคร่กลมเกลียวกันดี ทว่า การแข่งขันระหว่างสายเลือดนั้นดุเดือดอย่างมาก
หลายปีก่อนหน้านี้ก็เพราะหนานอวี่สิงพรสวรรค์โดดเด่น เสริมด้วยอำนาจของหนานอีฝานจึงยังคงสถานการณ์ให้ปกติไว้ได้
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
หนานอวี่สิงตายแล้ว หนานอีฝานเองก็ซูบเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด
ความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างใหญ่หลวงแทบทำให้เขาล้มทั้งยืน
เดิมเขาก็แบ่งสติส่วนหนึ่งไปจัดการเรื่องอื่นแทบไม่รอดแล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะสนใจอีกต่อไป
ช่วงระยะเวลานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน การโจมตีที่ทยอยเข้ามาแทบทำให้เขาพ่ายแพ้
ทุกคนคิดแค่ว่าเขาเศร้าโศกเพราะสูญเสียลูกรักทั้งสองคนไป ใครจะเข้าใจถึงความทรมานที่แท้จริงในใจเขาได้หนอ?
เขาจ่ายมันในราคาสูงลิบลิ่ว ถึงขั้นส่งหนานอีอีไปสู่ทางตันด้วยตัวเอง ตายสภาพศพไม่ครบส่วน แลกกับชีวิตของหนานอวี่สิง
แล้วผลลัพธ์ล่ะ?
ผ่านไปไม่นานก็ตายตกอยู่ในที่ท่าเรือดอกท้ออย่างใดเล่า!
หนานอีฝานรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านี้ล้วนมีจิตคิดร้ายกันอยู่ไม่น้อย
แต่เขาก็คร้านจะใส่ใจ
ตอนนี้เขาคิดอยู่เรื่องเดียว นั่นก็คือแก้แค้น!
เขาจะต้อง… ทำให้หรงซิวและฉู่หลิวเยว่ชดใช้หนี้เลือดด้วยเลือด!
อย่างใดซะเขาก็ไม่มีอันใดจะเสียแล้ว เหตุใดยังต้องกลัวเกรงพวกมันอีกกัน?
เขาผงกศีรษะ
“เช่นนั้นครั้งนี้ก็ขอฝากหนี้เลือดและชื่อเสียงเรียงนามของพวกเราตระกูลหนานไว้ที่ทุกท่านด้วย!”
ภายในห้องอันใหญ่โตโอ่อ่าเหลือเพียงแค่หนานอีฝานผู้เดียว
หนานเหอเถียนเดินเข้ามา
“ท่านประมุข คืนนี้ล่วงไปยามดึกแล้ว ท่านไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเป็นกังวล
ก่อนหน้านี้ หนานอีฝานรีบร้อนรุดไปตระกูลอี้ในคืนนั้น จัดแจงให้เขาคอยรักษาการณ์อยู่ที่นี่
เดิมเขาคิดว่าหนานอีฝานจะอยู่ที่นั่นหลายวัน กลายเป็นว่าไม่กี่อึดใจก็กลับมาแล้ว
ลองคำนวณดูแล้ว หนานอีฝานอยู่ที่ตระกูลอี้แค่ไม่กี่ชั่วยามด้วยซ้ำ
หลังจากกลับมา ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอ เขาก็เรียกคนในตระกูลมารวมตัวกัน จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้นมาแล้วตัดสินว่าจะส่งกำลังไปแก้แค้นท่าเรือดอกท้อ!
ต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กก็ทนทรมานจากการตรากตรำทำงานทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!
หนานอีฝานส่ายศีรษะ
“ข้านอนไม่หลับ”
ยามเขาหลับตาลง ในหัวก็มักจะปรากฏสภาพก่อนตายของหนานอีอี ไหนจะหน้าของหนานอวี่สิง
ภาพฉากเหล่านี้ลอยขึ้นมาในหัวของเขาไม่หยุดหย่อน ราวกับคมมีดแหลมที่กรีดแทงอกของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเลือดไหลนอง
เขาจะไปหลับลงได้อย่างใด?
หนานเหอเถียนถอนใจออกมา
เขาติดตามหนานอีฝานมาก็หลายปี รู้จักและเข้าใจในตัวเขามากที่สุด
แม้หนานอีฝานจะไม่ได้บอกเรื่องครั้งนี้แก่เขาจนกระจ่าง แต่จะมากจะน้อยเขาก็พอเดาบางส่วนได้บ้าง
หนานเหอเถียนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวปลอบใจว่า
“ท่านประมุขโปรดวางใจ แม้คนผู้นั้นจะแตะต้องไม่ได้ แต่ในเมื่อครั้งนี้ได้ตระกูลอี้ช่วยเหลือเต็มที่ เช่นนี้ชัยชนะของพวกเราก็มีโอกาสไม่น้อย…”
หนานอีฝานเหยียดยิ้มมุมปาก สีหน้าแข็งทื่อขึ้นมาหลายส่วนแฝงแววเยาะเย้ย
ครานี้คนของตระกูลหนานบาดเจ็บล้มตายไปกันถ้วนทั่ว
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่ให้ความร่วมมือเองก็พ่ายแพ้ย่อยยับกลับมาจนหมดสิ้น
จนกระทั่งตอนนี้ คนที่หลบหนีออกมาได้ไม่มีแม้แต่คนเดียว กระทั่งข่าวคราวยังมิอาจส่งกลับมาด้วยซ้ำ
พอจะนึกออกได้เลยว่า ตอนนี้พวกลั่วเหยี่ยนจะอยู่ในท่าเรือดอกท้อในสภาพแบบใด!
นี่!
ก็คือคำเตือนที่หรงซิวส่งให้แก่เขา!
หากเป็นแต่ก่อน เขาก็คงไม่คิดงัดข้อกับหรงซิวอย่างเปิดเผยถึงขนาดนี้
แต่มาบัดนี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
“เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้พวกเราไม่ลงมือ เขาก็ไม่มีทางปล่อยเราไปอยู่ดี”
คนส่วนมากในตระกูลหนานล้วนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหนานอีฝานหวาดกลัวหรงซิวอย่างมาก
สำหรับพวกเขาแล้ว แม้หรงซิวจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็เพราะเป็นโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็เท่านั้น
แค่ตระกูลชั้นสูงตระกูลหนึ่ง พวกเขาไม่มีอันใดให้ต้องกลัว
หนานอีฝานจงใจไม่พูดมากขนาดนั้น
เพราะยิ่งพวกเขารู้มากเท่าไร ความกังวลยิ่งทวีตามมากเท่านั้น
หนานเหอเถียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า
ความจริงแล้วในใจเขาเองก็เป็นกังวลมากเช่นกัน
แต่ก็เหมือนที่หนานอีฝานพูดไปทั้งหมด บัดนี้พวกเขาไร้หนทางให้ถอยกลับแล้ว
“ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกลั่วเหยี่ยนจะเป็นอย่างใดบ้าง…”
หนานอีฝานนิ่วหน้า
นี่เองก็เป็นเรื่องที่เขาค่อนข้างกังวลเช่นเดียวกัน
หากพวกลั่วเหยี่ยนเกิดถูกเป่าหู ไปพูดอันใดที่ไม่สมควรพูดขึ้นมา ถึงตอนนั้นย่อมส่งผลเสียแก่พวกเขาแน่
ไม่เพียงแต่ไม่ได้แก้แค้น แม้แต่ตัวเองก็คงโดนลากเข้าไปด้วย
นอกเหนือจากนี้ เขายังกังวลเรื่องภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยด้วย
หนานอวี่สิงสิ้นแล้ว
ของสิ่งนั้นต้องตกไปอยู่ในมือของหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่เป็นแน่!
คิดมาถึงตรงนี้ หนานอีฝานก็ยิ่งรู้สึกย่ำแย่มากกว่าเก่า
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าขออยู่คนเดียวเงียบๆ”
เขาโบกมือ
หนานเหอเถียนอ้าปากหมายจะพูดอันใดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
เมื่อเห็นใบหน้าเหนื่อยล้าซูบเซียวของหนานอีฝาน สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจโค้งคำนับลา
“ขอรับ”
เขาถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบ
หนานอีฝานพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น
…
ท่าเรือดอกท้อ
ณ จวนเยว่
แสงจันทร์กระจ่างดุจสายธารสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง
ฉู่หลิวเยว่กำลังยืนอยู่กลางห้องคนเดียว
เบื้องหน้านางนั้นมีโล่สีดำลอยเคว้งอย่างเงียบเชียบ
เมื่อผ่านการชำระล้างคราวก่อน สนิมบนโล่ก็ถูกขจัดออกจนหมดสิ้น เผยให้เห็นสภาพที่แท้จริงอันใสสะอาด
มันยังคงมีสีเข้มทึบดังเดิม หากแต่ดูแล้วยิ่งทวีความลึกล้ำและหนักแน่นมากกว่าเก่า
ความรู้สึกที่ว่านี้ยากจะบรรยายออกมาได้
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับสัมผัสได้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจน
ส่วนผลึกบางสีน้ำเงินเข้มพวกนั้น หลังจากพวกมันเข้าหลอมรวมกับโล่ก็สูญสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง นอกจากอักษรลับอันซับซ้อนที่เรียงกันแน่นขนัดแล้ว ก็มิอาจมองเห็นสิ่งอื่นใดได้อีก
ฉู่หลิวเยว่จดจ้องไปยังอักษรลับนั่นอยู่นานทีเดียว
สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงัด นางจึงได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นได้อย่างชัดเจน
ลึกลงไปในแววตาใสกระจ่างที่ทอประกายเรืองรองราวกับมีคลื่นน้ำโหมกระเพื่อม
ผ่านไปพักใหญ่ นางก็ค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบไล้บนโล่สีดำ
ใจเต้นกระตุกตุบอันบรรยายได้ยากแวบหนึ่งพลันแล่นปราดเข้ามา
“โล่ผสานนภา…”
นางพึมพำเสียงแผ่ว
ราวกับรับรู้ได้ถึงการตอบสนอง จารึกเหล่านั้นบนโล่สีดำที่อยู่เบื้องหน้าพลันเรืองแสงขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก
หลังจากที่ผลึกบางสีน้ำเงินเข้มชิ้นสุดท้ายฝังตัวบนโล่อย่างสมบูรณ์ในวันนั้น ในหัวของนางพลันปรากฏชื่อนี้ขึ้นมา
ของสิ่งนี้อยู่ข้างกายนางมาหลายปีแล้ว ทว่าจนกระทั่งตอนนั้นเอง นางถึงเพิ่งได้รู้ถึงชื่อจริงของมัน
นางอ่านตำราโบราณมานับไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉู่หลิวเยว่ให้ความสนใจมากที่สุด
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกสับสนในตอนนี้ก็คือจารึกด้านบนต่างหาก
เพราะว่า…
ตอนที่นางอ่านจารึกอันนี้จบ กลับพบว่า… เมื่อก่อนบันทึกเล่มนั้นของนางก็ใช้ภาษาเขียนแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน!
………………..