ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1934 มาด้วยกันรึ
ตอนที่ 1934 มาด้วยกันรึ
………………..
หลังฉู่หลิวเยว่ได้สถานะเดิมกลับคืนมา นางก็พกบันทึกเล่มนั้นติดตัวไว้ตลอด
ตอนนี้มันยังนอนแหมะอยู่ในแหวนเฉียนคุนของนางเลยด้วยซ้ำ
นางไม่จำเป็นต้องเอามันออกมาเทียบกันก็รู้ได้ว่าเป็นภาษาเขียนแบบเดียวกัน!
นี่ทำให้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่
ตอนนั้นนางสูญเสียความทรงจำ อ่านเนื้อหาในบันทึกไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ว่าตอนที่นางหวนคืนไปที่สำนักหลิงเซียว หลังฟื้นฟูความทรงจำมาได้แล้ว กลับพบว่าตัวเองยังอ่านไม่เข้าใจอยู่ดี
ตอนนั้นนางรู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ทว่าภายหลังเรื่องราวต่างๆ นาๆ พากันถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน นางจึงค่อยๆ วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
จนกระทั่งตอนนี้ยามเห็นอักษรลับที่สลักไว้บนโล่ ความไม่เข้าใจและงุนงงที่แอบแฝงอยู่ก็แล่นปราดเข้ามาในหัวอีกรอบ
โล่ผสานนภาอันนี้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แต่โบราณกาลอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งอักษรลับด้านบนเองก็ต้องถูกสลักไว้นานแล้วเช่นกัน
เช่นนั้น…
บันทึกเล่มนั้นของนางไปใช้ภาษาเขียนแบบเดียวกันนี้ได้อย่างใด?
ช่วงที่นางมาอาณาจักรเสิ่นซวี่ครั้งแรก นางแน่ใจว่าไม่เคยสัมผัสกับเนื้อหาประเภทนี้มาก่อน
แต่อักษรด้านบนนี้เป็นลายมือของนางจริงๆ!
ฉู่หลิวเยว่นวดขมับด้วยรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้นางเคยถามหรงซิวไป หรงซิวเองก็บอกว่าเขาไม่รู้จักจารึกที่อยู่บนโล่ใบนี้
สรุปแล้วนี่มันเกิดเรื่องอันใดกันแน่?
คิดมาถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็นวดหว่างคิ้วตัวเองอย่างอดไม่ได้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ก่อนหน้านี้ยามนางพบเจออันตรายก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้
ในตอนนั้น นางเกือบคิดไปแล้วว่ามีเปลวเพลิงร้อนระอุกำลังแผดเผาอยู่บนหว่างคิ้วนาง!
ความจริงแล้ว พลังปราณดั้งเดิมภายในร่างของนางก็เหมือนจะได้รับผลกระทบบางส่วน ถึงได้เดือดพล่านขึ้นมาอย่างใดอย่างนั้น!
แต่ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าว
อีกอย่างเป็นเพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ สถานการณ์มักจะอยู่ในสภาวะเร่งด่วนอย่างมาก
ดังนั้นนางจึงไม่เคยมีเวลาไปนั่งวิเคราะห์ปัญหานี้เสียที
ทั้งยังไม่รู้ว่าด้านในนี้จะเก็บซ่อนความลับอันใดเอาไว้อีก…
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่จดจ่ออยู่กับความคิด ด้านนอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยแว่วดังเข้ามา
นางได้สติกลับมา จัดการเก็บโล่กลับไป แล้วหันมองไปทางประตู
เงาร่างสูงใหญ่กำยำเดินย่างกรายเข้ามา
เป็นหรงซิวนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังยืนอยู่กลางห้องคนเดียว คิ้วของหรงซิวก็เลิกขึ้นน้อยๆ จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้ม
“รอข้าอยู่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่แค่นเสียงในลำคอเบาๆ
“ไม่ใช่สักหน่อย”
หรงซิวหาได้ถือสาไม่
ไม่ได้รอเขา แล้วจะไปรอใครที่ไหนได้อีก?
เขาเดินเข้ามาโอบรอบเอวผอมบางของฉู่หลิวเยว่ด้วยแขนยาว แล้วดึงคนเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ก้มศีรษะลงประทับจูบแก่นาง
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปพลางเบี่ยงออก ก่อนผินหน้ามองเขาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
ฉู่หลิวเยว่ย่อมไม่นึกเคลือบแคลงในความสามารถของหรงซิวอยู่แล้ว
เมื่อคืนวานเขาพูดว่าคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์คงมาถึงที่นี่วันนี้
ผลลัพธ์ก็คือมาตามคาดไว้แล้วจริงๆ
อีกทั้งมากันจำนวนมากเสียด้วย
เพียงแต่ฉู่หลิวเยว่อยู่แต่ในจวนเยว่ ไม่ได้ออกไปดูด้วยตาแต่อย่างใด
ทั้งหมดล้วนเป็นหรงซิวจัดการทั้งสิ้น
นางส่ายศีรษะ ก่อนครุ่นคิดน้อยๆ
“ข้าแค่กำลังคิดว่า… ท่าเรือดอกท้อคงสงบได้แค่ไม่กี่วัน เดี๋ยวก็คงได้วุ่นวายขึ้นมาอีก”
ระยะนี้สิบสามผู้พิทักษ์เยว่และคนที่เลือกจะติดตามจวนเยว่ทั้งหมดต่างกำลังทำงานล่วงเวลากันทั่วถ้วน
แต่ก่อนหน้านี้ท่าเรือดอกท้อสูญเสียไปแสนสาหัส ภายในระยะเวลาสั้นๆ จึงฟื้นฟูได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หากคิดจะซ่อมบำรุงท่าเรือดอกท้อขึ้นมาจริงจังจำเป็นต้องใช้เวลาและแรงจำนวนมาก
น่าเสียดายที่คนพวกนั้นไม่ยอมให้โอกาสนี้แก่พวกเขา
“จะเร็วหรือช้าปัญหานี้ก็ต้องมาเยือน หากมาเร็วคงดีอยู่บ้าง”
ริมฝีปากบางของหรงซิวหยักยกขึ้น ภายในนัยน์ตาหงส์แฝงรอยยิ้มเย็นยะเยือก
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะ
“ข้ารู้”
การที่นางยึดครองท่าเรือดอกท้อไว้ได้ ย่อมต้องทำให้คนจำนวนมากอิจฉาตาร้อน
แทนที่จะรอให้พวกเขาลอบลงมือภายหลัง มิสู้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียตอนนี้ดีกว่า!
เชือดไก่ให้ลิงดูอย่างใดล่ะ!
…
ภายในนัยน์ตาสุกสกาวราวกับมีแสงทอประกายออกมา!
“หลังจากมีร่างศักดิ์สิทธิ์แล้ว… มันแตกต่างกับก่อนหน้านี้มากจริงๆ ด้วย…”
ฉู่หลิวเยว่กำมือเข้าออกแล้วเอ่ยพลางถอนใจ
ตัวนางแต่เดิมมีชีพจรเทียนจิง ความรวดเร็วในการฝึกตนจึงแซงหน้าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ไปแบบไม่ติดฝุ่น
หลังจากแปรสภาพกลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ ก็ยิ่งมีการพัฒนาเพิ่มเท่าทวี!
อีกอย่าง หลังจากนางดูดซับพลังแห่งสวรรค์และโลกเข้าไปแล้วแปรสภาพให้กลายเป็นพลังปราณดั้งเดิมของตัวเอง มันก็ยิ่งบริสุทธิ์มากกว่าแต่เก่า
มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดทุกคนถึงอยากฝึกตนจนบรรลุร่างศักดิ์สิทธิ์ได้…
คิดมาถึงตรงนี้ แววตาของฉู่หลิวเยว่พลันนิ่งไปขึ้น
เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้เจอพวกต้าเป่าเลย
ครั้งก่อนสำนักหลิงเซียวเผชิญวิกฤตใหญ่ ต้าเป่าคอยช่วยอยู่ในที่ลับ จากนั้นยังไม่ทันจะมาเจอหน้านางก็จากไปอย่างเงียบเชียบ
พอมาลองคำนวณดูดีๆ ก็ผ่านมานานมากแล้ว
ไหนจะผู้อาวุโสทั้งสองอย่างผู้อาวุโสลำดับห้าและหลานเซียวอีก…
รอให้เรื่องของที่นี่จบสิ้นแล้ว คงต้องหาเวลาว่างกลับไปทะเลทรายจันทราสีชาดดูสักรอบ
นางจำได้ว่าตอนนี้สองท่านนั้นก็ยังไม่มีร่างศักดิ์สิทธิ์
ไม่รู้ว่าถ้านางยื่นมือเข้าช่วย จะสามารถช่วยพวกเขาให้หลอมรวมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อย่างต้าเป่าคราวก่อนหรือไม่
ตอนนี้พลังของนางเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย หากต้องช่วยพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องยากอันใด…
จู่ๆ ก็มีกระแสพลังเจือจางแล่นปราดเข้ามา
ฉู่หลิวเยว่เหลือบตาขึ้นไปมองด้านนอกหน้าต่างโดยพลัน!
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูแว่วดังขึ้น
“นายหญิง ฝ่าบาท มีคนขอเข้าพบขอรับ”
นี่เป็นเสียงของเฉินอี
มีคนมาขอเข้าพบ…
ไม่ต้องบอก ฉู่หลิวเยว่ก็เดาได้ว่าเป็นใคร!
นางหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู
“คนของตระกูลหนานรึ?”
เฉินอีพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวอีกว่า
“ยังมี… ตระกูลอี้ด้วยขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว หันกลับไปสบตาหรงซิวแวบหนึ่ง
สีหน้าของหรงซิวยังคงเรียบเฉยดังเดิม ประหนึ่งว่าไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับกลั้นหายใจ
“พวกเขา… มาพร้อมกันเลยรึ?”