ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1935 แขกผู้มีเกียรติ
สีหน้าของเฉินอีพลันฉายแววรู้ทันขึ้นมาในทันที
นัยน์ตาเรียวยาวแฝงแววเฉื่อยชาหรี่ลงน้อยๆ ราวกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“ห่างออกไปเพียงประมาณหนึ่งเค่อเท่านั้น ไม่ใช่ก็ต้องใช่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจความหมายของเขาในพริบตา เรียวคิ้วขมวดแน่น จากนั้นก็คลี่ยิ้มเย็นเยียบออกมา
“ที่แท้ตระกูลอี้ก็คิดจะมาผสมโรงในความวุ่นวายครานี้ด้วยนี่เอง”
หรงซิวเองก็เดินออกมาเช่นกัน
“สองตระกูลนี้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันแม้แต่น้อย ผ่านมาหลายปีนี้ การไปมาหาสู่กันของแต่ละตระกูลแทบจะนับนิ้วได้”
ฉู่หลิวเยว่ยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนมากกว่าเดิม
ดูแล้วสองตระกูลนี้คงร่วมมือกันเป็นแน่…
เพียงแต่ตระกูลอี้กับพวกเขาไม่ได้ขัดผลประโยชน์กันแต่อย่างใด
พวกเขาทำเช่นนี้คงไม่พ้นถูกตระกูลหนานยุยงมาเป็นแน่
“ดูไปแล้ว หนานอีฝานไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย”
อย่างน้อยที่สุดก็ยังลากตระกูลอี้ให้มาช่วยสนับสนุนได้
เพื่อลากพันธมิตรฝ่ายนี้มาข้องเกี่ยว… หากให้เดา… คงจะสละอันใดไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกว่านี่ออกจะน่าหัวเราะอยู่ไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าเป็นตระกูลหนานที่ไม่มีเหตุผล ตัวเองล่วงเกินคนอื่นก่อน บัดนี้พวกเขายังมีหน้ามาอยู่หน้าประตูอีก
ถึงขั้นที่ลากเอาพันธมิตรมาด้วย
“ตระกูลหนานมากันยี่สิบสี่คน ทั้งหมดนี้รวมถึงหนานอีฝานแล้ว ทั้งหมดมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนแปดคน ตระกูลอี้มาสิบแปดคน แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์มากันสิบคน นับว่ามากกว่าครึ่ง”
สุ้มเสียงของเฉินอียังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ดังเดิม
“เดี๋ยวพวกเราออกไป”
คนที่กำลังรออยู่… ก็คือพวกเขา!
นางอยากดูนักว่าใครจะกล้ามาเล่นหัวนางได้อีก!
สองตระกูลนี้รวมกันแล้ว ทั้งหมดกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนสิบแปดคน
ต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ในตระกูลชั้นสูงธรรมดาทั่วไปปกติแล้วล้วนไม่เกินห้าถึงหกคน
อีกทั้งเพื่อสู้ชิงเอาท่าเรือดอกท้อครั้งนี้ของพวกเขา ต่างฝ่ายถึงได้ส่งคนมาเยอะปานนี้!
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเบื้องหลังของตระกูลพวกนี้แข็งแกร่งมากโดยแท้!
เพียงแต่…
ครานี้ใครจะอยู่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายยังไม่อาจรู้ได้!
…
ณ ด้านนอกค่ายกลของท่าเรือดอกท้อ
คนของตระกูลหนานและตระกูลอี้แบ่งออกเป็นสองฟาก
มีระยะห่างประมาณหนึ่งระหว่างแต่ละฝ่าย
ความสัมพันธ์ของสองตระกูลเปราะบางอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้ต่างก็พากันมาท่าเรือดอกท้อ
นอกจากหนานอีฝานและอี้เหวินเทาแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องการร่วมมือกันเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน คนส่วนใหญ่ถึงได้รักษาระยะป้องกันจากอีกฝ่ายเอาไว้สูงมาก
หนานอีฝานและอี้เหวินเทาทักทายกันอย่างสุภาพ แจ้งเจตจำนงต่อกันว่าเป้าหมายที่มาเยือนครานี้ก็คือฉู่หลิวเยว่และหรงซิว จากนั้นก็แยกย้ายกันไปรอฝั่งใครฝั่งมัน
บรรยากาศโดยรวมตึงเครียดอย่างมาก
ด้านนอกประตูเมือง ตอนนี้ทหารรักษาการณ์ที่รับผิดชอบการเฝ้ายามต่างรวบรวมกำลังใจเต็มเปี่ยมจดจ้องคนของตระกูลหนานและตระกูลอี้ด้วยตาเขม็ง
“นั่นสิ! แล้วเจ้าก็รู้สึกหรือไม่ว่าค่ายกลนี้ดูจะไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไรนัก… ไหนจะทหารรักษาการณ์เฝ้าเวรยามพวกนั้นที่มีท่าทางดูจงรักภักดีนั่นอีก… ท่าเรือดอกท้อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?”
“ดูแล้วข่าวลือพวกนั้นคงจะเชื่อได้อยู่บ้างจริงๆ… ไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำแบบนี้ได้อย่างใดกันแน่?”
บรรดาฝูงชนพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ค่อยปักใจเชื่อเท่าไรนัก ทว่าพอมาเห็นกับตาตัวเองตอนนี้กลับอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ทหารรักษาการณ์พวกนั้นดูแตกต่างจากพวกที่ได้รับการฝึกแบบปกติโดยสิ้นเชิง ใครที่ตาดีหน่อยก็จะรู้ว่านี่คือ “กองทัพแบ่งกลุ่ม”
ทว่าลมปราณบนร่างของคนพวกนี้กลับไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย!
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ สีหน้าของพวกเขายังคงเหมือนเดิมอย่างน่าประหลาดใจ
แววตาของพวกเขาแทบตะโกนออกมาว่า “ถ้าพวกเจ้ากล้าเข้ามา พวกเราก็กล้าสู้จนตัวตาย!” อย่างใดอย่างนั้น
พวกเขากำลังป้องกันท่าเรือดอกท้ออยู่อย่างแท้จริง!
อี้เหวินเทาและหนานอีฝานที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็สบสายตากันอย่างเงียบเชียบแวบหนึ่ง ต่างก็เห็นแววระแวดระวังภายในแววตาของกันและกัน
ก่อนจะมาที่นี่ พวกเขาต่างก็คิดว่าหรงซิวคงนำคนของตัวเองมาสู้
คนพวกนี้ดูอย่างใดก็ไม่ใช่ทหารของเขา
ทว่าคนพวกนี้กลับสามัคคีกันจนน่าแปลกใจ!
เหมือนว่าการปกป้องท่าเรือดอกท้อคือหน้าที่รับผิดชอบอันสูงสุดของพวกเขาก็มิปาน!
อีกอย่าง ภายในคำพูดเหล่านั้น พวกเขาต่างก็เคารพฉู่หลิวเยว่อย่างมากอีกด้วย!
ทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่มีใครไม่รู้บ้างว่าท่าเรือดอกท้อมีคนมากมายหลากหลาย ไม่ว่าคนแบบใดก็ล้วนมีทั้งนั้น
สามารถขึ้นมานำคนพวกนี้ได้…
วิธีการเหล่านี้ชวนให้ตื่นตกใจและกระวนกระวายโดยแท้!
อี้เหวินเทาเอาสองมือไพล่หลัง ในใจรู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องราวดูจะไม่ค่อยเหมือนกับที่เขาคาดเอาไว้สักเท่าไร
…
หนานอีฝานกลับไม่ได้คิดมากขนาดนั้น
เดิมการเดินทางครานี้เขาก็มาพร้อมความคิดหมายจะเผาเรือทั้งลำอยู่แล้ว!
ดังนั้น ต่อให้ท่าเรือดอกท้อนี่จะจัดการได้ยากเย็น เขาก็จะไม่ยอมหันหลังกลับเป็นอันขาด!
เขาเองก็ไม่มีทางให้ถอยหลังกลับแล้วด้วย!
เขาแหงนศีรษะมองผืนฟ้า ก่อนเหยียดมุมปากโดยไร้รอยยิ้ม
“พวกเรามาถึงที่นี่นานขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าไปแจ้งข่าวกันช้าเพียงนี้เลยหรือ? หรือมีคนเกิดกลัว ไม่กล้าโผล่หัวออกมากัน? โอรสสวรรค์และพระชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์อันยิ่งใหญ่ที่แท้ก็ขี้ขลาดตาขาวกันถึงเพียงนี้เทียว?”
ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งก้าวออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“พูดจาอันใดก็ระวังปากหน่อย!”
ทั้งสองท่านนี้เป็นคนที่พวกมันมิอาจล่วงเกินได้โดยเด็ดขาด!
ในขณะเดียวกัน บรรดาฝูงชนด้านหลังของเขาก็ชักดาบชักกระบี่ออกมาพร้อมเพรียงกัน!
หนานอีฝานเองก็มุ่นคิ้วอย่างอดไม่ได้
คนพวกนี้ดูเหมือนจะมาจากสำนักคนละแห่ง เหตุใดถึงได้ปกป้องฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวมากขนาดนั้น?
แต่ความคิดนี้ก็ลอยอยู่ในหัวเขาเพียงชั่วครู่
เขากล่าวโทษด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้น นี่ก็ไม่ได้รึ? หรงซิวกับซั่งกวนเยว่สังหารลูกชายข้าและผู้อาวุโสตระกูลหนานอีกหลายชีวิต! วันนี้ตระกูลหนานของข้าจะทวงคืนหนี้ครั้งนี้กลับมาให้ได้!”
สีหน้าของบรรดาทหารรักษาการณ์พลันแข็งทื่อ ต่างก็สบสายตากันไปมา
พวกหนานอวี่สิงนับว่าตายในเงื้อมือของพวกเขาจริงๆ…
คนตระกูลหนานจะมาทวงหนี้เลือดคืนก็นับว่ามีเหตุผลอยู่
ทันใดนั้นเอง ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น
“นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขารนหาที่เองหรอกรึ? หากมิใช่เพราะพวกเขาบีบบังคับ ไล่ตามไม่หยุดหย่อน นายหญิงเยว่จะไปลงมือกับพวกเขาเหตุใด!? โทษตัวเองเสียเถอะ!”
พวกหนานอีฝานและอี้เหวินได้ยินดังนั้นต่างก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
นายหญิงเยว่รึ?
หมายถึง… ฉู่หลิวเยว่อย่างนั้นหรือ?
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว พวกเขาดูจะเคารพนอบน้อมต่อฉู่หลิวเยว่มากกว่าหรงซิวอยู่หลายส่วนเลยหนา?
ในตอนนั้นเอง สุ้มเสียงกระจ่างใสเสนาะหูพลันแว่วดังขึ้น
“แขกผู้มีเกียรติมาเยือนถึงที่นี่ ต้องขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
ทุกคนพร้อมใจกันหันมอง!
ภายในประตูเมือง คนทั้งสองกำลังเดินจูงมือกันออกมา
เจ้าของเสียงพูดก็คือฉู่หลิวเยว่นั่นเอง!
………………..