ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1936 สอบถาม
ตอนที่ 1936 สอบถาม
………………..
ยามเห็นรอยยิ้มบนหน้าฉู่หลิวเยว่ ความโกรธในใจหนานอีฝานพลันปะทุ!
ลูกชายคนเดียวของเขาต้องตายอยู่ในท่าเรือดอกท้อ ตายด้วยน้ำมือของคนพวกนี้!
แล้วนางยังหัวเราะออกมาได้อีก!
นี่มันหมายความว่าอันใด เหยียดหยาม? ยั่วยุรึ?
ทว่าในตอนนั้นเอง สายตาเย็นปลาบสายหนึ่งพลันหยุดอยู่ที่ร่างของเขา ทำให้เราต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา
หนานอีฝานเผลอเหลือบมองหรงซิวที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว พลันใจเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่
ความหวาดกลัวสายหนึ่งบังเกิดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจ!
สองมือของหนานอีฝานกำเข้าหากันแน่น พยายามขจัดความรู้สึกที่ตีรวนกันอย่างสุดแรง!
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะต้องฉีกหน้าหรงซิวและคนอื่นๆ ให้ได้!
สายตาของหรงซิวกวาดมองหนานอีฝานและอี้เหวินเทาคราหนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกระตุกยกขึ้นน้อยๆ
“ประมุขอี้ ประมุขหนาน ไม่ได้พบเจอกันตั้งนาน สบายดีหรือไม่?”
ในใจหนานอีฝานรู้สึกเจ็บแค้นยิ่งนัก
คนของตระกูลหนานสูญเสียด้วยน้ำมือของพวกเขามากมายปานนั้น จะเป็นตายร้ายดีอย่างใด พวกเขาย่อมรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ?
ตอนนี้ยังมีหน้ามาถามคำถามเช่นนี้อีก!
อี้เหวินเทาเอามือหนึ่งไพล่หลัง พยักหน้าน้อยๆ แต่สีหน้ากลับอ่อนโยนและสุภาพยิ่ง
“ดีทีเดียวโอรสสวรรค์”
ระหว่างที่พูด สายตาของเขาจับจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ ดวงตาแฝงด้วยแววหมายจะประเมินและตรวจสอบ
เขาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแม่นางผู้นี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าด้วยตาตัวเอง
โดยเฉพาะดวงตาดุจดวงดาราคู่นั้นที่แฝงด้วยความเรียบนิ่งและสงบที่ไม่เข้ากับอายุของนาง
ราวกับว่าเรื่องราวที่อยู่เบื้องหน้านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อนางเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่านางจะรู้ว่าเรื่องราวทุกอย่างนี้มีนัยแฝงว่าอันใดก็ตาม
อี้เหวินเทารู้สึกประทับใจในตัวฉู่หลิวเยว่ไม่น้อย
แม่นางที่ทำให้หรงซิวชมชอบและยืนกรานจะอภิเษกด้วยย่อมไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ในความเป็นจริง มิใช่แค่อี้เหวินเทาเท่านั้น
บัดนี้ความสนใจของบรรดาฝูงชนจากตระกูลอี้และตระกูลหนานล้วนรวมอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่เป็นตาเดียว
สำหรับแม่นางที่ชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้ แท้จริงแล้วพวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้และอยากสอดส่องกันทั้งนั้น
แน่นอนว่าตอนที่พวกเขามองฉู่หลิวเยว่ ฉู่หลิวเยว่เองก็มองพวกเขากลับเช่นกัน
ตระกูลหนานมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แปดคน ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงสิบหกคน
ตระกูลอี้มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์สิบคน ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงแปดคน
อีกทั้งพลังของผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงพวกนั้นก็ประมาทไม่ได้ด้วย
ดูเหมือนว่าเพื่อจะจัดการนางในครั้งนี้ สองตระกูลต่างลงทุนกันไปไม่น้อยเลยจริงๆ…
รอยยิ้มบนริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยิ่งทวีความสดใสมากกว่าเก่า
หนานอีฝานทนดูฉู่หลิวเยว่แทบไม่ได้
ทิ่มแทงลูกตายิ่งนัก!
ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาด เขาเริ่มด้วยการหัวเราะเสียงเย็นออกมาคราหนึ่ง
“กระไรกัน ในที่สุดพวกเจ้าก็ยอมออกมากันแล้วนั้นสิ? ข้ายังคิดอยู่เลยว่าพวกเจ้าจะมุดหัวหลบอยู่ในท่าเรือดอกท้อไปตลอดชีวิตแล้วเสียอีก!”
ทุกคำทุกประโยคกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก แววตาเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นโดยไม่คิดปิดบัง
ฉู่หลิวเยว่ราวกับไม่สนใจแม้แต่น้อย หัวเราะเสียงใสพลางกล่าวว่า
“ประมุขหนานไปเอาคำพูดนี้มาจากไหนกัน ท่าเรือดอกท้อเดิมเป็นอาณาเขตของข้า ข้าและสามีข้าเพิ่งแต่งกันได้ไม่นาน จะมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่สักพักก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? อีกอย่าง พวกเราไม่ได้ทำอันใดผิด จะใช้คำว่า ‘มุดหัวหลบ’ ได้อย่างใดกัน?”
หนานอีฝานโมโหจนหน้าแดงก่ำ หน้าผากมีเส้นเลือดปูดออกมา
ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ปากคอเราะร้ายเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ!
“หนานอวี่สิงลูกชายของข้าตายอยู่ในท่าเรือดอกท้อเมื่อไม่กี่วันก่อน! ในฐานะคนก่อกรรมชั่ว พวกเจ้าไม่มีความละอายใจบ้างเลยหรือ?”
หนานอีฝานยกมือขึ้นชี้หน้าฉู่หลิวเยว่ก่อนถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
สีหน้าของหรงซิวเย็นเยียบในชั่วพริบตา จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า
แรงกดดันอันแข็งกร้าวเข้าเยือนในทันใด!
ในขณะเดียวกัน แววตาของเขาก็มีแสงสีทองจากในเปลวเพลิงเคลื่อนผ่านแวบหนึ่ง!
“หนานอีฝาน ถ้าไม่อยากมีมือแล้วก็แค่บอกมา”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเย็นเยียบราวกับเคลือบด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
ใจของหนานอีฝานสั่นสะท้าน นิ้วมือของเขาหงิกงอเข้าหากัน
ทว่าจากนั้นเขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองแสดงความอ่อนแอออกนอกหน้าเกินไปแล้ว
ชั่วขณะนั้น ในใจของหนานอีฝานทั้งโกรธทั้งงุ่นง่าน
เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพร้อมจะตายอยู่รอมร่อ แต่พอหรงซิวอ้าปากพูดออกมา เขาก็ยังคงบังเกิดความรู้สึกหวาดผวาและสั่นกลัวอยู่ดี!
หนานอีฝานรู้สึกอับอายยิ่งนัก
ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองแวบหนึ่งพลางเลิกคิ้วขึ้น
ดูท่าทีตอบสนองของหนานอีฝานแล้วช่างน่าหัวร่อเสียจริง
แต่หากเขามีความมั่นใจมากขึ้นมาหน่อยก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้
นางคว้ามือของหรงซิวมาพลางส่ายศีรษะเบาๆ เป็นเชิงว่าเขาไม่จำเป็นต้องไปโกรธคนแบบนี้
ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
นางมองไปทางหนานอีฝานก่อนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า
เหยี่ยนต่างหาก!”
หนานอีฝานโมโหเสียจนฉีกยิ้มบิดเบี้ยว
“ซั่งกวนเยว่! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดเรื่องเหลวไหลอันใดออกมา?”
ลั่วเหยี่ยนเดินทางติดตามไปด้วยครั้งนี้ก็เพื่อปกป้องหนานอวี่สิง จะไปสังหารเขาได้อย่างใดกัน?
“ต่อให้เจ้าคิดจะโยนความผิด ก็ขอร้องเจ้าอย่าเอาเรื่องที่มันเกินไปขนาดนี้ได้หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าเขาไม่เชื่อจึงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ หยักยกมุมปากขึ้นโดยไร้รอยยิ้ม
“เรื่องนี้น่ะคนนับไม่ถ้วนต่างเห็นด้วยตาตัวเองทั้งนั้น ทุกคนเป็นพยานให้ได้ หากประมุขหนานไม่เชื่อก็ลองไปถามหาจากคนพวกนั้นดูสิ ท่านเองก็พูดแล้วว่าวิธีการพูดเช่นนี้อุกอาจมาก คิดว่าข้าไม่รู้รึ? หากไม่ใช่เรื่องจริง ข้าจะพูดแบบนี้ไปเหตุใดกัน?”
คำพูดของฉู่หลิวเยว่ทำให้หนานอีฝานบังเกิดความสั่นไหวขึ้นมาในบัดดล
แต่ความคิดนี้ก็เลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เขาเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า
“บัดนี้ท่าเรือดอกท้ออยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า! คนพวกนั้นก็เออออตามเจ้าไปเท่านั้น ปากจะหาความจริงอันใดได้!”
ฉู่หลิวเยว่ลื่นไหลดุจสายน้ำ
“คำพูดของพวกเรา คำพูดของคนนอก ท่านก็ไม่เชื่อ เช่นนั้น… คำพูดของผู้อาวุโสตระกูลพวกท่าน ท่านคงจะเชื่อได้แล้วกระมัง?”
สีหน้าของหนานอีฝานพลันแข็งทื่อในชั่วพริบตา
“… อัน อันใดนะ?”
“ก็ความหมายตรงตัว ตอนนั้นที่ลั่วเหยี่ยนคร่าชีวิตหนานอวี่สิงกับมือ พวกผู้อาวุโสหนานหงหยางก็ดูอยู่ข้างๆ กันทั้งนั้น”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่บิดขึ้นน้อยๆ ก่อนกล่าวออกมาทีละคำว่า
“หากว่าไม่เชื่อ ไม่สู้เชิญผู้อาวุโสทั้งหลายมาต่อหน้าตรงนี้หรือไม่เล่า?”
ลมหายใจของหนานอีฝานพลันสะดุด!
ฉู่หลิวเยว่ตั้งใจชัดๆ!
นางกล้าเผชิญหน้ากันจริงๆ อย่างนั้นรึ!
หรือว่าเรื่องที่นางพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง?
คนที่ฆ่าหนานอวี่สิงคือลั่วเหยี่ยนจริงๆ?
แต่ว่า… สรุปแล้วนี่มันเรื่องอันใดกันแน่!?
ความคิดในหัวของหนานอีฝานตีรวนกันไปหมด
“ไม่ เป็นไปไม่ได้…”
ตอนที่เขาส่งคนมาครั้งนี้ เพื่อรับประกันในความปลอดภัย เขาจึงเลือกผู้อาวุโสหลายท่านที่เขาไว้ใจได้ที่สุดโดยเฉพาะ!
ลั่วเหยี่ยนไม่มีทางสังหารหนานอวี่สิง ผู้อาวุโสที่เหลือก็ไม่มีทางทรยศเขา!
สองมือของหนานอีฝานกำแน่น ในใจโน้มน้าวตัวเองไม่หยุด
แต่คำพูดของฉู่หลิวเยว่เป็นดั่งคมมีดที่ปักเข้ากลางใจเขา! ทำให้เขารู้สึกย่ำแย่ยิ่งนัก!
คล้อยหลังของเขาไป บรรดาฝูงชนในตระกูลหนานเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ต่างสบสายตากันอย่างตกใจ
แน่นอนว่าปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือไม่เชื่อ
แต่พอฉู่หลิวเยว่เอ่ยชัดเจนเช่นนี้ ถึงขั้นพูดว่าสามารถมาเผชิญหน้ากันได้…
“ใครจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ใช้เล่ห์กลสกปรกอันใดมาบีบบังคับให้พวกเขาโกหก!?”
หลังจากยื้อยุดกันสักพัก ในที่สุดหนานอีฝานก็นึกคำโต้แย้งออก จึงแผดเสียงตะโกนไปว่า
“พวกเขาอยู่ในเงื้อมือของพวกเจ้าแล้ว ย่อมถูกพวกเจ้าจับเชิดไปมาตามใจมิใช่หรือ?”
………………..