ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1937 ประจันหน้า
ตอนที่ 1937 ประจันหน้า
………………..
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้นกลับหัวเราะออกมาคราหนึ่ง
“คิดไม่ถึงเลยว่าประมุขหนานจะดูถูกผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลตัวเองขนาดนี้?”
ประโยคเยาะเย้ยประโยคนี้ทิ่มแทงเสียจนสีหน้าของหนานอีฝานซีดเซียวบิดเบี้ยว
“เจ้า!”
“คงไม่ต้องให้ข้าเตือนประมุขหนานหรอกว่าภายในกลุ่มคนที่มาเยือนก่อนหน้านี้ นอกจากหนานอวี่สิงแล้ว ในบรรดาผู้อาวุโสแปดท่านที่เหลือ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วห้าคน”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“แม้ที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้จะเหลือแค่สี่ แต่ดีร้ายอย่างใดก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ชื่อเสียงโด่งดังกันทั้งนั้น ประมุขหนานบอกว่าพวกเขายอมทำตามที่ข้าสั่ง… ไม่รู้จริงๆ ว่าประเมินข้าสูงไป หรือประเมินคนของตระกูลท่านต่ำไปกันแน่?”
หน้าอกของหนานอีฝานกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงจนปอดแทบปะทุออกมาอยู่รอมร่อ!
“ซั่งกวนเยว่! เจ้าอย่าได้ใจเกินไปหน่อยเลย!”
“ข้าก็แค่พูดไปประโยคสองประโยค จะเรียกว่าเกินไปได้อย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ พลางกล่าวด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“คำพูดพวกนี้มิใช่ว่าประมุขหนานเพิ่งพูดออกไปกับปากมิใช่หรือ? ทุกท่านจากตระกูลหนาน พวกท่านเองก็คงได้ยินแล้วกระมัง?”
บรรดาฝูงชนในตระกูลหนานพากันเงียบกริบ ทั้งยังอับอายอย่างมากอีกด้วย!
พวกเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะมาหาเรื่องพวกฉู่หลิวเยว่ เหตุใดตอนจบคนที่ถูกถามกลับกลายเป็นพวกเขากัน?
หนานอีฝานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เรียกสติกลับคืนมา
“เจ้า! เจ้า! ไม่ว่าจะพูดอย่างใด หนานอวี่สิงลูกชายข้า แล้วก็ผู้อาวุโสตระกูลหนานอีกสี่คนล้วนแต่ตายตกอยู่ที่นี่! พวกเจ้ากล้าพูดหรือว่าพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว!? วันนี้พวกเจ้าจะต้องให้คำอธิบายแก่ตระกูลหนานให้ได้! มิเช่นนั้น… ก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างประหลาดใจว่า
เมื่อก่อนเขาค่อนข้างนอบน้อมถ่อมตนกับหรงซิว แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
คำพูดนี้พูดเหมือนว่าเมื่อก่อนเขาทำดีกับพวกนางอย่างใดอย่างนั้น?
หนานอีฝานแทบหายใจไม่ออก
นับว่าเขาได้เห็นแล้วว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นี้เกิดมามีวาจาเชือดคมเสียจริง!
ใช้คำว่าช่างออเลาะฉอเลาะก็ไม่พอแล้ว!
เขาทะเลาะโต้เถียงสู้นางไม่ได้ ทำได้แค่เก็บความโกรธไว้ที่ตัวเองแทน!
“จริงสิ ในเมื่อประมุขหนานพูดขึ้นมาแล้ว ข้าเองก็ขอพูดเลยแล้วกัน ความจริงแล้วต่อให้ครั้งนี้พวกท่านไม่มา พวกเราเองก็คิดจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนถึงที่อยู่ดี”
ฉู่หลิวเยว่เชิดคางขึ้น
“เพราะว่า… พวกเราก็ต้องการคำอธิบายจากตระกูลหนานเหมือนกัน”
หนานอีฝานเกือบคิดว่าตัวเองหูฝาดแล้ว
เขาไม่เคยเจอคนที่โอหังขนาดนี้มาก่อน!
เดิมพวกเขามาที่ท่าเรือดอกท้อก็เพื่อฟังคำอธิบาย นางไม่เพียงแต่ไม่ให้ กลับกันยังเอ่ยโต้กลับมาอีก?
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ?”
หนานอีฝานถามกลับไปโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หลิวเยว่ยกมุมปากขึ้น หากแต่ดวงหน้ากลับแฝงด้วยรอยยิ้มเย็นอยู่หลายส่วน
“ข้าบอกว่า ประมุขหนานอาศัยตอนพวกข้าไม่อยู่พระราชวังเมฆาสวรรค์ พาคนจำนวนหนึ่งเข้ามาในท่าเรือดอกท้อ ฉวยโอกาสนี้ส่งคนมาลอบรัดคอสังหารพวกเรา หลังจากล้มเหลว ก็ไปปลุกใจให้คนของตระกูลหนานมาประณามเรา… หนี้ครั้งนี้พวกเราควรคำนวณอย่างใดดี?”
นางจงใจผ่อนความเร็วให้ช้าลง
ทุกทุกคำจึงชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งนัก!
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหน้าถอดสีกันทั่วถ้วน!
ในใจของหนานอีฝานราวกับถูกอันใดบางอย่างทุบเข้าอย่างแรง!
เขาโต้ตอบกลับไปทันควันด้วยเสียงดุดัน
“เจ้ามันปากพล่อยไปเรื่อย!”
“เป็นข้าที่ปากพล่อยไปเรื่อย หรือประมุขหนานที่มีจิตคิดร้าย… วันนี้ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ เหตุใดไม่ตรวจสอบให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่นวดขมับน้อยๆ มุมปากยังคงอมยิ้ม ดวงหน้ากลับเต็มไปด้วยแววหยามเหยียดจนแทบอดทนไม่ไหว
ต้องพูดว่ากระบวนการเช่นนี้ของหนานอีฝานทำเอานางขยะแขยงโดยแท้
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ลำพังแค่เรื่องเลือกสังหารหนานอีอีจนตายเพื่อหนานอวี่สิง ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้แล้ว!
ภายหลังเขายังอนุญาตให้หนานอวี่สิงพาพวกลั่วเหยี่ยนมาสังหารนางและหรงซิวเพื่อชำระล้างความรู้สึกผิดในใจตัวเอง หลังล้มเหลวไม่เป็นท่าก็โยนความผิดทุกอย่างไปให้คนอื่นแทน…
ฉู่หลิวเยว่ถอนใจด้วยความรู้สึกตะลึง
เขายังมีหน้าพาคนตระกูลหนานมาท่าเรือดอกท้อมากมายปานนี้ พูดพร่ำบอกว่าเพื่อลูกชายของตัวเองและผู้อาวุโสตระกูลหนานที่บาดเจ็บล้มตายเหล่านั้นอีกหรือ?
นางโบกมือ
“เฉินอี พาตัวพวกลั่วเหยี่ยนมา”
“ขอรับ”
เฉินอีพยักหน้า ก่อนหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
อี้เหวินเทานิ่วหน้า ในใจบังเกิดความรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาหลายส่วน!
เมื่อก่อนเฉินอีผู้นี้มักจะเดินคล้อยตามหลังหรงซิวและฉู่หลิวเยว่อยู่เสมอ
แต่ว่าจนถึงก่อนที่เขาจะพูดออกมา ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีความรู้สึกของการดำรงอยู่ให้สัมผัสแม้แต่น้อย ราวกับเป็นมนุษย์ล่องหนก็มิปาน!
กระทั่งเมื่อครู่ตัวเขาเองยังไม่สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของบุรุษผู้นี้เลย!
นี่คือ… คนสนิทของฉู่หลิวเยว่รึ?
อี้เหวินเทาจึงชักสายตากลับมา
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองเขาด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม
คนอย่างหนานอีฝานไม่ควรค่าแก่การให้ใส่ใจ
เทียบกันแล้ว ดูเหมือนตระกูลอี้จะรับมือได้ยากกว่าเยอะ
อี้เหวินเทาผู้นี้ภายนอกดูอ่อนโยนไร้พิษภัย เป็นปัญญาชนอย่างยิ่ง
ทว่าสามารถมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้จนทุกวันนี้ จะไปเป็นบุคคลธรรมดาสามัญได้อย่างใด?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังเลือกที่จะร่วมมือกับตระกูลหนานอีก!
สายตาของฉู่หลิวเยว่เคลื่อนไล่ต่อจนไปตกอยู่ที่คนสองคนที่อยู่ด้านหลังอี้เหวินเทาด้วยรอยยิ้มซุกซน
ฝั่งตระกูลอี้ยังมีคนคุ้นเคยอีกสองท่านอยู่ด้วย
อี้เหวินจั๋ว แล้วก็จวินจิ่วชิง!
นางรู้อยู่แล้วว่าอี้เหวินจั๋วมีชาติกำเนิดไม่เลว แต่เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าจะเป็นตระกูลอี้นี้
ส่วนจวินจิ่วชิง… ดูแล้วตอนนี้ก็นับว่าเป็นคนของตระกูลอี้ได้แล้วกระมัง?
“รองเจ้าสำนัก เจอกันครั้งก่อนยังไม่ทันได้ไปทักทายท่านดีๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอท่านที่นี่”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ย ในน้ำเสียงแฝงด้วยความขบขันและแววเยาะเย้ยถากถาง
ผู้มาคิดไม่ดี คิดดีคงไม่มา
ตอนนี้อี้เหวินจั๋วที่ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของตนแล้วโดยสิ้นเชิง ยืนตระหง่านอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา!
………………..