ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1939 แว้งกัด
ตอนที่ 1939 แว้งกัด
………………..
สิ้นเสียงพูด บรรยากาศในที่แห่งนี้พลันแข็งค้างขึ้นมาทันที!
ไอเย็นเยียบพวยพุ่งราวกับอุณหภูมิลดต่ำลงถึงจุดเยือกแข็ง!
มวลอากาศเหมือนถูกแช่แข็งก็มิปาน สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงัดจนใครๆ ต่างหายใจแทบไม่ออก
ความหมายของประโยคนี้ก็คือ หากฉู่หลิวเยว่ไม่ยอมส่งมอบท่าเรือดอกท้อแต่โดยดี ตระกูลอี้จะจัดการกุดหัวคนในท่าเรือดอกท้อทั้งหมดให้สิ้นซาก!
รอยยิ้มบนดวงหน้าฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เลือนหายไป
หว่างคิ้วของนางราวปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งเย็นยะเยือกที่หนาวเหน็บเสียดแทงลึกถึงกระดูก
“ประมุขอี้ นี่กำลังข่มขู่ข้าอยู่รึ?”
อี้เหวินเทาส่ายศีรษะ
“เปล่า ข้ากำลังเจรจาธุรกิจกับพระชายาด้วยความจริงใจอย่างถึงที่สุดต่างหาก”
น้ำเสียงของเขาตรงไปตรงมายิ่ง สีหน้าหรือก็จริงใจนัก
คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าตัวเขานั้นเปี่ยมด้วยความคิดซื่อตรงจากน้ำใสใจจริง!
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งพลางแสยะยิ้ม
“ดูท่าประมุขอี้จะมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว”
อี้เหวินเทาพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าวแฝงความนัยออกมาอย่างเปิดเผย
“คนตระกูลอี้ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
คนที่เขาพามาล้วนแต่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลอี้!
เมื่อมีตระกูลหนานมาร่วมมือด้วยยิ่งแล้วใหญ่ จะจัดการท่าเรือดอกท้อย่อมกระทำได้โดยง่ายดายกว่าเดิมมาก
เขารู้ว่าหรงซิวมีพละกำลังแข็งแกร่งดุดัน อีกทั้งก่อนหน้านี้ย่อมมีการตระเตรียมรับมือไว้แล้วบ้าง
แต่กับครานี้ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือ ก็ไม่มีทางยอมให้ตัวเองพ่ายแพ้ได้โดยเด็ดขาด!
เขาจ้องมองไปทางฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง
“มิทราบว่าพระชายาคิดเห็นอย่างใดกับเงื่อนไขนี้ของข้า?”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้นน้อยๆ แววตาราวกับมีประกายดาราแวววาวเคลื่อนผ่าน
ริมฝีปากแดงของนางเผยน้อยๆ เผยความในใจแท้จริงที่สุดของตนออกมาไม่กี่คำ
“ข้า ว่า เจ้า มัน เหลว ไหล สิ้น ดี…!”
…
เงียบกริบ
บรรดาคนทั้งหลายต่างไม่มีใครคาดคิดทั้งนั้นว่าฉู่หลิวเยว่จะพ่นประโยคเช่นนี้ออกมา
นี่มันเป็นการฉีกหนังหน้าอีกฝ่ายตรงๆ แล้วโยนลงพื้นไปกระทืบย่ำซ้ำอีกอย่างแรงเลยหนา!
ช่างเป็นการไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยจริงๆ!
คนตระกูลหนานต่างตื่นตะลึง
…ฉู่หลิวเยว่กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้เลยรึ?
คนตระกูลอี้เองก็ตกใจเช่นกัน
…นี่มันคำพูดบ้าอันใดกัน!?
แม้แต่คนที่ต่อให้เขาไท่ซานจะถล่มต่อหน้าก็ยังคงท่าทีเรียบนิ่งไว้ได้อย่างอี้เหวินเทาได้ยินประโยคนี้ ดวงหน้าสูงส่งสง่างามก็บิดเบี้ยวให้เห็นในพริบตา
ชาติกำเนิดของเขาสูงส่ง อยากได้อันใดก็ได้ตลอด มีหรือจะเคยถูกคนใช้วาจาให้รู้สึกอับอายกันซึ่งหน้าเช่นนี้?
วาจาช่างขัดหูยิ่ง! ช่างน่าอับอายขายหน้าเสียนี่กระไร!
ฝั่งทหารยามของท่าเรือดอกท้อที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างทยอยกันเผยสีหน้าชื่นชมนับถือ
…สมกับเป็นนายหญิงเยว่! กล้าหาญชาญชัยจริงๆ!
หากเป็นเรื่องจำพวกหยอกล้อจากที่สูงกว่าชนิดไม่คิดไว้หน้ากัน ก็ต้องเป็นเช่นนี้นี่ล่ะ!
อี้เหวินเทาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกสีหน้าเดิมกลับคืนมาอย่างยากลำบาก แล้วมองไปทางหรงซิวอย่างอดทนอดกลั้นด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“โอรสสวรรค์ ข้ามาเพื่อเจรจาธุรกิจด้วยน้ำใสใจจริง การกระทำเช่นนี้ของพระชายาออกจะเกินไปหน่อยกระมัง?”
ริมฝีปากบางของหรงซิววาดขึ้นเป็นเส้นโค้ง ก่อนตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“ขออภัยด้วย เยว่เออร์พูดจาโผงผางมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนนิสัยเสียอีกข้อก็คือมักจะชอบพูดความจริงออกมา ประมุขอี้จิตใจกว้างขวาง คงไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้หรอกกระมัง”
คำพูดเช่นนี้ทำเอาอี้เหวินเทาคับข้องใจเสียจนพูดไม่ออก!
ทั่วทั้งใบหน้าของเขาแดงเถือกสลับขาวซีด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสียน่าดูชม!
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับต้องยกนิ้วโป้งให้บุรุษผู้นี้อยู่ในใจขึ้นมาอีกรอบ
ยอดเยี่ยม
ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง
สิ่งใดจึงจะเรียกได้ว่าชัยชนะอันใสสะอาดโดยไร้การนองเลือด?
มันคือสิ่งนี้อย่างใดเล่า!
ทุกๆ คำล้วนดุจดั่งคมดาบแหลมที่ตวัดลงผ่ามารยาเสแสร้งแกล้งทำของอี้เหวินเทาจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
ต้องมาอับอายต่อหน้าบรรดาคนจำนวนมากเช่นนี้ คิดจะเก็บเศษหน้ากลับไปก็เกรงว่าทำได้ยากแล้ว!
“พวกเจ้า…“
อี้เหวินเทาแทบสำลัก เขาอ้าปากพูดไปได้แค่สองคำก็ถูกคนขัดจังหวะเสียก่อน
“นายหญิง พาตัวคนมาแล้วขอรับ”
บรรดาฝูงชนต่างพากันมองตามต้นทางของเสียง
เฉินอีกลับมาแล้ว
เบื้องหลังของเขายังมีทหารยามของจวนเยว่สองสามคนคอยคุมตัวพวกลั่วเหยี่ยนทั้งสี่คนให้เดินตามมาด้วย
ตั้งแต่ลั่วเหยี่ยนรับสารภาพจนหมดสิ้น ฉู่หลิวเยว่ก็มิได้หาเรื่องพวกเขาแต่อย่างใด กลับกันนางให้คนรับใช้คอยเลี้ยงดูปรนเปรออาหารการกินพวกเขามิได้ขาด
เพียงแต่ผู้คนในที่แห่งนี้ล้วนแต่มีพละกำลังโดดเด่น ไม่ช้าก็มีคนจับสังเกตถึงปัญหาได้
“… เหตุใดพวกเขาถึงได้อ่อนแอปานนี้? อีกอย่างบนร่างกายเองก็ไม่มีการกระเพื่อมของพลังปราณดั้งเดิมเลยสักนิด!”
ในหมู่คนตระกูลหนานมีคนเอ่ยถามออกมาเสียงแผ่วเบา
อ่อนแอ?
เข้าใจได้ง่ายออกจะตายไป
แปดส่วนย่อมต้องเป็นฉู่หลิวเยว่ที่จัดการทรมานพวกเขาอย่างแน่นอน
แต่บนร่างของพวกเขาไม่มีการกระเพื่อมไหวของพลังปราณดั้งเดิมเลยแม้แต่น้อย ช่างแปลกประหลาดเกินไปแล้วโดยแท้!
ต่อให้จะถูกตัดขาดจากค่ายกล ระยะห่างระหว่างพวกเขาเองก็ไม่ได้นับว่าห่างไกลมากมาย น่าจะยังพอรับรู้ถึงกันได้อยู่!
หนานอีฝานถึงกับใจหล่นวูบ รีบแผดเสียงทุ้มตะโกนออกมาไปทันควัน
“ซั่งกวนเยว่! พวกเจ้าทำอันใดกับพวกเขา!?”
ฉู่หลิวเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า
“ประมุขหนานรีบร้อนไปไย? ข้าเพียงใช้ยาเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขายอมมาที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมก็แค่นั้น อย่างใดซะ คนผู้นี้ก็มาอยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ?”
ระหว่างที่พูด นางก็สาวเท้าไปหยุดอยู่ข้างลั่วเหยี่ยน
“ลั่วเหยี่ยน ประมุขหนานบอกว่าพวกข้าคือคนที่สังหารหนานอวี่สิง เจ้ามีอันใดอยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”
สายตาของคนทุกผู้ล้วนจับจ้องไปที่ลั่วเหยี่ยนกันเป็นตาเดียว!
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
หนานอีฝานสบเข้ากับสายตาของเขาในทันใด
สายตาขุ่นมัวแลเฉยชาจนถึงที่สุดคู่นั้นทำให้ส่วนลึกในจิตใจของหนานอีฝานบังเกิดความกระวนกระวายอย่างรุนแรง
ลั่วเหยี่ยนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“หนานอวี่สิงถูกฆ่าตายด้วยฝีมือข้าเอง”
หนานอีฝานสองมือกำหมัดแน่น
“ลั่วเหยี่ยน! เจ้าถูกพวกมันข่มขู่มาใช่หรือไม่!? วางใจเถอะ วันนี้พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้พวกเจ้า! เจ้าพูดความจริงออกมาเถอะ!”
ลั่วเหยี่ยนจึงมองเขาทั้งอย่างนั้นด้วยสายตาเย็นยะเยือกและประหลาดพิกล
“เป็นข้าที่ลงมือสังหารหนานอวี่สิงจริงๆ ตอนนั้นใครหลายคนก็เห็น เหตุใดข้าถึงสังหารเขา หนานอีฝาน เจ้าควรจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดมิใช่หรือ?”