ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1941 ใครอยากได้ก็เข้ามาแย่ง
ตอนที่ 1941 ใครอยากได้ก็เข้ามาแย่ง
………………..
อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ กระอักเลือดออกมาคำโตเพราะถูกยั่วโมโหด้วยประโยคเหล่านั้นของฉู่หลิวเยว่
ทั่วทั้งสี่ทิศตกอยู่ในความเงียบสนิท
คนตระกูลหนานต่างมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
กระทั่งสายตาของคนตระกูลอี้ที่ใช้มองหนานอีฝานเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
หรือว่าเรื่องพวกนั้นที่ฉู่หลิวเยว่พูดจะเป็นความจริง?
หนานอีฝานทำเรื่องพวกนั้นจริงๆ หรือ?
หากเป็นอย่างนั้นจริง เช่นนั้น… นับจากนี้เป็นต้นไป ก็เรียกได้ว่าชื่อเสียงของหนานอีฝานถูกทำลายจนย่อยยับ!
รักษาตำแหน่งประมุขไว้ไม่ได้ไม่พอ ถึงขั้นกลายเป็นหนูในตลาดให้คนเขาด่าทอไล่ตี!
คนที่กล้าลงมือทำเช่นนั้นกับลูกในไส้ของตัวเอง ใครจะยังกล้าทำงานร่วมกับเขา? ใครจะยังแสดงสีหน้าดีๆ ให้เขาได้?
ท้ายที่สุด ก็มีคนจากตระกูลหนานลุกออกมาเอ่ยถามว่า
“ท่านประมุข ท่านมิมีสิ่งใดอยากพูดหน่อยหรือ?”
สายตาลุกวาวของคนทุกผู้จับจ้องไปที่หนานอีฝานเป็นตาเดียว
พวกเขาต้องการคำอธิบายสักอย่าง!
ในใจหนานอีฝานเจ็บแค้นเคืองโกรธยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าพวกลั่วเหยี่ยนถูกจับขัง ในใจของเขาแม้จะรู้สึกไม่สงบอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้วหาได้กังวลว่าพวกเขาจะเลือกทรยศจริงๆ ไม่!
ต้องเข้าใจก่อนว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นคนสนิทที่ติดตามเขามาหลายปี เป็นคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด!
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงระยะเวลานี้ส่วนใหญ่เขาจมปลักอยู่ในความโศกเศร้าและโกรธแค้น สภาพจิตใจอยู่ในภาวะตึงเครียดมาโดยตลอด ในใจเต็มไปด้วยความคิดหมายจะแก้แค้น เดิมจึงไม่มีแรงกายแรงใจเหลือไปสนใจเรื่องอื่นแล้ว
คิดไม่ถึงเลย!
เอาเรื่องราวทุกอย่างมาเปิดเผยต่อหน้าคนจำนวนมากปานนี้!
ภายในอกของหนานอีฝานราวกับมีไฟสุมทรวง ลุกลามแผดเผาภายในนัยน์ตาของเขาจนฉาบไปด้วยสีแดงก่ำ!
เขาค่อยๆ ปาดคราบเลือดที่มุมปากออก แล้วหันศีรษะกลับไปมองแวบหนึ่ง
แววตาเย็นเฉียบไร้ความปรานีดุจคมดาบแหลมกวาดมองคนตระกูลหนานทุกคน แล้วเจาะจงหยุดลงที่ร่างของคนที่เพิ่งพูดออกมาพักใหญ่
ใจของคนผู้นั้นกระตุกกึก เผลอถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
สายตาของหนานอีฝาน… ช่างชวนให้หวาดหวั่นเกินไปแล้ว
“พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่กุมอำนาจสำคัญภายในตระกูล ยังต้องให้ข้าสอนพวกเจ้าอีกหรือว่าควรเชื่อใครไม่เชื่อใคร!?”
หนานอีฝานสองหมัดกำเข้าหากันแน่น ทุกทุกคำราวกับเล็ดลอดออกมาจากไรฟันก็มิปาน
ทันใดนั้นเขาก็เงื้อมือขึ้น แล้วชี้ไปทางพวกลั่วเหยี่ยน
“คนพวกนี้ถูกขังอยู่ในท่าเรือดอกท้อมาหลายวันแล้ว! ใครจะไปรู้ว่าช่วงระยะเวลานี้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นบ้าง!?” พวกเจ้าไม่เชื่อข้า แต่จะไปเชื่อพวกมันแทนน่ะหรือ?”
คำถามโต้กลับชุดนี้ทำเอาคนตระกูลหนานต่างหวั่นไหวขึ้นมาอีกรอบ
แม้ที่ลั่วเหยี่ยนพูดมาจะดูเหมือนเรื่องจริง แต่คำพูดพวกนี้ของหนานอีฝานเองก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล…
ใครจะรู้เล่าว่าเบื้องหลังมีคนคอยชักใยอันใดอยู่หรือเปล่า?
หนานอวี่สิงตายไปแล้ว
หนานอีอีก็เช่นกัน
สรุปแล้วความจริงเป็นอย่างใด ความเห็นแตกต่างกระจัดกระจายก็ไร้หนทางตรวจสอบได้
สรุปแล้วควรเชื่อใครกันแน่ พวกเขาเองก็เต็มไปด้วยความลังเลเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
แน่นอนอยู่แล้วว่าหนานอีฝานไม่มีทางยอมรับ
ทันทีที่เรื่องพวกนี้ถูกยืนยัน ตัวเขาต้องย่อยยับไม่มีชิ้นดีแน่!
หนานอีฝานกล่าวขึ้นมาอีกว่า
“หากพวกเจ้ายังนับว่าตัวเองคือคนตระกูลหนาน วันนี้… ก็บุกโจมตีไปกับข้า!“
ชึ่บ!
ในมือของเขาพลันปรากฏหอกยาวสีเงินเล่มหนึ่ง!
หัวหอกเฉียบคมหาสิ่งใดเปรียบมิได้ ลายสลักบนด้ามหอกเกี่ยวพันรัดรึง ซ้อนทับกันไปมา!
“ข้าขอดูหน่อยซิว่าพวกเจ้าจะแก้ต่างให้ตัวเองได้ไปถึงไหน!”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เขาก็สะกิดฝ่าเท้าพุ่งตรงเข้าหาฉู่หลิวเยว่!
ใต้ฝ่าเท้าของเขามีประกายสายฟ้าสีเงินไหววูบตาม ส่งเสียงปะทุเปรี๊ยะออกมา!
เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ พละกำลังแข็งแกร่งเป็นทุนเดิม บัดนี้ลงมือใช้เคล็ดวิชาฝ่าเท้าอีก ความเร็วจึงทวีคูณมากกว่าเก่า!
เพียงชั่วพริบตาก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าค่ายกลแล้ว!
“หอกมังกรเงินกระชากวิญญาณ!”
ลมปราณของหนานอีฝานไหลวนทั่วทั้งร่าง แรงกดดันมหาศาลพลันเข้ามาเยือน!
“กึก กึก กึก”!
บนหอกยาวสีเงินเล่มนั้นพลันแผ่ขยายเป็นแผ่นเหล็กปลายแหลมขนาดใหญ่!
มองดูจากที่ไกลๆ แล้วเหมือนกับเกราะเกล็ดก็มิปาน!
อีกทั้งบน “เกราะเกล็ด” อันนั้นมีแสงสีม่วงแดงลอยแผ่ออกมา ดูเย็นเยียบอย่างน่าแปลกประหลาด
…นั่นมันเคลือบพิษอย่างเห็นได้ชัด!
เพียงชั่วลมหายใจ หอกยาวก็เคลื่อนมาถึง!
ทุกคนต่างก็เครียดขึงอยู่ในใจ คิดไม่ถึงว่าหนานอีฝานจะบุกโจมตีกะทันหัน!
ในตอนที่พวกเขาครุ่นคิดอยู่นั่นเองว่าฉู่หลิวเยว่จะสามารถต้านทานการโจมตีครั้งนี้ได้หรือไม่ กลับต้องตกใจเมื่อพบว่า…ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย!
เรือนผมยาวของนางแผ่สยาย นางเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ยืนอยู่เช่นนั้นเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งดังเคย
ราวกับว่า… ไม่ได้เห็นการโจมตีของหนานอีฝานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย!
ไม่ใช่แค่พวกเขา หนานอีฝานเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเพราะปฏิกิริยาเช่นนี้ของนางเช่นกัน
แปลกเกินไปแล้ว!
ระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคนไม่ไกลกันเลยแม้แต่น้อย บัดนี้เขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้ค่ายกลแล้วด้วยซ้ำ!
นางคงมิได้ตกใจกลัวจนนิ่งค้างไปแล้วกระมัง?
หนานอีฝานคิดเช่นนี้ในใจ
ทว่าในตอนที่เขาและฉู่หลิวเยว่ประจันหน้ากัน เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวเองคิดผิด!
นัยตาแฝงแววดาราส่องประกายคู่นั้นเงียบสงบดุจบ่อน้ำลึก เหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น มิอาจก่อให้เกิดคลื่นกระเพื่อมใดๆ
แม้แต่มุมปากของนางยังคงยกขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังยิ้ม
ยิ้มรึ?
ยิ้มเหตุใดกัน!?
หนานอีฝานมองด้วยความงุนงง
ตัวของฉู่หลิวเยว่ราวกับซ่อนงำความลับอันนับไม่ถ้วนเอาไว้ ไม่ว่าจะทำอย่างใดก็ไม่สามารถมองทะลุได้
เมื่อเห็นเขาลงมือ นางดูไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่า… มองมันด้วยเจตนาขบขันไม่น้อยเลยด้วยซ้ำ?
ใช่!
เป็นความรู้สึกเช่นนี้นี่แหละ!
หนานอีฝานพลันโมโหขึ้นมา
ท่าทีและสีหน้าเช่นนี้ของฉู่หลิวเยว่กำลังรอดูเขาเป็นตัวตลกอยู่มิใช่หรือ!?
แต่นางมีคุณสมบัติอันใดมาทำเช่นนี้?
เขารู้ว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นี้พละกำลังกล้าแกร่งห่างชั้นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงทั่วไป
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่สุสานสังหารเทพ เขาหวาดกลัวหรงซิวจับจิต แต่ตอนนี้เขาไม่มีอันใดให้ต้องกลัวแล้ว!
ดังนั้นการโจมตีครานี้เขาจึงลงมือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
ทว่าในตอนนั้นเอง พลังอันแข็งกร้าวและยืดหยุ่นสายหนึ่งพลันเข้ามาสกัดหนานอีฝานไว้!
หนานอีฝานตื่นตกใจเป็นอันมาก ก่อนจะพบว่าสิ่งที่สกัดกั้นเขาไว้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นค่ายกลของท่าเรือดอกท้อนั่นเอง!
ค่ายกลที่ก่อนหน้านี้ช่างอ่อนแอและผันผวน สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ บัดนี้กลับกลายเป็นกำแพงเหล็กที่มิอาจลุกล้ำเข้าไปได้แม้แต่ครึ่งชุ่น!
การโจมตีที่หมายเอาชีวิตอีกฝ่ายของหนานอีฝานครั้งนี้แทงออกไปอย่างรุนแรง กลับถูกค่ายกลนี้สกัดกั้นไว้ได้อย่างเงียบเชียบ
กระแสพลังทั้งสองฝั่งเริ่มเข้าปะทะโรมรันดุเดือดอย่างไร้สุ้มเสียง!
เพราะการกระเพื่อมไหวของกระแสพลัง บนค่ายกลจึงราวกับมีคลื่นน้ำแผ่ขยายออกไปเป็นวง
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ประกายรัศมีระยิบระยับเล็กๆ ที่ส่องลงมาทอแสงสว่างไสว
หนานอีฝานตะลึงจนหยุดอยู่กับที่!
หอกมังกรเงินกระชากวิญญาณเล่มนี้ของเขาเป็นถึงสมบัติหายาก! ไม่มีสิ่งใดต้านทานมันได้!
ทว่าตอนนี้กลับถูกค่ายกลอันนี้สกัดกั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย?
“ทุกท่าน หากหมายจะเอาชีวิตข้า ก็ต้องมีความสามารถในการบุกท่าเรือดอกท้อของข้าก่อนถูกหรือไม่?“
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยปากพูดด้วยเสียงเรียบเรื่อย บนดวงหน้าประดับรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับแฝงแววเย็นเฉียบ!
สายตาของนางกวาดมองไปที่บรรดาฝูงชนอย่างเชื่องช้าและมั่นคง
“ข้ารู้ว่าภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่มีคนหมายตาท่าเรือดอกท้ออยู่มาก ดังนั้นวันนี้ข้าก็ขอป่าวประกาศอย่างตรงไปตรงมาสักประโยค“
”ท่าเรือดอกท้อแห่งนี้ ใครอยากจะแย่งไปก็เข้ามาได้ทั้งนั้น! ตราบที่มีคนมาแบ่งเอาอาณาเขตของท่าเรือดอกท้อไปจากมือข้าได้แม้แต่ครึ่งชุ่น ข้าจะจดจำว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ!“