ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1944 รอดู / ตอนที่ 1945 ลงมือ
ตอนที่ 1944 รอดู
อี้เหวินเทาหันศีรษะกลับมามองเขาแวบหนึ่ง
“อื้อ?”
“ท่าเรือดอกท้อในตอนนี้อาจไม่มีอันใดให้ต้องกังวล แต่พวกเขาเองก็มีคนคอยหนุนหลังอยู่ไม่น้อย หากถึงเวลานั้นสถานการณ์อาจจัดการยากยิ่งกว่าเก่า”
คำพูดของจวินจิ่วชิงรัดกุมนัก
อี้เหวินจั๋วเองก็อดไม่ได้ที่ผงกศีรษะตาม เอ่ยเสริมไปว่า
“นั่นสิ! พี่ใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงพระราชวังเมฆาสวรรค์ ลำพังแค่ฉู่หลิวเยว่คนเดียวก็ยากจะจัดการแล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นที่นางทำพันธสัญญาด้วยเป็นถึงนายหญิงน้อยเผ่าหงส์ทองคำเลยหนา…”
ลำพังแค่ตัวฉู่หลิวเยว่ผู้เดียวมิได้ทำให้คนขยาดกลัวถึงเพียงนั้น
แต่จุดสำคัญอยู่ที่ว่านางมีผู้หนุนหลังที่เก่งกาจอย่างมากอยู่ด้วย!
หากรั้งรอจนยืดเยื้อไปถึงเวลานั้น เกรงว่า…
อี้เหวินเทาครุ่นคิดน้อยๆ
ปัญหานี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดมาก่อน
ตั้งแต่เขาตกลงร่วมมือกับหนานอีฝาน เขาก็คาดเดาความเป็นไปได้อันนับไม่ถ้วนไว้แล้ว รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องเผชิญภายใต้แต่ละสถานการณ์ด้วย
ในบรรดาความคิดเหล่านั้นย่อมรวมถึงเรื่องพวกนี้เอาไว้
แต่ในเมื่อเขาเลือกตัวเลือกข้อนี้แล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าเขาเองได้คิดมาจนทะลุปรุโปร่งแล้ว
อันใดสำคัญมากสำคัญน้อย เขาล้วนรู้แก่ใจ
“รอไปก่อน”
เห็นเขายังคงรักษาท่าทีและสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้เช่นนี้ พวกอี้เหวินจั๋วต่างก็ร้อนใจขึ้นมาทันใด
รอ?
ยังต้องรออันใดอีก?
เวลานี้รีบยึดเอาท่าเรือดอกท้อมาได้ให้เร็วที่สุดควรจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ?
แต่ไม่ว่าบรรดาคนทั้งหลายจะมีปฏิกิริยาเช่นไร สีหน้าและท่าทีของอี้เหวินเทายังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่คิดจะพูดอันใดต่ออีก
ภายในตระกูลอี้ คำพูดของเขาไม่มีใครขัดได้ทั้งนั้น
เวลานี้เองก็ย่อมเป็นเช่นนั้น
อี้เหวินจั๋วขมวดคิ้วแน่น คิดจะเอ่ยโน้มน้าวอีกสักหน่อย ทว่าสุดท้ายก็เลือกยอมแพ้ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง
เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าพี่ใหญ่กำลังคิดอันใดอยู่ในหัวกันแน่
ตระกูลหนานกับฉู่หลิวเยว่ตีกันมันน่าดูตรงไหน?
จวินจิ่วชิงมองอี้เหวินเทาแวบหนึ่ง พบว่าครรลองสายตาของเขาหยุดอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่
จนแทบจะเหมือน… ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เขาพลันคิดอันใดบางอย่างออก ความคิดในหัวแล่นพล่าน ก่อนมองตามสายตาของอี้เหวินเทาไป
เขากำลัง… มองอันใด?
หรือไม่ก็กำลังรออันใดอยู่กัน?
…
บรรดาคนจากตระกูลหนานล้วนเคลื่อนไหว เริ่มพากันทยอยลองทลายค่ายกลของท่าเรือดอกท้อ
ชั่วขณะนั้น กระแสพลังหลากสีซ้อนทับเกี่ยวรัดไปมาจนวุ่นวายอลวน!
เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะลองทำอย่างใด ค่ายกลนี้ก็ยังคงตั้งตระหง่านดังเดิม
เริ่มแรกพวกเขายังคงค่อนแคะหนานอีฝานในใจไม่น้อย ในตอนนี้จึงได้เข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ที่เขาลงมือไปสองครั้งล้วนแต่ล้มเหลวไม่เหลือท่า
…ค่ายกลนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้องจริงๆ!
ตระกูลหนานนับว่าเป็นตระกูลชั้นสูงที่มีระดับสูงสุดภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้ว แต่กระทั่งพวกเขาก็ไม่กล้าพูดว่าค่ายกลของตนเองแข็งแกร่งกว่าค่ายกลที่อยู่ตรงหน้า!
อีกอย่างมันเห็นได้ชัดอยู่รอมร่อว่าค่ายกลนี้มีฉู่หลิวเยว่ควบคุมอยู่เพียงผู้เดียว!
นางสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้ตามใจชอบเลยด้วยซ้ำ!
“… มิแปลกใจแล้วว่าก่อนหน้านี้ถึงได้มีข่าวลือเรื่องท่าเรือดอกท้อนี้ตกเป็นอาณาเขตของฉู่หลิวเยว่ไปแล้ว ค่ายกลนี้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของนาง ฟังคำสั่งนาง นี่ก็แปลว่าท่าเรือดอกท้อทั้งหมดตกอยู่ภายในมือของนางแล้วไม่ใช่หรือไร? ยังมีอันใดที่นางทำไม่ได้กันอีกเล่า!?”
“แปลกประหลาดจริงๆ! ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงคนเดียวเช่นนางทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างใดกัน?”
“ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ท่าเรือดอกท้อเกิดเรื่องวุ่นวายโกลาหล มีการเคลื่อนไหวรุนแรงสะเทือนเลื่อนลั่น นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นซั่งกวนเยว่ทำอันใดลงไปกันแน่?”
ทุกคนต่างเปี่ยมด้วยความสงสัยในใจ
พวกเขาต่างก็อยากรู้กันจริงๆ!
“หากพวกเราทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้ ก็ต้องเสียเวลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ?”
นั่นออกจะชวนให้รู้สึกรับไม่ได้เกินไปหน่อยแล้ว…
ในตอนนั้นเอง เสียงแตกร้าวของบางสิ่งบางอย่างพลันดังแว่วขึ้นมา!
ซ่า…
บรรดาฝูงชนตวัดสายตาไปมอง กลับพบว่าหนานอีฝานเข้าโจมตีค่ายกลตรงหน้าอีกรอบไปตอนไหนไม่รู้!
มือข้างหนึ่งของเขาใช้กำลังฉีกกระชากค่ายกลจนทะลวงเข้าไปข้างในได้!
กริชเล่มนั้นใหญ่ประมาณฝ่ามือของผู้ใหญ่ ทั่วทั้งเล่มกริชปรากฏแววสีม่วงเย็นเยียบลอยวน
มันแหลมคมหาสิ่งใดเปรียบ!
จนสามารถทำให้ค่ายกลที่ตั้งตระหง่านมั่นคงแตกหักออกมาได้ด้วยความเงียบเชียบ!
หนานอีฝานเห็นดังนั้น ในใจพลันบังเกิดความลิงโลด
เดิมเขาเพียงแค่ตัดสินใจลองทำดู คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จจริงๆ!
มิอาจปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้เด็ดขาด!
หนานอีฝานถ่ายทอดพลังจำนวนมากกว่าเก่าลงไปในกรงเล็บทันที ก่อนจัดการกรีดออกอย่างรุนแรง!
รอยแตกสายนั้นพลันถูกลากออกเป็นทางยาว!
เขาไม่มีความลังเลใดๆ รีบแทรกตัวเข้าไปทันที!
“รีบโจมตีเสียสิ!”
บรรดาคนตระกูลหนานเห็นดังนั้นต่างก็ฮึกเหิมเป็นอันมาก รีบพากันมุ่งไปด้วยหมายจะพุ่งตามหนานอวี่สิงเข้าไป
ทว่าหลังจากที่หนานอีฝานเพิ่งเข้าไปในค่ายกล รอยแตกยาวเป็นทางก็เริ่มฟื้นฟูเชื่อมต่อกลับมาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ!
แสงตกกระทบสะท้อนรอยคลื่นกระเพื่อมดูเหมือนคราแรกสุดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
คนตระกูลหนานที่กำลังตามเข้ามาถูกสกัดกั้นเอาไว้ด้านนอกโดยพลันด้วยถูกปิดประตูใส่หน้าอย่างจัง
“นี่ นี่…“
บรรดาคนที่พุ่งมาอยู่ด้านหน้าพยายามลองเปิดค่ายกลอีกรอบ ทว่าน่าเสียดายที่การกระทำนั้นกลับเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์
หนานอีฝานที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหันศีรษะกลับไปมองแวบหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าค่ายกลนั้นฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติในพริบตา หนังตาของเขาก็กระตุกยิกอย่างแรง!
ความกระวนกระวายอันหนักหน่วงแล่นปราดขึ้นมาในใจ!
“ประมุขหนานช่างเก่งกาจเสียจริง ถึงสามารถทะลวงค่ายกลท่าเรือดอกท้อของข้าเข้ามาได้อย่างง่ายดายปานนี้”
เสียงเอ่ยแกมหัวเราะของฉู่หลิวเยว่ดังแว่วขึ้นมา
ติดกับจนได้!
เขาที่บุกเข้ามาถึงข้างในค่ายกลตัวคนเดียวก็ไม่ต่างอันใดกับเนื้อเข้าปากเสือ!
“เจ้า! สับปลับนักนะ!”
ใจของหนานอีฝานพลันบังเกิดโทสะขึ้นมาทันใด!
ฉู่หลิวเยว่ยังคงยิ้มร่าดังเดิม
“มิได้ๆ เทียบกับนิสัยมากแผนการของประมุขหนานแล้วยังห่างชั้นอยู่มาก”
คำพูดนี้เอ่ยเป็นเชิงเสียดสีเขาที่สังหารหนานอีอีเพื่อหนานอวี่สิงนั่นเอง
ในอกของหนานอีฝานราวกับถูกบางอย่างทุบเข้าอย่างหนักหน่วง กดทับเสียจนหายใจแทบไม่ออก
เขาพลิกฝ่ามือแล้วแทงออกไปอีกครา!
บนค่ายกลกระเพื่อมไหวเป็นรอยคลื่น ทว่ากลับไม่ฉีกกระชากออกเหมือนก่อนหน้านี้
ก่อนหน้านี้นางจงใจเหมือนอย่างเขาคิดไว้!
ในใจของหนานอีฝานรู้สึกชิงชังนัก จะอย่างใดก็คิดไม่ถึงว่าป่านนี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ยังเล่นลูกไม้ลอบแทงข้างหลังได้อีก!
ในเมื่อค่ายกลนี้เปิดออกไม่ได้แล้ว…
ความคิดในหัวหนานอีฝานแล่นพล่าน ก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว!
…อย่างใดเสียก็เข้ามาแล้ว ก็ทุ่มหมดหน้าตักชนิดฆ่ากับพวกมันให้ตายกันไปข้างนึงเลยแล้วกัน!
ต่อให้วันนี้เขาต้องสูญเสียชีวิตของตนไป ก็ไม่มีทางยอมให้คนพวกนี้อยู่เย็นเป็นสุขได้!
หนานอีฝานค่อยๆ กวาดสายตามองพวกลั่วเหยี่ยนด้วยความโกรธเกลียดเต็มเปี่ยม
ทั้งสี่คนนี้ล้วนทรยศหักหลังตระกูลหนานทั้งสิ้น!
หากรู้แต่แรก ตอนนั้นก็คงไม่ให้พวกมันติดสอยห้อยตามไปด้วย!
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว อวี่สิงก็อาจจะไม่ตายไปเช่นนี้!
หากสายตาสามารถสังหารคนได้ ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ก็คงถูกแทงจนเป็นรูพรุนไปทั้งตัว
หากแต่หลายปีมานี้นางผ่านการฝึกปรือมาแล้ว ดังนั้นนางจึงมิได้มองปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ของหนานอีฝานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ซั่งกวนเยว่! เจ้านับว่ามีความสามารถอยู่ไม่น้อยจริงๆ! แต่หากเจ้าคิดว่าของพวกนี้จะทำให้มองไม่เห็นคนอยู่ในสายตา กลายเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าได้… ก็ออกจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อยกระมัง!”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า
“คำพูดเช่นนี้ของประมุขหนานนับว่าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าหาใช่คนที่ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาไม่ ข้าก็แค่…ไม่ได้มองพวกเจ้าอยู่ในสายตาแต่แรกต่างหาก!”
กับคนที่เป็นศัตรู มีอันใดให้ต้องพูดด้วยอีกหรือ?”
นางไม่สังหารพวกเขา ก็ต้องถูกพวกเขาสังหารแทน!
ตัวเลือกเช่นนี้นางไม่เคยลังเลมาแต่ไหนแต่ไร!
หนานอีฝานขบกรามแทบแตก
เขารู้อยู่แล้ว! ไม่จำเป็นต้องให้ฉู่หลิวเยว่พูดมากขนาดนั้นดอก!
มิเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่ายังไม่ทันทำอันใด เขาก็ต้องโมโหตายไปก่อนแน่ๆ!
“เหิมเกริมนัก!”
หนานอีฝานตวาดเสียงดุดัน
“หากเจ้าแน่จริงก็มาสู้กับข้าสักตั้ง! ถ้าเจ้าชนะจะฆ่าจะแกงกันก็สุดแล้วแต่เจ้า! หากเจ้าแพ้…“
“ประมุขหนาน คงไม่ใช่ว่าลูกชายลูกสาวจากโลกนี้ไปติดๆ จนท่านเสียใจเกินรับไม่ไหว สมองเลยเลอะเลือนไปด้วยแบบนั้นหรอกกระมัง?”
ฉู่หลิวเยว่ขัดคำพูดของเขาแล้วถามอย่างประหลาดใจ
“ท่านส่งตัวเองมาตายถึงหน้าประตู แต่จะให้ข้ากับท่านสู้กันตัวต่อตัว? ข้าคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดต้องตอบรับข้อเสนอนี้ของท่านด้วย?”
ดังนั้นภายใต้วิกฤตการณ์ เขาจึงทำได้แค่พูดออกไปเช่นนั้น
ทว่าฉู่หลิวเยว่หาได้โง่งมไม่
“พูดอีกอย่างก็คือ ตัวท่านที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์พูดแบบนี้กับผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงเช่นข้า… ประมุขหนาน ท่านไม่อาย แต่ข้าเองยังรู้สึกขายหน้าแทนท่านแล้วเลย”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
สีหน้าของหนานอีฝานเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดขาวน่าดูชม!
ตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพที่ขึ้นหลังเสือแล้วลงยากแล้วจริงๆ!
จะกลับไป? ค่ายกลก็เปิดไม่ออก
มุ่งหน้าต่อ?
ตรงนั้นเต็มไปด้วยคนจำนวนมากขนาดนั้น ต่อให้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจรับมือพวกมันได้หรอกหนา!
เขาร้อนใจเสียจนเหงื่อเม็ดใหญ่หลั่งออกเต็มศีรษะ ทั่วทั้งกายรู้สึกเย็นเฉียบ
หรงซิวที่ยืนดูอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดพลันเอ่ยปากขึ้นว่า
“ประมุขอี้ ประมุขหนานตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ท่านยังไม่คิดลงมืออีกหรือ?”
คำพูดนี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเฉยชาเช่นเคย ทว่ากลับทำให้บรรดาฝูงชนภายในค่ายกลเงียบกริบลงได้ในพริบตา!
คนทั้งหมดพากันหันไปมองทางอี้เหวินเทาโดยไม่รู้ตัว
ในความเป็นจริง มาถึงเวลานี้แล้วใครจะยังดูจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ไม่ออกอีก?
บัดนี้หนานอีฝานไร้ทางสู้เป็นที่เรียบร้อย แต่เขากลับยังไม่มีการเคลื่อนไหว
หรือว่าต้องการจะดูหนานอีฝานไปตายต่อหน้าต่อตากัน?
อี้เหวินเทาได้ยินเช่นนั้น แววตาก็วูบไหวเล็กน้อย
เขากับหรงซิวสบสายตากันอยู่พักหนึ่ง
นัยน์ตาลึกล้ำดุจบ่อน้ำลึกนิ่งสงบคู่นั้นฉาบด้วยไอเย็นเยียบ ทำให้คนที่มองไปต่างรู้สึกหนาวยะเยือก
อี้เหวินเทาพลันใจกระตุกกึก
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงหวาดกลัวหรงซิวในใจอยู่บางส่วน…
ทว่าในตอนนั้นเอง หนานอีฝานพลันพุ่งเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่!
ฝ่ามือของเขาสะบัดไหว กริชเล่มนั้นก็ทะยานออกไปในชั่วพริบตา!
ความรู้สึกเสียดแทงอันหนาวลึกถึงกระดูกกระแทกหน้าเข้าอย่างจัง!
ความคิดในหัวฉู่หลิวเยว่แล่นปราด โล่ผสานนภาปรากฏขึ้นมาต่อหน้านาง!
นัยน์ตาของอี้เหวินเทาพลันหดเล็กลง!
………………..