ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1947 ผู้หนุนหลัง / ตอนที่ 1948 สมาชิกในเผ่าอีกคน
ตอนที่ 1947 ผู้หนุนหลัง
สายตาของคนทุกผู้ล้วนจับจ้องไปที่ร่างของคนทั้งสอง รั้งรอผลแพ้ชนะอย่างใจจดใจจ่อ
ทว่ามีคนผู้หนึ่งที่ไม่ได้เห็นเรื่องนั้นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
คนผู้นี้ก็คืออี้เหวินเทานั่นเอง
หลังจากที่เห็นฉู่หลิวเยว่เรียกโล่ผสานนภาออกมา ในใจของเขาพลันวูบโหวงขึ้นมา จึงรอดูนางลงมือ
ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่ไม่เพียงแต่ไม่ลงมือ แต่กลับเรียกเฉินอีให้มาประมือกับหนานอีฝานกลางคันเสียได้
นี่ทำให้อารมณ์ของอี้เหวินเทาย่ำแย่ลงอย่างมาก
ทว่าบนสีหน้าของเขากลับไม่ปรากฏร่องรอยพวกนั้นแม้สักเสี้ยว ยังคงมองดูด้วยสีหน้าเรียบนิ่งดังเก่า
“คนสนิทผู้นี้ของฉู่หลิวเยว่นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
เขาพลันเอ่ยปากขึ้นมา
ไม่ลงมือก่อน ไม่ลงมือหลัง แต่เลือกเวลานี้…
อีกทั้งจากที่เขาตรวจสอบดูตอนก่อนหน้านี้แล้ว พลังของเฉินอีผู้นี้เรียกว่ามิอาจประมาทได้จริงๆ
อี้เหวินจั๋วขมวดคิ้ว
“ได้ยินมาว่าเป็นคนที่ฉู่หลิวเยว่พากลับมาจากนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ ก่อนหน้านี้ไม่รู้เช่นกันว่าข้างกายนางจะมีบุคคลเช่นนี้อยู่ด้วย…”
สายตาของอี้เหวินจั๋วนั้นนับว่าไม่ด้อยเลย
ฉากที่เฉินอีรับการโจมตีเมื่อครู่ของหนานอีฝานเขาล้วนเห็นมันจนทะลุปรุโปร่ง
เขามั่นใจแน่แล้วว่าพละกำลังของเฉินอีมิอาจจะดูแคลนได้โดยเด็ดขาด!
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ ในใจของอี้เหวินจั๋วก็ยิ่งอัดอั้น
ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ชั่วร้ายเกินไปแล้วจริงๆ!
ทุกครั้งที่ทุกคนคิดว่าตัวเองรู้จักนางดีพอแล้ว นางก็จะทำเรื่องที่น่าตื่นตะลึงขึ้นมายิ่งกว่าเก่า เผยไพ่ตายในมือออกมามากกว่าเดิม!
อีกทั้งไม่รู้ว่าครั้งนี้…
ทันใดนั้นเอง!
เงาร่างร่างหนึ่งลอยทะยานออกมาจากเปลวเพลิงที่ลุกโหมปนเป!
ตึง!
ร่างของเขาหล่นร่วงลงพื้นอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังกึกก้อง!
บรรดาฝูงชนต่างรีบตวัดสายตามองไป ยามเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจนกลับต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าลึกๆ
…ผู้ที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นก็คือหนานอีฝานนั่นเอง!
ในตอนนั้นเขากำลังนอนแผ่ราบอยู่บนพื้น สีหน้าซีดขาว กระอักเลือดออกมาไม่หยุดหย่อน
ส่วนนิ้วชี้ข้างนั้นก็ถูกหักทิ้งเช่นกัน! มันห้อยลงมาในมุมแปลกประหลาดพร้อมหยดเลือดที่หลั่งริน
ดูแล้วสภาพดูไม่จืดอย่างยิ่ง
คนทั้งหมดต่างตื่นตกใจจนนิ่งค้างอยู่กับที่ ต่างพร้อมใจกันตกลงสู่ความเงียบงัน!
เดิมคิดว่าหนานอีฝานย่อมชนะแน่แล้ว ใครจะรู้ว่าแค่รอบเดียวเขาก็จะแพ้ราบเช่นนี้?
จากนั้น เงาร่างสีเขียวก็บินออกมาจากเปลวเพลิงกลุ่มนั้น
สายตานับไม่ถ้วนต่างทยอยมองไป กลับพบว่าเฉินอีที่ประสบการต่อสู้สนามเดียวกันมากลับไม่มีคราบเลือดเปรอะบนร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว!
เขาลอยเติ่งอยู่กลางอากาศ เสื้อคลุมสีดำสะบัดพลิ้ว ดวงหน้าเผยแววเฉยชาไร้อารมณ์ ทว่าแฝงด้วยไอเย็นยะเยือกอันสูงส่งที่อธิบายไม่ถูก
เขาปรายตาลงมามองหนานอีฝานแวบหนึ่ง
“ยอมแพ้ยัง?”
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าคนที่พูดประโยคนี้จะกลายเป็นเฉินอีไปได้!
หนานอีฝานประคองตัวเองให้กลับมายืนอย่างยากลำบากทั้งที่ไอไม่หยุด
เมื่อได้ยินเฉินอีพูดเช่นนั้น เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกรอบ
คำพูดสามคำนี้สูงส่งมาจากไหนอย่างนั้นรึ!?
มันแทบเหมือนกับฝ่ามือที่ตบเข้าบ้องหูเขาอย่างแรงจนเกิดเสียงดังก้องนั่นล่ะ!
หนานอีฝานอดทนต่อความเจ็บปวดสาหัสที่แล่นปราดมาจากทั่วทั้งร่างก่อนแหงนศีรษะขึ้นมอง
ดวงหน้าของเขาพลันเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ
“ยอมแพ้? ฝันเอาเถอะ!”
สิ้นเสียงพูด เขาก็กัดลิ้นตัวเองทันที!
กริชสีม่วงในมือฉู่หลิวเยว่พลันแตกออก!
เคร้ง!
ฉู่หลิวเยว่ก้มลงมองอย่างรวดเร็ว!
เสียงมังกรคำรามเสียงหนึ่งพลันแว่วดังขึ้นมา!
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ช่องว่างข้างกายของหนานอีฝานพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
เงาร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากช่องว่างนั้น!
“ประมุขหนานเรียกให้ข้ามาหา มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”
หนานอีฝานกลืนเลือดในคอลงไป ก่อนจะเอ่ยออกมาทีละคำว่า
“ผู้อาวุโสฝูซาน คราวนี้ท่านต้องช่วยข้านะ!”
ตอนที่ 1948 สมาชิกในเผ่าอีกคน
โหมวฝูซานขมวดคิ้วขณะเพ่งสายตาไปยังสภาพอันน่าอับอายของหนานอีฝาน พลันขมวดคิ้วฉับพลัน
“เกิดอันใดขึ้นหรือ ประมุขหนาน?”
โหมวฝูซานเอ่ยถาม พลางกวาดตามองรอบตัวอย่างเร็วพลัน
แวบหนึ่งเขาเห็นฉู่หลิวเยว่ถือเกล็ดมังกรแตกๆ ไว้ในมือ
ก่อนจะนึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
สถานการณ์เช่นนี้ ดูไม่ถูกต้องนัก…
และคำพูดถัดไปของหนานอีฝาน ก็คลายข้อสงสัยของเขาในบัดดล
“ผู้อาวุโสฝูซาน เรื่องมันมีอยู่ว่า ซั่งกวนเยว่ หรงซิวและคนอื่นๆ ได้สังหารบุตรทั้งสองของข้า รวมทั้งผู้อาวุโสหลายคนจากตระกูลหนานด้วย เดิมทีข้าเพียงพาคนมาขอคำอธิบาย แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจักเล่นแง่เช่นนี้ นอกจากจะปั่นหัวผู้อาวุโสตระกูลหนานหลายคนที่เคยจับตัวมาก่อนนี้แล้ว ซ้ำยังบีบให้พวกเขาสาดสีตีไข่ใส่ข้าอีก! ผู้อาวุโสฝูซาน หลายปีมานี้ข้าไม่เคยรบกวนท่าน ทว่าครานี้ ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ…”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตกใจในสิ่งที่ได้ยิน
คนเรากลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำเพียงนี้เชียวหรือ?
ไยถึงกลับกลอกได้เพียงนี้กัน?
หลักฐานก็อยู่ตรงหน้า แต่เขายังตลบตะแลงแถไถเช่นนี้ได้ ช่างหน้าด้านหน้าทนเกินคนจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่า เหตุใดเขาถึงดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลหนาน มาได้ยาวนานเพียงนี้
โหมวฝูซานรับฟัง ทว่าสีหน้ากลับลึกซึ้งเต็มไปด้วยความคิด
จนกระทั่งหนานอีฝานพูดจบ เขาก็พยักหน้ารับคำ
ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว
ทุกคนล้วนหันไปมองด้วยสีหน้าที่หลากหลาย
ทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่นั้น มีผู้อาวุโสแห่งฝูซานเพียงคนเดียว!
…นั่นก็คือผู้อาวุโสแห่งเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง โหมวฝูซาน!
คนผู้นี้นั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร ว่ากันว่าเป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งมากในเผ่าไท่ซวีเฟิงหลง แม้แต่หัวหน้าเผ่ายังต้องน้อมเคารพ
พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าหนานอีฝานติดต่อกับโหมวฝูซาน!
หากมีคนผู้นี้ แม้จะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของฉู่หลิวเยว่ อย่างนายน้อยแห่งเผ่าหงส์ทองคำตนนั้น พลังอำนาจก็คงไม่ด้อยกว่ากันไปมากเท่าใด?
ครั้นคิดเช่นนี้ สายตาท่าทางของฝูงชนก็เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง
หนานอีฝานเช็ดเลือดที่มุมปาก พลันตวัดตามองฉู่หลิวเยว่ด้วยความโอหัง
ทว่าท่าทีต่อมาของโหมวฝูซาน กลับทำให้พวกเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก
สองมือของเขากำหมัดแน่น ก่อนจะยกมันขึ้นมาประสานหมัดคารวะหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ตามลำดับ
“โอรสสวรรค์ พระชายา มิได้พบพานกันเสียนาน สบายดีหรือไม่”
ทัศนคติของเขานั้นนอบน้อมสุภาพยิ่ง มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยความคุ้นเคย ราวสหายที่ไม่ได้พบกันนาน!
รอยยิ้มถือดีของของหนานอีฝานพลันชะงักค้างกลางใบหน้า
เขาจ้องมองโหมวฝูซานอย่างไม่เชื่อสายตา
เขาอันเชิญอีกฝ่ายมาเพื่อจัดการพวกฉู่หลิวเยว่! แต่การทักทายเช่นนี้มันอันใดกัน?
หรงซิวพยักหน้ารับ ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
“หายหน้าหายตาไปเสียนาน สภาพจิตใจของผู้อาวุโสฝูซานดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว”
คิ้วเรียวของฉู่หลิวเยว่โค้งงอลงเป็นรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว เหมือนว่าช่วงนี้ ผู้อาวุโสฝูซานจะดูเปรมปรีดิ์ขึ้นเยอะนา?”
โหมวฝูซานโบกมือพัลวัน พลางหัวเราะขึ้น
“ทั้งสองท่านโปรดอย่าล้อข้าเลย ก่อนหน้านี้ในเผ่ามีเรื่องวุ่นวายให้จัดการ ข้าจึงมิอาจปลีกตัวออกมาแสดงความยินดีกับท่านทั้งสองในวันสมรสได้ด้วยตัวเอง หวังว่าพวกท่านจะยกโทษให้ข้าผู้นี้ได้”
เมื่อโหมวเจินขึ้นรับตำแหน่ง แน่นอนว่าต้องมีการจัดล้างระบบการปกครองในเผ่าใหม่
ดังนั้นช่วงนี้ สมาชิกในเผ่าไท่ซวีเฟิงหลงทั้งหมด จึงค่อนข้างยุ่งตัวเป็นเกลียว
“ผู้อาวุโสฝูซานเกรงใจไปแล้ว ท่านเป็นถึงผู้อาวุโส เดิมที่เป็นข้าที่ควรพาเยว่ออร์กลับไปยังเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ยังไม่ทันจะได้ออกเดินทาง ก็ได้เจอท่านที่นี่เสียก่อน”
ทั้งสามคนพูดจากันอย่างออกอรรถรส ท่ามกลางความสับสนของผู้คนรอบด้าน
นะ นี่มันเหมือนว่า พวกของหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่จะมีความสัมพันธ์อันดีงามกับโหมวฝูซานเลย?
หนานอีฝานเองยิ่งมองก็ยิ่งตกตะลึงพรึงเพริด ราวกับตนนั้นพลาดเรื่องสำคัญบางอย่างไป
การที่พวกชองหรงซิวรู้จักมักจี้กับเผ่าไท่ซวีเฟิงหลงนั้น เป็นเรื่องที่คนทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่รู้กันไปทั่วยุทธภพ
ครั้นพวกเขาสมรสกันในตอนท้าย ก็เป็นผู้อาวุโสเหมาเจินที่เดินทางไปแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ด้วยตัวเอง
แต่ทว่า…
หนานอีฝานคิดเสมอว่าพวกเขาแค่รู้จักกันผิวเผิน มิได้สนิทสนมถึงเพียงนี้
อย่างใดเสียเผ่าไท่ซวีเฟิงหลงก็มักจะหยิ่งผยองและไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์
แต่ตอนนี้กลับ…
“จริงสิเจ้าคะ คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสฝูซานจะสนิทสนมกับประมุขตระกูลหนานด้วย?”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วนิดๆ
โหมวฝูซานลอบถอนหายใจ
“เรื่องมันยาวนัก หลายปีก่อน ข้าเคยพบกับประมุขตระกูลหนาน ตอนนั้นผจญอันตราย และประมุขตระกูลหนานก็ยื่นมือเข้าช่วยให้ข้ารอดพ้นจากเหตุการณ์นั้นได้ ดังนั้นข้าจึงทิ้งเกล็ดมังกรไว้เป็นของตอบแทน และสัญญาว่าหากในอนาคตประมุขตระกูลหนานต้องการความช่วยเหลือ ก็จงกะเทาะเกล็ดมังกรนี่เสีย”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โอกาสเช่นนี้ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แต่ครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้หลายคนอิจฉาตาร้อนแล้ว
ต้องรู้ว่าคนผู้นี้คือโหมวฝูซานเชียวนา!
หลายครั้งอยากพบเขาสักครั้งยังยาก อย่างอื่นย่อมมิต้องเอ่ยถึง
แต่หนานอีฝานสามารถขอความช่วยเหลือจากเขาได้ แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ โหมวฝูซานก็จะมาทันที!
หนานอีฝานเองก็รู้ดีว่าโอกาสนี้ล้ำค่ามากเพียงใด ดังนั้นหลายปีมานี้ เขาถึงเฝ้าทำนุบำรุง ไม่เคยคิดจะใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าเลยสักครั้ง
จนกระทั่งคราวนี้ ที่สถานการณ์บังคับให้เขาใช้ไพ่ไม้ตายนี้
แต่ดูจากสภาพการณ์ในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่า… มันจะเลยเถิดเกินกว่าที่เขาคิดไว้เสียแล้วกระมัง?
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วและมองไปที่หรงซิว
ไม่แปลกใจเลย…
เพราะคนอย่างโหมวฝูซานนนั้น พูดตามหลักแล้ว ย่อมมิใช่คนที่จะคบค้าสมาคมกับหนานอีฝานแต่อย่างใด
แท้จริงแล้วเรื่องนี้ ก็มีที่มาที่ไปอยู่แล้วนี่เอง
“เพียงแต่ไม่คิดว่า ครานี้จะต้องมาปะทะกับท่านทั้งสอง”
โหมวฝูซานคิดไม่ถึงว่าเขาจะต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง พลางเอ่ยถาม
“ถ้าเช่นนั้น…ผู้อาวุโสฝูซานยินดีจะลงมือแทนประมุขหนานหรือไม่?”
คำถามนี้ดังก้องในใจของคนทั้งหมด
บรรยากาศทั้งด้านในและนอกพลันเงียบกริบไปชั่วขณะ
ทุกคนล้วนตั้งตารอคำตอบของผู้อาวุโสโหมวฝูซาน
การติดใจของเขา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเป็นตัวตัดสินชะตาในวันนี้!
โหมวฝูซานยิ้มเยาะเบาๆ
“พระชายาโปรดอย่าหยอกข้าเลย หากเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อเป็นท่านสองคน… ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ถ้าหัวหน้าเผ่ารู้เข้า กลับไปข้าคงถูกคาดโทษเป็นแน่”
แค่ประโยคนี้ก็บอกทุกอย่างได้แล้ว!
หนานอีฝานพลันร้อนใจขึ้นมา แล้วรีบย่ำเท้าไปข้างหน้า
“ผู้อาวุโสฝูซาน ท่านหมายความเช่นไร?”
ชัดเจนว่าเขาเรียกอีกฝ่ายมาที่นี่ เพราะข้อตกลงที่ตกปากรับคำอย่างดีเมื่อหลายปีก่อน!
แล้วไยสุดท้ายโหมวฝูซานถึงยังยืนหยัดข้างคนเหล่านั้น!
โหมวฝูซานลูบเคราตัวเองราวช่วยไม่ได้
“ประมุขหนาน ครั้งนี้ท่านทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องอื่นข้าคงไม่ลังเล แต่ครั้งนี้… ข้าทำไม่ได้จริงๆ”
หนานอีฝานยังอยากตีเฟ้นให้ตัวเอง ก่อนจะได้ยินประโยคต่อไปว่า
“พระชายาเองก็ถือเป็นคนของเผ่าไท่ซวีเฟิงหลงของข้า จะลงมือเข่นฆ่าได้เช่นไร?”
………………..