ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1949 สรุปแล้วช่วยใคร
ตอนที่ 1949 สรุปแล้วช่วยใคร
………………..
ทุกถ้อยคำดังก้องอยู่ในหูของทุกคนอย่างชัดเจน!
ราวกับเสียงกัมปนาทเลือนลั่น!
ผู้คนต่างตกตะลึงในทันที เนิ่นนานกว่าจะตั้งสติได้ ประหนึ่งว่าหูฝาดไปก็มิปาน!
เป็นคนในครอบครัวหรือ!?…
ครอบครัวอย่างนั้นหรือ!?
ฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นเป็นใคร สูงส่งมาจากไหนกัน ไยจึงทำให้โหมวฝูซานกล่าวเช่นนั้นออกมาได้!?
หนานอีฝานถึงกับอึ้งกิมกี่ เขาจ้องโหมวฝูซานอย่างตกตะลึงสุดขีด ริมฝีปากอ้าออกพะงาบ ในใจเต็มไปด้วยคำถาม แต่ไม่ว่าอย่างใด ก็มิเค้นเสียงอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้
โหมวฝูซานกล่าวว่า
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านประมุขหนานก็จริง แต่…ใต้หล้านี้ ใครเล่าจะเข่นฆ่าครอบครัวตัวเองเพื่อคนนอก? ประมุขหนาน ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
หากประโยคก่อนหน้านี้โหมวฝูซานกล่าวไปนั้น ถือว่ามีไหวพริบจนเถียงไม่ได้แล้ว ประโยคนี้ยิ่งถือว่าดับฝันหนานอีฝานยิ่งกว่าเสียอีก!
คนในครอบครัว!
คนนอก!
รักใครชังใคร แค่นี้ก็ชัดเจนเต็มสองตาแล้ว!
“ครั้งนี้ข้าจำต้องขอโทษตระกูลหนานจริงๆ ฉะนั้นในอนาคตหากตระกูลหนานต้องการความช่วยเหลือ ก็ขอให้เอ่ยปากขอ ข้าจักช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพียงแต่ครั้งนี้… โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ที่ไม่อาจช่วยท่านได้ตามคำขอ”
โหมวฝูซานเอ่ยต่อ
“และเพื่อชดเชยความผิด สามารถทบยอดคำร้องขอความช่วยเหลือจากหนึ่งครั้ง เป็นสองครั้งได้ ไม่ทราบว่าประมุขหนานคิดเห็นเช่นไรหรือ?”
คิดเห็นเช่นไรหรือ?
ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว ยังจะขอความเห็นเขาไปอีกเหตุใด?
หนานอีฝานยิ้มเยาะในใจ
และถ้าเขาไม่เห็นด้วย โหมวฝูซานจะยอมกลับคำพูดหรือ?
ที่สำคัญก็คือ ถ้าโหมวฝูซานไม่ยอมช่วย เช่นนั้นหนานอีฝาน จะรอดผ่านวันนี้ไปได้หรือไม่ นั่นคือปัญหา!
แม้นในภายภาคหน้าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นสองเท่าสามเท่าแล้วจักมีประโยชน์อันใด!
น่าขำสิ้นดี!
ยามนี้ใบหน้าของหนานอีฝานนั้นเย็นเฉียบ มีเพียงทรวงอกที่ร้อนรุ่ม ราวกับว่ามีบางอย่างกวนใจเขาให้ควั่ก และกำลังจะระเบิดออกมา!
ลมปราณอุ่นร้อน หวานหอมอมคาว พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาในลำคอ
เขากลืนมันกลับลงไปทันที!
แต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเช่นตอนนี้เลยสักครา!
คำพูดของโหมวฝูซานเหมือนตบหน้าเขาดังฉาด ปวดแสบปวดร้อนจนหน้าชา!
…
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของเหล่าคนที่ยืนอยู่นอกค่ายกลเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าของหนานอีฝาน
โหมวฝูซานกล่าวว่า… ฉู่หลิวเยว่เป็นคนของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?!
แต่นางเป็นมนุษย์นะ!
ที่สำคัญกว่านั้น อสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของนาง ก็เป็นถึงนายน้อยของเผ่าหงส์ทองคำ!
ถ้าบอกว่าเป็นหนึ่งในคนของเผ่าหงส์ทองคำ ก็ยังพอมีเหตุผล แต่กับเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงแล้วนั้น…
ทั่วทั้งอาณาจักรเซิ่นสวี่ มีใครไม่รู้บ้างว่าความสัมพันธ์ระหว่างอสูรศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้ ละเอียดอ่อนมากมายเพียงใด?
ภายนอกอาจดูเหมือนรักใคร่กลมเกลียว แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกเขาล้วนแก่งแย่งชิงดีกันเสียยิ่งกว่าอันใด
ไท่ซวีเฟิ่งหลงนับเอาฉู่หลิวเยว่เป็นหนึ่งในสมาชิกของเผ่าตน…
พวกเขามิได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของหงส์ทองคำตนนั้นเลยหรือ?
สำหรับอสูรศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลสองเผ่านี้ ตระกูลอี้ของพวกเขานั้นคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใดๆ เลย
น่าแปลกนัก ไยฉู่หลิวเยว่ถึงได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเขาขนาดนี้?
ที่น่าฉงนยิ่งกกว่าก็คือ โหมวฝูซานนั้นมีสถานะสูงส่ง โดยพื้นฐานแล้วแนวคิดของเขาเปรียบดั่งทัศนคติของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงทั้งหมด
หากได้รับการสนับสนุนจากหงส์ทองคำและไท่ซวีเฟิ่งหลงในเวลาเดียวกันล่ะก็ เช่นนั้น…
เมื่อถึงเวลาย่อมรับมือได้ยากโดยแท้!
อี้เหวินเทาค่อยๆ กำหมัดแน่น
…
ฉู่หลิวเยว่เองก็ตกใจไม่ต่างกัน ที่โหมวฝูซานกล่าวเช่นนั้นออกมาโต้งๆ
แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว มันอาจจะเป็นอิทธิพลมาจากทัศนคติของเหมาเจินด้วย
เนื่องจากอดีตของนางกับจื่อเฉิน ทำให้นางมีส่วนเกี่ยวข้องและสนิทชิดเชื้อกับเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงไปด้วย
แต่การที่จะทำให้โหมวฝูซานเปิดปากเช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องยากเช่นกัน
ไม่แน่ว่าอีกไม่นานประโยคนี้อาจแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่แน่นอน!
นี่ถือเป็นการป่าวประกาศของพวกเขา ว่าจะยืนหยัดอยู่ข้างหลังนาง และคอยสนับสนุนนาง!
สำหรับเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงแล้ว นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยคิดคาดหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ดังนั้นเมื่อเห็นโหมวฝูซานเต็มใจทำเพื่อนาง นางจึงรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ
“ขอบพระคุณท่านมาก ท่านผู้อาวุโสโหมวซาน”
นางถอนหายใจออกเบาๆ
“อันที่จริง สิ่งที่ประมุขหนานพูดมาก่อนหนานี้ มีมูลเท็จอยู่มากมาย”
จากนั้นนางก็เล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อย่างกระชับและรัดกุม
ส่วนโหมวฝูซานจะเชื่อหรือไม่ ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของเขาเอง
ยิ่งได้ฟังโหมวฝูซานก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น
เมื่อฟังจบ ใบหน้าของเขาพลันถมึงทึง
แล้วหันไปตวัดตามองหนานอีฝานทันที
“ประมุขหนาน ที่ว่ามานั่นจริงหรือ!?”
ร่องรอยของความตื่นตระหนก ฉาบแวบขึ้นมาในดวงตาของหนานอีฝาน แต่ก็ยังยืนกรานหนักแน่นว่า
“ในเมื่อผู้อาวุโสฝูซานเลือกเข้าข้างพวกเขาแล้ว ไยต้องถามคำถามเหล่านี้กับข้าอีก?”
เขายกเรื่องการไม่รักษาสัจจะของโหมวฝูซานขึ้นมาพูดราวถูกหมิ่นในศักดิ์ศรี
แต่โหมวฝูซานเป็นคนเช่นไร?
การเสแสร้งตลบตะแลงของหนานอีฝานเพียงเท่านี้ ในสายตาเขาแล้วมิได้ดูน่าสงสารขึ้นเลย
เพียงมองดูไม่กี่ครั้ง โหมวฝูซานก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่
สีหน้าพลันเย็นชาลงกว่าเดิม
หนานอีฝานเรียกเขามาช่วย ย่อมมิใช่ปัญหา
หนานอีฝานเป็นฝ่ายผิด ก็ย่อมมิใช่ปัญหา
แต่… เขาจะไม่ยอมให้หนานอีฝานโกหกเด็ดขาด!
ครั้นได้สบตากับโหมวฝูซาน หนานอีฝานก็ดันรู้สึกผิดจนเผลอเบือนหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นไม่นาน โหมวฝูซานก็พูดขึ้นมาเงียบๆ ว่า
“ประมุขหนาน เห็นแก่ที่เจ้าเคยช่วยข้าไว้เมื่อก่อน ข้าจะไม่ถือโทษเอาความที่เจ้าโกหกข้าวันนี้ แต่ระหว่างเจ้ากับข้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มิตรภาพของเราขาดสะบั้น! ประมุขหนาน… ตัวใครตัวมันแล้วกัน!”
หลังจากพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างดุเดือด พลันหันหลังกลับแล้วเดินไปยังทิศของพวกฉู่หลิวเยว่!
ฉู่หลิวเยว่ตกใจนิดหน่อย
“ผู้อาวุโสฝูซาน เหตุใดท่าน…”
“พระชายายึดครองท่าเรือดอกท้อได้ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”
ใบหน้าของโหมวฝูซานปรากฏรอยยิ้มบาง
ช่วงนี้ข่าวคราวได้แพร่หลายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ เขาเองก็พอได้ยินมาบ้าง
เขาคิดไว้แล้วว่า เผ่ามนุษย์จากสำนักวิชาหรือตระกูลต่างๆ อาจลงมือทำเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสองตระกูลนี้ที่ลงมือก่อน
ซ้ำยังอัญเชิญเขามาอีก
แต่เพราะบังเอิญมาอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ขออยู่ช่วยอันใดที่นี่หน่อยปะไร
“ในเมื่อเป็นเรื่องน่ายินดี ย่อมมิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย แม้ตัวข้าจะแก่แล้ว แต่หากเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็พอจะช่วยเหลือได้บ้าง หวังว่าโอรสสวรรค์และพระชายาจะมิเกรงใจกัน”
เขาบอกว่าเขาจะไม่ทำอันใดหนานอีฝาน แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำแบบเดียวกันกับคนอื่น!
หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องการช่วยฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่เองก็ค่อนข้างประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสฝูซานพูดกระไรกัน? เป็นพวกข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน!”
แม้ว่าเดิมทีนางจะมีแผนของนาง แต่ถ้าได้โหมวฝูซานเข้าช่วย ย่อมมีสิทธิ์ชนะมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
หนานอีฝานได้ยินพลันจุกอกจนหายใจไม่ออก