ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1952 สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ / ตอนที่ 1953 ลงมือ
ตอนที่ 1952 สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ / ตอนที่ 1953 ลงมือ
………………..
ตอนที่ 1952 สิบสามผู้พิทักษ์เยว่
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นและแผ่กระจายออกไปไกล ซึ่งทำให้ผู้คนที่อยู่นอกม่านพลังหน้าเปลี่ยนสีอย่างกะทันหัน
เพราะพวกเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตาข่ายสีเขียวอันนั้นรัดตัวของหนานอีฝานแน่น!
ในขณะเดียวกัน เข็มเงินที่อยู่ด้านบนจำนวนนับไม่ถ้วนก็แทงทะลุร่างศักดิ์สิทธิ์ของเขาเข้าไปด้วย!
แม้ว่าเข็มเงินเหล่านั้นจะบางมาก แต่ก็ยาวมาก อีกทั้งยังแข็งมากด้วย
ถ้าถูกแทงเข้าไปโดยตรงเช่นนั้น เกรงว่าจะสามารถแทงทะลุกระดูกได้!
และยิ่งไปกว่านั้นทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ถูกเข็มเงินหลายพันเล่มแทงในเวลาเดียวกัน?
ความเจ็บปวดเช่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถรับได้!
ร่างศักดิ์สิทธิ์ของหนานอีฝานสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่ตาข่ายสีเขียวขนาดใหญ่นั้นก็รัดเขาจนแน่น ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้
ทุกคนเห็นเพียงเข็มเงินส่องประกายเย็นชาที่แทงเข้าไปร่างศักดิ์สิทธิ์ของเขาแทบจะทั้งเล่ม เหลือเพียงแค่ส่วนปลายแหลมที่กำลังสั่นสะท้านเล็กน้อย
ครั้งนี้บนร่างกายของหนานอีฝานไม่มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาอีกแล้ว เพราะคราบเลือดเปรอะไปทุกบริเวณจนมองไม่ออกแล้ว
อย่างใดก็ตามเมื่อทุกคนหันไปมอง หัวใจของเขาก็เย็นยะเยือก
ความทรมานเช่นนี้… หรือว่าเป็นการลงโทษที่โหดเหี้ยมทารุณมาก
…
“เฉินอีผู้นี้ลงมือได้โหดเหี้ยมมาก”
อี้เหวินจั๋วอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้
พวกเขาสามารถมองออก บนเข็มเงินนั้นมีเล่ห์กลอันใดบางอย่าง
ไม่อย่างนั้นมันไม่สามารถแทงทะลุเข้าไปในร่างศักดิ์สิทธิ์ของหนานอีฝานได้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน!
แต่ในเวลานี้เขายังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเฉินอีได้เลย…
“แต่เขาจะต้องเป็นผู้มีฝีมือเสียก่อนถึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้”
อี้เหวินเทาหรี่ตาลงแล้วพูดขึ้น
ความสนใจทั้งหมดของเขาในตอนแรกพุ่งเป้าไปที่หรงซิวและฉู่หลิวเยว่
แต่หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ตะโกนเรียกเฉินอีเขาถึงได้ตระหนักว่า บางทีชายหนุ่มที่สวมชุดเขียวผู้นี้อาจจะไม่ธรรมดา
ในที่สุดตอนนี้เขาก็สามารถยืนยันข้อสันนิษฐานของตนเองก่อนหน้านี้ได้แล้ว
เฉินอีผู้นี้…
ไม่ใช่แค่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย!
แม้ว่าอี้เหวินเทาจะไม่ได้ติดต่อกับหนานอีฝานเป็นประจำ แต่ก็นับว่ารู้จักกันบ้าง
ดังนั้นเขาจึงรู้ระดับความแข็งแกร่งของหนานอีฝานดี
ไม่ต้องพูดถึงตระกูลหนานเลย ต่อให้มองไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่คนที่สามารถเอาชนะหนานอีฝานได้ เกรงว่าจะมีไม่มาก
ระหว่างการต่อสู้เฉินอีไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ แต่ดูแล้วเหมือนเขาไม่ได้ออกแรงอันใดเลย!
จนกระทั่งตอนนี้ อี้เหวินเทาก็ยังไม่สามารถคาดเดาความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฉินอีได้
… แต่สามารถสรุปได้ว่า เขานั้นแข็งแกร่งกว่าหนานอีฝานมาก!
คนในระดับนี้ แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงของเขามาก่อนเลย?
อี้เหวินเทาเพิ่งตระหนักได้ว่า เขามาที่นี่ด้วยความรีบร้อน
หากเขารู้ตั้งแต่แรก เขาก็น่าจะสืบหาข้อมูลมามากกว่านี้…
แต่มาพูดในตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว
“หากจำไม่ผิดละก็ เฉินอีผู้นี้ ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นลูกน้องของซั่งกวนเยว่ไม่ใช่หรือ? และคนอื่นๆ ก็ยังอยู่ที่ท่าเรือดอกท้อใช่หรือไม่?”
อี้เหวินเทาถามขึ้นมาอย่างกะทัน
เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าคำถามนี้อีกฝ่ายได้ถามจวินจิ่วชิง
ก็ใช่
เฉินอีและคนอื่นๆ มาจากนอกพรมแดนอาณาจักรเสิ่นซวี่ ก่อนหน้านี้จวินจิ่วชิงอาศัยอยู่ที่เป่ยหมิงเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย
จวินจิ่วชิงพูดต่อว่า
“นางมีผู้คุ้มกันอยู่กลุ่มหนึ่ง มีชื่อว่าสิบสามผู้พิทักษ์เยว่ ทุกคนล้วนเป็นคนที่นางคัดมาเอง พวกเขาจะฟังแต่คำสั่งของนาง และเฉินอีเป็นอันดับหนึ่งในสิบสามผู้พิทักษ์เยว่”
อี้เหวินเทาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นคนอื่นๆ ของสิบสามผู้พิทักษ์เยว่จะมีฝีมือทัดเทียมกับเฉินอีหรือไม่?”
ภายในดวงตาของจวินจิ่วชิงมีระลอกคลื่นปรากฏ
เขาหัวเราะขึ้นมา
“จะเป็นไปได้อย่างใด”
ตอนที่ 1953 ลงมือ
“สิบสามผู้พิทักษ์เยว่มีทั้งหมดสิบสามคน เฉินอีอยู่ในอันดับหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าฝีมือของเขาแข็งแกร่งมากที่สุด ส่วนคนที่เหลือ แม้ว่าจะมีฝีมือโดดเด่น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเฉินอีแล้วก็ยังด้อยกว่าหนึ่งขั้น”
จวินจิ่วชิงพูดขึ้นอย่างมีเหตุผล
อี้เหวินเทาครุ่นคิดและรู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นมีเหตุผล
แต่ในเมื่อคนเหล่านี้ติดตามฉู่หลิวเยว่มาตั้งแต่นอกพรมแดนอาณาจักรเสิ่นซวี่ และที่เฉินอีสามารถบำเพ็ญเพียรได้ถึงระดับนี้ก็นับว่าพวกเขามีความสามารถไม่น้อย
ถ้าอย่างนั้นเขาอยู่ในระดับเทพศักดิ์สิทธิ์มาก่อนอยู่แล้ว หรือว่าหลังจากที่เขาติดตามฉู่หลิวเยว่เข้ามาในอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้วถึงจะสามารถทะลวงด่านระดับนี้ได้
แต่ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับนี้ เขาสามารถทะลวงด่านได้สำเร็จภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างใด?
“จริงสินายท่าน ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้มีข่าวลือบอกว่าเถ้าแก่ซานภายในท่าเรือดอกท้อก็เป็นลูกน้องของซั่งกวนเยว่คนนั้นด้วย”
เมื่อผู้อาวุโสท่านหนึ่งได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน เขาก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นได้ และรีบกล่าวเสริม
“เถ้าแก่ซานคนนั้นได้ล่วงหน้ามาที่ท่าเรือดอกท้อก่อนหลายปีแล้ว อีกทั้งยังทำธุรกิจที่นี่ กิจการรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสำนักกระบี่ทมิฬด้วย เพียงแต่ว่าตอนนี้…”
ตอนนี้ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า สำนักกระบี่ทมิฬได้ถูกทำลายจนมอดม้วยแล้ว
ไม่มีคนหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว
ทุกคนภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ยังไม่ได้รับข่าวคราวเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย
เหมือนว่าสำนักกระบี่ทมิฬจะจางหายไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงเช่นนั้น
หากก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ภายในท่าเรือดอกท้อ และรู้ว่าที่แห่งนี้มีสำนักกระบี่ทมิฬ พวกเขาก็คงจะคิดว่าฉู่หลิวเยว่มาถึงที่นี่และครองตัวเป็นใหญ่ด้วยตนเอง
“จริงสิ เถ้าแก่ซานคนนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา พื้นที่มิติขนาดเล็กที่เป็นดั่งขุมทรัพย์ภายในผาธารใส เขาก็เป็นเจ้าของ”
ผู้อาวุโสคนนั้นพูดอีกครั้ง
หากไม่เป็นเช่นนั้นสำนักกระบี่ทมิฬคงไม่เก็บเขาเอาไว้นานขนาดนี้หรอก
อี้เหวินเทาตกตะลึง
“ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง?”
เขาจำชายคนนั้นได้
เพียงแต่ตอนที่ได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอันใดมากนัก แต่หันไปให้ความสนใจกับสำนักกระบี่ทมิฬมากกว่า
แต่หลังจากรู้ว่าสำนักกระบี่ทมิฬมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับถ้ำปีศาจทมิฬแล้ว เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากได้ยินข่าวคราวของท่าเรือดอกท้ออีกครั้งฉู่หลิวเยว่ก็กลายเป็นเจ้านายของที่นี่ไปแล้ว!
อีกทั้งสำนักกระบี่ทมิฬ… ก็ถูกกวาดล้างไปทั้งหมด!
ฉู่หลิวเยว่สามารถยึดครองท่าเรือดอกท้อได้ง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ หรือว่า… เป็นเพราะความร่วมมือจากเถ้าแก่ซานและคนอื่นๆ ?
หากเป็นเช่นนี้จริงละก็ ลูกน้องของนางเหล่านี้ก็ไม่อาจดูเบาได้เลย…
เขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วหันกลับมาถามว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ของซั่งกวนเยว่นี้มีที่มาที่ไปอย่างใด?”
จวินจิ่วชิงหลุบสายตาลงต่ำแล้วส่ายหน้า
“คนเหล่านี้ติดตามนางมานานมากแล้ว อีกทั้งนางก็เป็นคนหามาด้วยตนเอง รายละเอียดเบื้องหลังและที่มา…นอกจากนางแล้ว น่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
อี้เหวินเทาผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจกับคำตอบของเขา
เขาเหลือบสายตาไปมองหรงซิวอย่างอดไม่ได้
หรงซิวยืนอยู่ข้างกายของฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เหมือนว่าเขาแทบจะไม่ลงมือเลย
การกระทำของเขานั้นชัดเจน
ท่าเรือดอกท้อเป็นฐานที่มั่นของฉู่หลิวเยว่ เรื่องทุกเรื่องที่เกิดภายในที่แห่งนี้คนของฉู่หลิวเยว่ควรจะเป็นคนแก้ไขด้วยตนเอง
หากพูดตรงๆ วันนี้เขาตั้งใจให้ฉู่หลิวเยว่ได้สร้างฐานอำนาจของตนเอง!
ดูเหมือนว่าเขาหมายมั่นจะให้คนของฉู่หลิวเยว่ยึดครองท่าเรือดอกท้อให้ได้…
“ประมุขอี้”
ทันใดนั้นน้ำเสียงที่กระวนกระวายก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
อี้เหวินเทาหันกลับไปมอง
คนที่พูดนั้นคือ หนานเหอเถียน ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหนาน
และคนผู้นี้ก็ยังเป็นคนสนิทของหนานอีฝานด้วย
ในตอนนี้เขามีสีหน้าร้อนรนและเป็นกังวล เขาประสานหมัดทำความเคารพอี้เหวินเทา
“ประมุขอี้ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันยาวนานของพวกเราสองตระกูล ได้โปรดช่วยประมุขของข้าด้วยเถอะ!”
เขาติดตามหนานอีฝานมาหลายปี จงรักภักดีต่อเขามาโดยตลอด
เมื่อเห็นหนานอีฝานได้รับความทุกข์ทรมาน แล้วเขาจะไม่เสียใจได้อย่างใด?
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้เรื่องที่ก่อนหน้านี้หนานอีฝานเดินทางไปตระกูลอี้อย่างลับๆ
เขารู้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องทำข้อตกลงอันใดบางอย่างกันแน่นอน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด จนถึงป่านนี้ตระกูลอี้ก็ยังไม่ลงมือเสียที!
เขาแค่มองดูอยู่ข้างสนามอย่างเฉยเมยเท่านั้น!
หนานเหอเถียนรู้สึกร้อนรุ่มราวกับไฟสุมทรวง จึงพูดขอความช่วยเหลือออกมาโดยตรง
ทุกคนของตระกูลหนานก็ต่างหันมามอง
อี้เหวินเทาเหลือบสายตามองคนเหล่านั้น พร้อมหัวเราะเย็นชาขึ้นมาในใจ
ความจริงแล้วภายในบรรดาคนเหล่านี้ จะต้องมีคนที่เปิดม่านพลังนี้ได้แน่นอน
ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แปดคน หากร่วมมือกัน ไม่ว่าอย่างใดก็ยังพอมีความหวัง
แต่พวกเขากลับไม่ทำอันใดเลย
ดูเหมือนคนที่อยากจะให้หนานอีฝานตาย จะไม่ได้มีเพียงแค่คนที่อยู่ในม่านพลังเท่านั้น…
หลายปีที่ผ่านมานี้ ภายในตระกูลหนานเกิดความขัดแย้งภายในมากมาย พวกเขาถูกหนานอีฝานกดทับ ดังนั้นจึงไม่สามารถแสดงอำนาจอันใดได้มากนัก
ในเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ที่รับรู้ได้ถึงอันตรายถึงชีวิต
แต่ดูจากท่าทางเฉยเมยของอี้เหวินเทาแล้ว หนานเหอเถียนกัดฟันกรอดแล้วพูดต่อว่า
“หากตระกูลอี้ช่วยเหลือ ตระกูลหนานของพวกเราจะตอบแทนอย่างงาม และช่วยตระกูลอี้ยึดครองท่าเรือดอกท้อนี้ให้ได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ใบหน้าของทุกคนในตระกูลหนานก็เปลี่ยนสีไป
มีใครบ้างดูไม่ออกว่าหนานอีฝานจะจวนเจียนไม่รอดแล้ว
คนเช่นนี้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของตระกูลได้อีกต่อไปแล้ว
ต่อให้ช่วยกลับมาได้แล้วจะมีประโยชน์อันใด?
มีบางคนไม่ชอบขี้หน้าหนานอีฝานมาตั้งนานแล้ว คำพูดก่อนหน้านี้ของลั่วเหยี่ยนทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นไหว
หนานเหอเถียนเป็นคนสนิทของหนานอีฝาน ดังนั้นเขาจึงพยายามช่วยหนานอีฝานอย่างเต็มที่ แต่คนรอบข้างไม่ได้คิดเช่นนั้น
ดังนั้นหลังจากเขาพูดประโยคนี้ออกไปแล้ว สีหน้าของคนตระกูลหนานก็มืดคล้ำไป และไม่แสดงอารมณ์
แต่ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของหนานเหอเถียนมุ่งอยู่ที่ตัวของอี้เหวินเทา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่น
อี้เหวินเทาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนมองเข้าไปในม่านพลังแห่งนั้น
หนานอีฝานคุกเข่าลงกับพื้น ทั่วทั้งร่างกายถูกมัดจนแน่น ลำตัวบิดเบี้ยวผิดรูปร่างไป
มุมปากของเขามีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับไม่ได้พูดอันใดออกมาสักคำ
ดูแล้วเขามีท่าทางจนตรอกและน่าเวทนาอย่างมาก
ใครจะไปคิดเล่าว่า หนานอีฝาน ประมุขตระกูลหนานที่สูงส่งจะมีวันที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย?
อี้เหวินเทาขมวดคิ้ว
น่าเสียดาย เขาคงประเมินหนานอีฝานสูงเกินไป
เขาเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
เหมือนว่าเขาจะต้องลงมือด้วยตัวเองสินะ…
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนทุกท่านลงมือพร้อมกัน”
อี้เหวินเทายกมือขึ้น
ขวานยักษ์ที่ทำจากสำริดก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของเขา!
บนขวานอันนั้นได้สลักอักขระยันต์ลึกลับเอาไว้
เมื่ออี้เหวินเทาโคจรพลังดั้งเดิมในร่างกายของตนเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากภายใน!
วินาทีถัดมาเขาก็เหยียดแขนตรงแล้วฟันขวานลงด้วยความรุนแรง!