ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1954 อยากได้หรือ / ตอนที่ 1955 พาแขกมาด้วย
ตอนที่ 1954 อยากได้หรือ / ตอนที่ 1955 พาแขกมาด้วย
………………..
ตอนที่ 1954 อยากได้หรือ
“ขวานสุริยันมรกต!”
หลังจากอี้เหวินเทาตะโกนขึ้นเสียงดัง ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงทันที
ลมพายุพัดโหมกระหน่ำ!
กลางอากาศมีรอยแยกสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น!
พื้นแผ่นดินมีรอยร้าว หุบเหวจำนวนมากปรากฏ!
จากนั้นพลังของขวานที่แหลมคมทรงพลังก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีเขียวแสบตา ร้อนแรงดั่งดวงอาทิตย์! แล้วค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ท่าเรือดอกท้อ!
ม่านพลังโปร่งแสงที่มีแสงแวววาวพร่างพราวเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
ระลอกคลื่นแผ่กระจายออกโดยรอบ
เฉินอีหันกลับมามองด้วยความรวดเร็ว ในตอนที่เขากำลังจะลงมือแต่ก็ถูกฉู่หลิวเยว่ขวางเอาไว้
“เฉินอี เจ้าจัดการหนานอีฝานให้เรียบร้อยก่อน”
เขาถอยเท้ากลับมาแล้วพยักหน้าตอบรับ
“ขอรับ”
จากนั้นเขาก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนานอีฝาน พร้อมสะบัดแขนเสื้อ ร่างกายของหนานอีฝานลอยกระเด็นออกไปทัน
เงาร่างของเฉินอีติดตามไปในทันที
ตู้ม!
ร่างของหนานอีฝานกระแทกลงด้านหน้าประตูท่าเรือดอกท้อ
เดิมทีเขาก็มีสภาพร่อแร่อยู่แล้ว หากเฉินอีลงมือในครั้งนี้ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านและสลบลงไป
ความจริงแล้วหากพูดให้ถูกต้องก็คือ เขาล้มอยู่ด้านในประตูเมืองแล้ว
หนานอีฝานแข็งแกร่งมากขนาดไหน เมื่อครู่นี้พวกเขาได้เห็นมันอย่างชัดเจนแล้ว
แต่สุดท้ายเขาก็ยังพ่ายแพ้ในน้ำมือของเฉินอี
ตั้งแต่ต้นจนจบร่างกายของเฉินอียังไม่เปรอะเปื้อนคราบเลือดเลยแม้แต่น้อย
สือซานที่ยืนอยู่ด้านข้างยืนอยู่ใกล้กับหนานอีฝานมาก
เขากวาดสายตามองหนานอีฝานอย่างละเอียด โดยเขากำลังสังเกตบาดแผลของอีกฝ่าย
เขามองไปพร้อมนึกย้อนไปถึงกระบวนท่าที่เฉินอีลงมือมาก่อนหน้านี้
จากนั้นไม่นานเฉินอีก็เดินเข้ามา
“พี่ใหญ่!”
ใบหน้าของสือซานประดับด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น
นานมากแล้วที่เขาไม่เห็นพี่ใหญ่ลงมือด้วยตนเองเช่นนี้ แต่เมื่อได้เห็นแล้วก็รู้สึกน่าทึ่งจริงๆ!
ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านข้างก็รีบทำความเคารพ
“คารวะใต้เท้าเฉินอี”
ในฐานะที่เขาเป็นคนที่เคยผ่านความวุ่นวายในท่าเรือดอกท้อมาแล้ว พวกเขาจึงรู้ว่าเฉินอีมีความแข็งแกร่ง
แต่เขาไม่รู้ว่าเฉินอีจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้
สมแล้วที่เป็นคนของจวนเยว่
ผู้คนล้วนชื่นชมคนแข็งแกร่ง เฉินอีสามารถแสดงฝีมือที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาได้ พวกเขาก็รู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เฉินอีพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาแล้วโยนขวดหยกให้กับสือซาน
“เอาโอสถภายในขวดป้อนให้เขา นายท่านบอกเอาไว้ว่าจะเก็บชีวิตของเขาเอาไว้”
สือซานรีบรับขวดนั้นมา
“ขอรับ!”
แม้ว่าเขาจะดูอ่อนเยาว์ แต่สีหน้าของเขาก็สงบราบเรียบ การกระทำเฉียบขาด
คนที่อยู่รอบข้างมองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความหวาดกลัว
สือซาน… เพิ่งจะอายุสิบกว่าขวบไม่ใช่หรือ? เหตุใดเขาถึงดูคล่องแคล่วเชี่ยวชาญเช่นนี้ล่ะ?
แล้วอีกอย่างแม้ว่าหนานอีฝานจะหมดสติลงไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังน่าหวาดกลัว ดังนั้นหากเป็นคนทั่วไปในใจก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่
แต่ใบหน้าของสือซานกลับไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย…
ความกล้าหาญในระดับนี้ช่างหาได้ยากมาก…
สามารถติดตามนายท่านเยว่ได้ เขาก็น่าจะ…ไม่ใช่คนธรรมดา…
เฉินอีรีบถอนสายตากลับอย่างรวดเร็ว ในแววตามีระลอกคลื่นปรากฏ
เหมือนว่าในที่สุด…
นายท่านก็เตรียมตัวจะลงมือแล้วใช่หรือไม่?
…
พลังของทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด!
ในที่สุดบนม่านพลังนั้นก็มีรอยแตกร้าวสายหนึ่งเกิดขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่พูดพึมพำว่า
“ขวานสุริยันมรกต…หนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ มันไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย…”
หัวใจของหรงซิวสั่นสะท้าน เขาเหลือบสายตามอง ก่อนเห็นความคุ้นเคยภายในแววตาของนาง
มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ แล้วถามเสียงทุ้มต่ำ
“อยากได้หรือ?”
ตอนที่ 1955 พาแขกมาด้วย
คนผู้นั้นต้องการจะปล้นท่าเรือดอกท้อของนางอย่างโจ่งแจ้ง แล้วถ้านางจะอยากได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขามันก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ยังไม่ทราบ
“หากอยากให้สามีช่วย เยว่เออร์ก็พูดออกมาได้เลยนะ”
หรงซิวไม่ได้สนใจของเหล่านี้ แต่ในเมื่อนางชอบ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปแย่งชิงมา
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้อง”
นางอยากได้ นางจะเอามันมาเอง
ครั้งนี้อันตรายมาก แต่ก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากเช่นกัน
ขอเพียงแค่นางสามารถจัดการปัญหาในวันนี้ได้ ช่วงเวลาหลังจากนี้ชีวิตของนางก็น่าจะเงียบสงบมากกว่านี้แล้ว
เมื่อพูดจบนางก็โคจรพลังปราณในร่างกายตนเอง
พลังอันมหาศาลพวยพุ่งออกจากไข่มุกธาราในตันเถียนของนาง!
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเองม่านพลังเหนือท่าเรือดอกท้อก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!
รอยแตกที่เพิ่งปรากฏก็กลับคืนสู่สภาพเดิมในทันที!
แสงสีเขียวแสบตาก็ถูกม่านพลังขวางกั้นเอาไว้ด้านนอกอีกครั้ง
พลังของทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด!
ความว่างเปล่ารอบข้างพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง!
อย่างใดก็ตามภายใต้การโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ แต่ม่านพลังนั้นก็ยังมั่นคงดังเดิม!
คนตระกูลอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็มีสีหน้าซับซ้อน
“ดูเหมือนว่าท่าเรือดอกท้อแห่งนี้ จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่แน่นอน ข้าจำได้ว่าตอนที่เข้ามาที่นี่ ม่านพลังก็ยังไม่มั่นคง คนสามารถเข้าออกได้ทุกเมื่อ อีกทั้งหากมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถทำให้ความว่างเปล่านั้นพังทลายลงมาได้…แต่ใครจะรู้เล่าว่า ตอนนี้มันจะกลายเป็นเช่นนี้แล้ว…”
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็น่าขายหน้าเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้คนตระกูลหนานพยายามหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลว แต่ตระกูลอี้ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใส่ใจกับการกระทำของพวกเขา
จนเมื่ออี้เหวินเทาลงมือจึงได้เจออุปสรรคขัดขวางที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาถึงเพิ่งได้เข้าใจว่า ‘ม่านพลังนี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก!’
ที่อี้เหวินเทาสามารถเป็นประมุขตระกูลอี้ได้อย่างมั่นคงเป็นเพราะว่าหมัดของเขานั้นแข็งมากพอ!
แม้กระทั่งเขายังไม่สามารถสู้ได้…
ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็จนปัญญา
แต่ทว่าต่อจากนี้ไปคนของตระกูลอี้ต้องเสียหน้าไปตลอดกาลแล้ว!
และไม่มีหน้าอยู่ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้ว!
อี้เหวินจั๋วพูดเสียงเย็นว่า
“พูดบ้าอันใดกันอยู่? ต่อให้ซั่งกวนเยว่คนนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางเก่งขนาดนั้นหรอก นางสามารถยืนหยัดได้แค่หนึ่งชั่วยามกับอีกหนึ่งเค่อ นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะสามารถปกป้องท่าเรือดอกท้อได้! ข้าจะดูสิว่านางจะทำตัวกำเริบเสิบสานไปถึงเมื่อใด!”
ทันทีที่สิ้นเสียง บริเวณขอบฟ้าก็มีเสียงอันทรงพลังดังลั่นขึ้น
“ลูกศิษย์ของข้า หนานซู่ไหว เขาอยากจะกำเริบเสิบสานเมื่อใด เขาก็จะทำไปถึงเมื่อนั้นแหละ!”
เสียงนั้นดังลั่นราวกับฟ้าผ่า เมฆดำหนาที่รวมตัวกันเป็นชั้นถูกพัดปลิวออกไป!
หัวใจของอี้เหวินจั๋วจมดิ่งแล้วหันกลับไปมองในทันที!
ในขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตกใจกับการเคลื่อนไหวนี้จึงทยอยเงยหน้าขึ้นไปมอง!
เขาเห็นเพียงแค่ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีเทาและกำลังพุ่งตัวมาจากเส้นขอบฟ้า!
ความเร็วของเขาสูงมาก เพียงแค่ในพริบตาเขาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว!
คนที่มานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้าสำนักหลิงเซียว…หนานซู่ไหว!
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
เขามาที่นี่จริงๆ ด้วย!
แต่… เหตุใดเขาถึงมาได้รวดเร็วขนาดนี้?
ต้องบอกก่อนว่า ครั้งนี้ตระกูลอี้และตระกูลหนานมาที่นี่อย่างไร้เสียง จนกว่าจะมาถึงท่าเรือดอกท้อ เขาก็ไม่ได้แสดงตัวเลย
ระหว่างทางนั้นเขาก็ปกปิดเส้นทางการเดินทาง ตามหลักการแล้ว ข้อมูลไม่มีทางเล็ดลอดออกไปได้แน่นอน
ต่อให้ฉู่หลิวเยว่จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือก็ต้องขอหลังจากที่พวกเขามาถึงที่นี่แล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากสำนักหลิงเซียวเป็นหมื่นลี้ หนานซู่ไหวไม่ควรจะมาถึงที่นี่ในเวลานี้สิ?
หนานซู่ไหวยืนอยู่กลางอากาศ แล้วกวาดสายตามองโดยรอบอย่างรวดเร็ว
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่อี้เหวินจั๋วและจวินจิ่วชิง เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่า ช่วงนี้ที่เจ้าไม่ได้อยู่สำนัก เดิมทียังคิดว่าพวกเจ้าไปออกหาประสบการณ์ แต่ใครจะรู้เล่าว่า…พวกเจ้ากลับมารังแกศิษย์ของสำนักตนเองเช่นนี้? อี้เหวินจั๋ว เจ้าเป็นถึงรองเจ้าสำนัก เจ้าช่างทำหน้าที่ได้เหมาะสมกับตำแหน่งมาก!”
เมื่ออี้เหวินจั๋วถูกจ้องเช่นนั้น ภายในใจก็สั่นสะท้านขึ้นมา
แต่เขาก็สามารถสะกดกลั้นอารมณ์เหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว
หนานซู่ไหวแข็งแกร่งมาก แต่ว่าในตอนนี้เขามีกองกำลังตระกูลอี้มากกว่า แล้วเขาจะกลัวอีกฝ่ายได้อย่างใด?
ก่อนหน้านี้เนื่องจากเขาคำนึงถึงเหตุผลในทุกด้าน เขาจึงอดทนมันอยู่โดยตลอด แต่ในเมื่อตอนนี้หน้ากากของเขาถูกฉีกออกแล้ว เรื่องบางสิ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องเสแสร้งอีกต่อไป!
อี้เหวินจั๋วหัวเราะเสียงเย็น
“หนานซู่ไหว เจ้าคิดว่าข้าใส่ใจกับตำแหน่งรองประมุขนี้อย่างนั้นหรือ? ตำแหน่งเจ้าสำนักของเจ้านั้น เดิมทีมันควรเป็นของข้า! เจ้ายึดครองมันมานานขนาดนี้ ตอนนี้เจ้ายังจะมีหน้ามาตักเตือนข้า…เจ้าคู่ควรหรืออย่างใด?”
หนานซู่ไหวมีสีหน้าเย็นชา
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ปล่อยวางในเรื่องปีนั้น แต่นี่คือการตัดสินใจของอาจารย์! ยิ่งไปกว่านั้น มีหนี้ต้องชำระ เป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม หากเจ้าไม่พอใจในตัวข้า เจ้าก็พูดมาตามตรงสิ! เหตุใดต้องเอาเรื่องเหล่านี้ไปโยนใส่เยว่เออร์? ทั้งยังลงมือกับคนของสำนักตัวเอง…เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือไม่?”
“ผลลัพธ์?”
อี้เหวินจั๋วหัวเราะขึ้นทันทีราวได้ยินเรื่องตลก
“แค่ตำแหน่งรองเจ้าสำนักของสำนักหลิงเซียวไม่ใช่หรือ? วันนี้ข้าขอบอกต่อหน้าทุกคนเลยว่า ตำแหน่งรองเจ้าสำนักนี้…ข้าไม่รับ! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าอี้เหวินจั๋วไม่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักหลิงเซียวอีก!”
เขามีตระกูลอี้หนุนหลังอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยากจะพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ต้อยต่ำไปกว่าพี่ใหญ่ เขาไม่มีทางไปที่นี่เด็ดขาด
แต่ในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว
หนานซู่ไหวเหลือบสายตามองเขาแล้วพูดขึ้นว่า
“อี้เหวินจั๋ว ครั้งนี้เจ้าไม่ได้ออกจากสำนักหลิงเซียวเพราะสมัครใจลาออก แต่เป็นเพราะ…เจ้าถูกสำนักหลิงเซียวไล่ออก!”
อี้เหวินจั๋วใบหน้าซีดขาวทันที
ในตอนนั้นเองเงาร่างหลายสายก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา
“ฮ่าๆ เยว่เออร์ ที่นี่คึกคักมากทีเดียว! นี่พวกเรามาสายไปใช่หรือไม่?”
ทุกคนหันกลับไปมอง
ผู้ที่มาใหม่คือ ซั่งกวนจิ้ง!
ด้านหลังของเขายังมีผู้อาวุโสระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ติดตามมาอีกหลายคน!
ทุกคนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้…อย่างน้อยก็มีประมาณยี่สิบกว่าคน!
ซั่งกวนจิ้งไปหาตัวช่วยมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน?
ประกายตกใจพาดผ่านแววตาของทุกคน ซั่งกวนจิ้งลูบเคราแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า
“ข้าพาสหายมาเป็นแขกที่นี่ เยว่เออร์ไม่มีทางไม่ต้อนรับพวกเขาหรอกใช่หรือไม่?”