ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1956 เจรจา .
ทุกคนจมดิ่งอยู่กับความเงียบงัน
พาแขกมาที่นี่…
พูดได้ผ่อนคลายเหลือเกิน!
พาผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์มามากมายขนาดนี้! ยังเรียกว่าเป็นแขกได้อีกหรือ? นี่มันตั้งใจมาต่อสู้แท้ๆ!
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มขึ้น แล้วหัวเราะขึ้นมา
“ข้าจะไม่ต้อนรับได้อย่างใด? พวกท่านมาได้ทันเวลาพอดีเลยต่างหาก!”
เมื่อพูดจบ นางก็กวาดสายตามองไปยังคนที่อยู่ด้านหลังของซั่งกวนจิ้ง นางพบว่านางไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนเหล่านี้มากนัก
แต่เมื่อพิจารณาจากลมปราณบนร่างกายของคนเหล่านั้น ฝีมือของพวกเขาน่าจะไม่อ่อนแอ ตอนนี้เมื่อพวกเขายืนอยู่ด้านหลังของซั่งกวนจิ้ง ทุกอย่างก็ดูกลมกลืนเป็นอย่างมาก
อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ยังสามารถสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่า พวกเขาให้ความเคารพซั่งกวนจิ้งเป็นอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่สามารถคาดเดาฐานะและตัวตนของพวกเขาได้ จากนั้นก็ยิ้มแล้วโค้งคำนับทำความเคารพ
“ผู้เยาว์ซั่งกวนเยว่ คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน”
“ฮ่าๆ! พี่ซั่งกวน ก่อนหน้านี้ที่พี่พูดว่ามีทายาทที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นข้ายังไม่เชื่อเท่าไร แต่เมื่อมาเห็นตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่านางจะไม่ธรรมดาเลย!”
ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
“หลายพันปีที่ผ่านมานี้ มีตระกูลใหญ่มากมายต้องการแย่งชิงเพื่อครอบครองท่าเรือดอกท้อ แต่พวกเขาทุกคนก็ต้องกลับไปพร้อมความล้มเหลว ตอนนี้คาดไม่ถึงเลยว่าทายาทของเจ้าจะสามารถครอบครองมันได้…หึ เด็กสมัยนี้ไม่อาจดูเบาได้เลย!”
เมื่อเขาพูดขึ้น คนที่อยู่รอบข้างจำนวนไม่น้อยก็มีความเห็นคล้อยตามในทันที
“พูดได้ถูกต้อง! เรื่องราวก่อนหน้านี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้ว ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นคนคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ แต่ใครจะรู้เล่าว่า…เป็นข้าเองที่ประเมินนางต่ำไป!”
“เฮ้อ น่าเสียดายที่ทายาทตระกูลของข้านั้นเกเรไม่เอาไหน เปรียบเทียบกับตระกูลเจ้าไม่ได้เลย! น่าโมโหจริงๆ!”
“นี่เป็นเรื่องที่น่าอิจฉามาก…พี่ซั่งกวน เหตุใดพี่ถึงโชคดีขนาดนี้เนี่ย?”
ชายวัยกลางคนที่พูดขึ้นมาคนแรกก็หัวเราะออกมา
“ดูพวกเจ้าพูดเข้าสิ เดิมทีพี่ซั่งกวนก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว จะมีทายาทยอดเยี่ยมมันก็เป็นเรื่องธรรมดาแล้วไม่ใช่หรือ! ไม่อย่างนั้นนางจะสามารถเอาชนะใจโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ได้อย่างใด?”
ซั่งกวนจิ้งเลิกคิ้วขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! หลานสาวของตระกูลซั่งกวนของข้ายอดเยี่ยมที่สุด!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหูของฉู่หลิวเยว่ก็เห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
คำพูดที่น่าฟัง ใครก็อยากได้ยิน
แต่มีผู้อาวุโสจำนวนมากมาชมเชยพร้อมกันต่อหน้าธารกำนัล นางก็รู้สึกลำบากใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่หรงซิวกลับยิ้มแล้วพูดออกมาว่า
“ผู้อาวุโสจ้าวซงพูดได้ถูกต้อง ที่ข้าสามารถสู่ขอเยว่เออร์ได้ก็นับว่าเป็นความโชคดีของข้าแล้ว”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ทุกคนที่อยู่ภายในสถานที่นั้นต่างต้องตกใจในทันที
จ้าวซง?
ชื่อของบุคคลผู้นี้โด่งดังมากในอาณาจักรเสิ่นซวี่!
ข่าวลือบอกว่าเขาเป็นคนที่มีพื้นเพต่ำต้อย ไม่มีญาติสนิทมิตรสหายมาตั้งแต่เด็ก เร่ร่อนรอนแรมอยู่ตัวคนเดียว
จนตอนอายุสิบสอง เขาถูกค้นพบว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดยบังเอิญ ดังนั้นจึงเริ่มบำเพ็ญเพียร
ต้องบอกก่อนว่าเด็กภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่เริ่มบำเพ็ญเพียรตั้งแต่อายุสามสี่ขวบ เขาเพิ่งเริ่มตอนอายุสิบสอง ถือว่าสายเกินไปหน่อย
แต่เขามีชีพจรเทียนจิง!
อีกทั้งยังมีความตระหนักรู้ขั้นสูง!
ใช้เวลาเพียงแปดปีเขาก็สามารถทะลวงด่านระดับเทพขั้นสูงได้!
ในตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบเท่านั้น!
แต่หลังจากนั้นเหมือนว่าข่าวคราวของเขาจะเงียบหายไป และเขาไม่เคยปรากฏตัวในที่สาธารณะอีกเลย
ในตอนแรกมีผู้คนคาดเดาไปต่างๆ นานา คิดว่าเขาอาจจะปิดด่านฝึกอย่างหนัก หรือบางทีเขาอาจจะทำให้ล่าช้าเพราะเรื่องราวอย่างอื่น
แต่เวลาผ่านมานานมากขนาดนี้แล้วเขาก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที
เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็มีเขาหรือบอกว่าเขานั้นเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้ว
หลังจากนั้นทุกคนจึงค่อยๆ ลืมและเลิกพูดชื่อของเขาไปในที่สุด
แต่ว่าเรื่องเหล่านี้มันเคยเกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน!
พันปีต่อมา ใครจะคิดเล่าว่าจ้าวซงจะมาปรากฏตัวอยู่ในที่แห่งนี้?
และดูเหมือนว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีงามกับซั่งกวนจิ้งด้วย!
โดยปกติแล้ว เรื่องของคนเมื่อพันปีก่อน คนทั่วไปจะไม่สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ
ตระกูลหนานและตระกูลอี้ที่อยู่ในเหตุการณ์มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ด้านหนึ่งเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีฐานะสูงส่ง ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับอัจฉริยะชั้นยอดเป็นอย่างมาก ส่วนอีกด้านหนึ่ง เพราะว่าในบรรดาของกลุ่มพวกเขาล้วนเป็นคนที่มีอายุแล้ว ดังนั้นซึ่งประทับใจกับเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ
เมื่อหรงซิวพูดขึ้นเช่นนี้ พวกเขาก็นึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ดูจากสถานการณ์นี้แล้ว จ้าวซงน่าจะรู้จักมักจี่กับซั่งกวนจิ้งมาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มาช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน!
อี้เหวินจั๋วขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมแล้วถามว่า
“จ้าวซง เพื่อคนของตระกูลซั่งกวนคนเดียว ท่านกลับตั้งใจจะเป็นปรปักษ์กับตระกูลอี้ของพวกเราหรือ?”
จ้าวซงหัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความสดใส
“ข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง! เรื่องที่ชัดเจนขนาดนี้ พวกเจ้ายังจะถามอีก?”
อี้เหวินจั๋วถูกประชดประชัน สีหน้าก็ย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม
ในเวลาแบบนี้ เขาไม่ควรจะใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวตอบโต้อีกฝ่าย ดังนั้นจึงต้องอดทนเอาไว้
อีกฝ่ายพาระดับเทพศักดิ์สิทธิ์มาด้วยจำนวนไม่น้อย เมื่อนับรวมกับหนานซู่ไหวและซั่งกวนจิ้ง จำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีมากกว่าคนของพวกเขาทั้งสองตระกูลรวมกันเสียอีก
หากต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ เกรงว่าฝ่ายที่เสียเปรียบจะเป็นพวกเขาแทน!
ในตอนนั้นอี้เหวินเทาถอยหลังลง
เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ สีหน้าและปฏิกิริยาตอบรับของเขานั้นเยือกเย็นกว่าคนอื่นมาก
“จ้าวซง ข้าไม่รู้ว่าซั่งกวนจิ้งโน้มน้าวให้พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างใด แต่หากพวกท่านออกจากที่นี่ในตอนนี้ ตระกูลอี้ของพวกเราก็จะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างงาม”
ในบรรดาคนที่มาที่นี่ ความจริงแล้วมีคนจำนวนไม่น้อยที่อี้เหวินเทารู้จัก
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บำเพ็ญเพียรพเนจร คนที่พึ่งพิงตระกูลมีจำนวนไม่มาก อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาก็เก็บตัวเงียบมาโดยตลอด
เป็นเรื่องยากมากที่ซั่งกวนจิ้งจะสามารถเชิญออกมาพร้อมกันได้
แต่ซั่งกวนจิ้งกลับสามารถเชิญคนมาได้มากขนาดนี้ อาศัยเพียงฐานะช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์คงจะไม่เพียงพอ
แต่ตระกูลอี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนผู้แข็งแกร่ง
อาวุธศักดิ์สิทธิ์และของวิเศษจำนวนมากตระกูลอี้ก็มีมากมาย แม้กระทั่งซั่งกวนจิ้งก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมได้
ดังนั้นอี้เหวินเทาจึงพูดถึง “ความมั่งคั่ง” ของตระกูลขึ้นมาเป็นอันดับแรก
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครก็ตามมาขัดขวางเขาได้เด็ดขาด!
เมื่อได้ยินคำพูดของอี้เหวินเทา จ้าวซงก็เผยสีหน้าสนใจอยู่หลายส่วน
“หื้ม? จริงหรือ?”
“ข้าอี้เหวินเทา พูดไหนคำนั้น”
อี้เหวินเทาพูดขึ้นอย่างสงบและเยือกเย็น
จ้าวซงหันกลับไปมองหน้าทุกคน ก่อนมองหน้าซั่งกวนจิ้ง ท่าทางเหมือนกำลังลังเล
จากนั้นเขาก็พยักหน้า
“ได้ หากพวกเจ้าสามารถทำตามเงื่อนไขของข้าได้ ข้าก็จะตอบรับและยอมจากไป พร้อมพาทุกคนที่อยู่ด้านหลังข้าไปด้วย”
อี้เหวินเทายิ้ม
ซั่งกวนจิ้งแข็งแกร่ง แต่จะให้ต่อสู้เพียงคนเดียว เขาจะสามารถเอาชนะตระกูลอี้ได้อย่างใด?
คนเหล่านี้ช่างมาเสียเปล่าแล้ว…
“ขอเพียงแค่ประมุขอี้มอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเราคนละห้าชิ้น พวกเราก็จะรีบไปในทันที!”
จ้าวซงพูดขึ้นพร้อมยื่นมือออกมา แสดงสัญลักษณ์เป็นเลข “ห้า”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอี้เหวินเทาแข็งทื่อไปในทันที
………………..