ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1957 อย่าทำให้ฐานที่มั่นของเยว่เออร์สกปรก
“จ้าวซง! อย่าให้มันเกินไปนัก!”
อี้เหวินจั๋วตะโกนด่าขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
จ้าวซงแสดงสีหน้าไร้ซึ่งความผิด
“เอ๋? ตระกูลอี้ของพวกเจ้าให้ข้าเสนอเงื่อนไขไม่ใช่หรือ? ข้าก็เสนอแล้ว เหตุใดพวกเจ้าถึงมาด่าข้าอยู่ล่ะ?”
อี้เหวินจั๋วกัดฟันกรอด
“พี่ใหญ่บอกว่าให้เสนอเงื่อนไขได้ แต่ไม่ได้บอกให้เจ้าละโมบโลภมากเช่นนี้นี่!”
นี่มันฉวยโอกาสปล้นตอนไฟไหม้!
หรือบางที…จ้าวซงกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเจรจากับพวกเขาอย่างสันติอยู่แล้ว! จึงตั้งใจให้เขาได้รับความอัปยศ!
จ้าวซงผายมือออก
“ที่แท้พวกเจ้าก็รังเกียจหาว่าตั้งเงื่อนไขสูงเกินไป…ไม่มีสว่านมือชั้นดี ก็อย่ามาซ่อมเครื่องเคลือบดินเผา! ข้าคิดว่าตระกูลอี้ของพวกเจ้าจะมีกิจการยิ่งใหญ่ แล้วจะมือเติบ ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าจะไม่มีความจริงใจเช่นนี้…”
ภายในน้ำเสียงแฝงด้วยความผิดหวัง
คนตระกูลอี้รู้สึกโกรธมาก
เห็นได้ชัดว่าจ้าวซงนั้นทำเกินไป แล้วยังมาบอกว่าตระกูลอี้นั้นตระหนี่ถี่เหนียวอีก?
นี่เป็นการตบหน้ากันจริงๆ!
ต่อให้ซั่งกวนจิ้งผู้นั้นจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ไม่มีทางมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์หลายสิบชิ้นในตัวตนเองแน่นอน
แค่จะมอบให้คนละชิ้นยังไม่พอด้วยซ้ำล่ะมั้ง!
แต่จ้าวซงกลับพูดว่าต้องการคนละห้าชิ้น…อย่าบอกว่าตระกูลอี้ไม่มีเลย ต่อให้มีจริงๆ ถ้าหากเขาหยิบออกมาเยอะขนาดนั้น มันก็ขาดทุนแล้ว!
หนานซู่ไหวลูบเคราตนเอง มองดูความสนุกแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า
คนตระกูลหนานมีสีหน้าดำคล้ำไปทันที
นี่มันเกี่ยวอันใดกับเขาด้วย!
คำพูดนั้นอี้เหวินเทาเป็นคนพูดออกมาเอง!
แค่นี้พวกเขาก็สูญเสียอย่างหนักแล้ว แล้วยังจะให้พวกเขาทำอย่างใดอีก?
จ้าวซงส่ายหน้าออกมาอย่างเสียดาย
“ตระกูลหนาน? แม้กระทั่งประมุขของตระกูลตัวเองยังไม่สามารถปกป้องได้เลย แล้วจะไปหวังอันใดได้เล่า?”
“เจ้า!”
หนานเหอเถียนสบถออกมาด้วยความโกรธ แทบจะพุ่งตัวมาด้านหน้า
จ้าวซงเหลือบสายตามองเขา
“โอ้? นี่เจ้าคิดจะทำอันใด? ลงมืออย่างนั้นหรือ?”
ทันทีที่สิ้นเสียง ลมปราณของผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาก็ระเบิดออกมาโดยพร้อมกัน!
ดูท่าทางเตรียมตัวพร้อมสู้ทุกเมื่อ!
ซั่งกวนจิ้งหัวเราะขึ้นแล้วโน้มน้าวว่า
“เฮ้อ ทุกคนอย่าเพิ่งมีโทสะกันเลย วันนี้ข้าเชิญทุกคนมาเป็นแขกเพื่อมิตรภาพอันดีงาม! เยว่เออร์เพิ่งจะยึดครองท่าเรือดอกท้อมาได้ ช่วงนี้ก็เพิ่งจะเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อย พวกเรามาสู้กันอีกในครั้งนี้ แล้วทำให้ฐานที่มั่นของเยว่เออร์สกปรกจะทำอย่างใด?”
ในที่สุดสีหน้าของอี้เหวินเทาก็เขียวคล้ำ!
คนผู้นี้คือคนที่ซั่งกวนจิ้งพามา! เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการต่อสู้จนถึงที่สุด!
แล้วตอนนี้ยังจะกล้าพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาอีก?
ทำให้ฐานที่มั่นของฉู่หลิวเยว่สกปรก… นี่เขากำลังด่าใครกันแน่!
อี้เหวินเทาสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเจอเรื่องอันใด ไม่ว่าอารมณ์เขาจะเป็นแบบไหน แต่เขาก็ยังรักษาสีหน้าสงบราบเรียบได้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้เขาสามารถรักษาความสงบได้ เพราะเขามีความมั่นใจว่าวันนี้เขาจะต้องชนะอย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้…
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าตระกูลอี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ!
ส่วนตระกูลหนาน…
เหอะ
ความจริงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลย
ดูผิวเผินคนเหล่านี้เหมือนจะสามัคคีกัน แต่ความจริงแล้วได้แบ่งออกเป็นก๊กเป็นเหล่า หากหนานอีฝานยังไม่ตาย เขาก็จะถูกจับในฐานะเชลยของฉู่หลิวเยว่ เกรงว่าคนตระกูลหนานจำนวนไม่น้อยก็จะขายหน้าไปตั้งนานแล้ว
หากต้องต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ คนตระกูลหนานเหล่านั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าไร
ดังนั้นอี้เหวินเทาจึงรู้สึกร้อนรนขึ้นมา
ปัง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นขึ้น!
ทุกคนจึงหันไปมอง แต่กลับเห็นว่ากลุ่มแสงสีเขียวดั่งดวงอาทิตย์ที่อี้เหวินเทาเพิ่งปล่อยพลังออกมาได้ระเบิดอย่างรุนแรงแล้ว!
ม่านพลังของท่าเรือดอกท้อเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น! แต่มันยังไม่พังทลายลงมา!
… ฉู่หลิวเยว่ยังสามารถขวางการโจมตีของอี้เหวินเทาได้!
ในตอนนั้นทุกคนรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
แม้กระทั่งอี้เหวินเทายังไม่สามารถต่อสู้ได้ละก็…ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็คงหมดหวังแล้ว
คนตระกูลหนานมาที่นี่เพื่อแค้น แต่ตอนนี้กลับต้องทนมองประมุขของตัวเองถูกขังอยู่ด้านใน พร้อมทนรับการทรมาน แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออันใดได้เลย
คนตระกูลอี้มาแย่งชิงท่าเรือดอกท้อ แต่แม้กระทั่งม่านพลังที่อยู่ด้านนอกสุดก็ยังไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้เลย!
แล้วจะแก้แค้นอย่างใด แล้วจะแย่งชิงอย่างใด?
ตอนนี้อี้เหวินเทากำลังอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!
เมื่อฉู่หลิวเยว่ใช้ความคิด ลำแสงบนม่านพลังนั้นก็เริ่มสั่นไหวและกลืนกินพลังที่เหลือจากการระเบิดอันรุนแรงเหล่านั้น
หลังจากม่านพลังของท่าเรือดอกท้อได้รับการสนับสนุนของทัณฑ์ทลายเทพแล้ว มันก็แข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งภายใต้การควบคุมของฉู่หลิวเยว่ก็สามารถแปรพลังส่วนใหญ่มาเป็นพลังของตนเอง ทั้งยังช่วยทำให้พลังในการฟื้นฟูนั้นเพิ่มสูงขึ้นด้วย
ทั้งนี้มันยังช่วยฉู่หลิวเยว่ลดปัญหาไปได้อีกมาก
หลังจากใช้เวลาสักพัก พลังงานส่วนใหญ่ที่อยู่โดยรอบก็ถูกดูดกลืนจนหมดสิ้น
รอบข้างถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
แต่อย่างใดก็ตามทุกคนไม่สามารถสงบสติลงได้เลย!
ม่านพลังนี้แข็งแกร่งดุจกำแพงหินผนังเหล็ก!
ต่อให้ไม่มีคนภายนอกช่วย มีแค่ฉู่หลิวเยว่เพียงคนเดียวก็สามารถขวางการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ได้แล้ว!
อี้เหวินเทามองไปยังแสงสว่างที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ก่อนกระชับขวานสุริยันมรกตในมือให้แน่นยิ่งขึ้น
ดูเหมือนว่าแผนการก่อนหน้านี้ของเขาจะล้มเหลวแล้ว…
ในตอนนี้จึงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น!
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นว่า
“ซั่งกวนจิ้งพูดได้ถูกต้อง หากคนมากมายขนาดนั้นลงมือพร้อมกันทีเดียวคงต้องส่งผลกระทบต่อท่าเรือดอกท้ออย่างยิ่งใหญ่แล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราทั้งสองฝ่ายเลือกใครคนใดคนหนึ่งออกมาประลองกันจะดีกว่า! หากฝ่ายที่ชนะก็จะได้ครอบครองท่าเรือดอกท้อนี้! ส่วนผู้แพ้ จะต้องออกจากที่นี่และไม่มาพัวพันกันอีก!”
………………..