ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1958 รับมือด้วยตนเอง
ตอนที่ 1958 รับมือด้วยตนเอง
………………..
“หึ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
หนานซู่ไหวมองไปทางอี้เหวินเทาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ประมุขตระกูลอี้คำนวณแผนการได้ยอดเยี่ยมมาก เมื่อครู่ตอนที่ผู้เฒ่าอย่างข้ามาถึง เจ้ายังมีท่าทีไม่ใส่ใจ เอะอะก็บอกว่าจะทะลวงม่านพลังนี้เข้าไป แต่เหตุใดเมื่อผู้อาวุโสซั่งกวนและคนอื่นๆ มาถึง เจ้าถึงได้เปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ล่ะ?”
ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ต่อให้อี้เหวินเทาร่วมมือกับตระกูลหนาน ก็ยากจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ซั่งกวนจิ้งเชิญมาก็ไม่ได้มีดีเพียงฐานะเท่านั้น
หากต่อสู้กันขึ้นมา ใครเป็นฝ่ายแพ้ใครเป็นฝ่ายชนะ มองเพียงครู่เดียวก็รู้แล้ว!
อีกทั้งหลังจากศึกนี้เสร็จสิ้น ตระกูลหนานและตระกูลอี้จะต้องเสียหายมากมายแน่นอน
อี้เหวินเทาไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงเช่นนั้น ดังนั้นจึงเปลี่ยนความคิดในทันที โดยเสนอเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา
แต่เมื่อได้รับคำดูถูกเหยียดหยามของหนานซู่ไหว อี้เหวินเทาก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องรีบระงับโทสะนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เรื่องเหล่านั้นไม่ได้สำคัญอันใดแล้ว
ขอเพียงแค่ต้องหยุดเหตุการณ์เหล่านี้ พวกเขาถึงมีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้!
และนี่ก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะสามารถยึดครองท่าเรือดอกท้อได้!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปมองทางฉู่หลิวเยว่
“ซั่งกวนเยว่ เจ้าจะตอบตกลงหรือไม่?”
คนอื่นคิดอย่างใด เขาไม่สน เพราะว่ามันไม่สำคัญ
และในตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ถือว่าเป็นผู้ครองท่าเรือดอกท้อ ถ้าเช่นนั้น หากจะถามก็ต้องถามนางคนเดียว!
นางจะเห็นด้วยหรือไม่ก็อยู่ที่นาง!
หลังจากนั้นริมฝีปากแดงของฉู่หลิวเยว่ก็ยกโค้งขึ้น ดวงตาเปล่งประกาย แล้วพยักหน้าเบาๆ
“ได้!”
…
ได้?
นี่นาง…ตอบรับแล้วอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนแทบจะหยุดชะงักไป แม้กระทั่งคนส่วนใหญ่ภายในท่าเรือดอกท้อก็ยังเผยสีหน้าตกใจออกมา
เงื่อนไขนี้… นางควรปฏิเสธสิ เหตุใดนางถึงเห็นด้วยเล่า?
ด้วยสถานการณ์แบบนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไม่จำเป็นจะต้องประนีประนอมกับอี้เหวินเทาด้วยซ้ำ!
“นายท่าน…เหตุใดถึงตกลงล่ะขอรับ?”
สือซานพูดพึมพำเสียงต่ำด้วยความมึนงง
เขาถามพร้อมหันไปมองเฉินอีที่อยู่ด้านข้างอย่างอดไม่ได้ แต่เขาก็พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นราบเรียบ เหมือนว่าไม่ได้มีความประหลาดใจเลย
“พี่ใหญ่?”
สือซานถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“พี่ว่า นายท่านกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่?”
เฉินอีมีสีหน้าราบเรียบ เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วอธิบายขึ้นว่า
“ไม่มีอันใด”
“นายท่านก็แค่ไม่อยากให้ฐานที่มั่นที่เพิ่งทำความสะอาดสกปรกอีกครั้ง”
สือซาน “…”
“สามารถขจัดเรื่องออกไปได้โดยไม่ต้องใช้กำลังมาก นั่นก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?”
เฉินอีอธิบายต่อ
เขาเข้าใจความหมายที่พี่ใหญ่พูด
แม้ว่าตอนนี้ฝ่ายเขาจะมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากกว่า และมีโอกาสชนะมากกว่า
แต่หากมีคนต่อสู้กันเป็นจำนวนมาก มันจะต้องสั่นสะเทือนฟ้าดินแน่นอน
ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเขาเป็นฝ่ายชนะ แต่พวกเขาก็ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย
หากเป็นการท้าดวลหนึ่งต่อหนึ่งกับอี้เหวินเทา ถ้าอย่างนั้นก็ประหยัดแรงและประหยัดเวลามากกว่า
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…
“อี้เหวินเทาคนนั้นแข็งแกร่งมาก เขาจะต้องต่อสู้ด้วยตัวเองแน่นอน แล้วนายท่านจะเลือกใครถึงจะมีโอกาสชนะมากที่สุด?”
…
อี้เหวินเทาสาวเท้าก้าวเข้ามา เมื่อเห็นรอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่ ในแววตาของเขาก็มีความเย็นชาปรากฏขึ้น
“กล้าหาญมาก!”
เดิมทีเขายังลังเลอยู่เล็กน้อย และคิดว่าฉู่หลิวเยว่อาจจะไม่ตอบตกลง
ท้ายที่สุดแล้วการทำเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงอย่างมาก
แต่ยังดีที่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจเลือกแบบนี้
“ในเมื่อครั้งนี้ข้าเป็นฝ่ายขอท้าชิง ดังนั้นศึกในครั้งนี้คนที่จะประลองก็คือข้า”
ทันทีที่สิ้นเสียงของอี้เหวินเทา รอบข้างก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ
สำหรับเรื่องนี้พวกเขาคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอี้เหวินเทาพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า
“ในขณะเดียวกัน ซั่งกวนเยว่…พวกเราทุกคนกำลังแย่งชิงท่าเรือดอกท้อ ถ้าเช่นนั้นคนที่เจ้าเลือกก็ควรจะเป็นคนของเจ้าเอง ไม่ควรจะให้คนอื่นสอดมือเข้ามา เจ้ามีความเห็นว่าอย่างใดล่ะ?”
ทุกคนชะงักไป
คำพูดของอี้เหวินเทานี้หมายความว่า ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากจ้าวซงและคนอื่นๆ ได้ แต่สามารถคัดเลือกจากคนที่ใกล้ชิดและไว้ใจให้ต่อสู้
การที่อี้เหวินเทาพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการบีบฉู่หลิวเยว่
คำพูดเช่นนี้นับว่าไม่ผิด แต่กลับถือว่าเป็นการฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ
ยิ่งไปกว่านั้นทำให้สถานะของอี้เหวินเทาตกต่ำลงมากขึ้นด้วย
…
จ้าวซงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วพูดว่า
“พี่ซั่งกวน ข้าตัดขาดจากโลกภายนอกมานานเกินไปหรือ ข้าไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้คนมันไร้ยางอายขนาดนี้กันแล้ว?”
ซั่งกวนจิ้งระงับเพลิงโทสะที่อยู่ภายใน แล้วยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“มาแย่งฐานที่มั่นของคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง ทำตัวเป็นคนที่มีเหตุผลหนุนนำ แล้วยังมีเรื่องอันใดอีกที่เขาไม่สามารถทำได้?”
คนตระกูลอี้จำนวนมากก็เดี๋ยวขาวเดี๋ยวเขียว สีหน้าย่ำแย่อย่างมาก
พวกเขามีสถานะสูงส่งมาโดยตลอด แม้กระทั่งตระกูลอันดับหนึ่งเหล่านั้นเห็นหน้าพวกเขาก็ยังต้องให้ความเกรงใจและเคารพ พวกเขาเคยถูกคนทำให้อัปยศเช่นนี้ที่ไหนกัน?
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…พวกเขาไม่สามารถโต้เถียงได้!
เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีท่าทีกระสับกระส่ายเหล่านี้ อี้เหวินเทากลับมีสีหน้าราบเรียบ ไร้คลื่นอารมณ์
ราวไม่ได้ยินเสียงคำพูดเหล่านั้น
เขามองตรงไปที่ฉู่หลิวเยว่คนเดียวเพื่อรอคอยคำตอบของนาง
…
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
สมแล้วที่สามารถนั่งเก้าอี้ประมุขตระกูลอี้ได้อย่างมั่นคงมานานหลายปี ความมั่นคงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
นางพยักหน้า
“สิ่งที่ประมุขอี้พูดนั้น ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
รอบข้างเสียงเงียบลงยิ่งกว่าเดิม
คนตระกูลอี้และตระกูลหนานถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่ฝั่งของท่าเรือดอกท้อกลับรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น
ตัวเลือกที่มีแต่เสียเปรียบเช่นนี้ ต่อให้ฉู่หลิวเยว่ไม่เห็นด้วย อี้เหวินเทาก็ไม่มีทางพูดอันใดแน่นอน
แต่เหตุใดนางถึงตกลงเล่า?
อี้เหวินเทาหรี่ตาลงเล็กน้อย
“แล้ว…เจ้าเลือกคนได้หรือยัง?”
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้น ก่อนสาวเท้ามาด้านหน้า
“เลือกได้แล้ว”
“ซั่งกวนเยว่แห่งท่าเรือดอกท้อ…ขอรับคำท้า!”
………………..