ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1960 การช่วยเหลือจากภายนอก
สียงคำรามของหงส์ดังกังวานขึ้นทั่วบริเวณ!
จากนั้นก็มีเงาร่างเล็กๆ เดินออกมาจากเปลวเพลิง!
ดูแล้วเหมือนเด็กอายุประมาณสามสี่ขวบเท่านั้น นางสวมกระโปรงใบบัวสีทองคำชาด บนศีรษะมัดมวยผมอยู่สองข้าง เท้าเล็กๆ เปลือยเปล่าราวหยกใส ดูแล้วน่ารักมาก
โดยเฉพาะดวงตากลมโตเหมือนลูกองุ่นดำที่เปล่งประกายและมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ตอนที่เดินเข้ามา กระดิ่งบนมวยผมของนางก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งตามจังหวะการเดิน
ตอนที่พวกเขาเห็นแม่นางน้อยคนนี้เดินออกมา พวกเขาก็ชะงักค้างไป ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดึงสติกลับมาได้
“หงส์ทองคำ?”
“นางทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ?”
“ไม่ถูกต้อง หงส์ทองคำตัวนี้ยังเด็กมากเกินไป ตามหลักการแล้ว มันไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้!”
“นั่นมัน…ไม่ใช่นายน้อยแห่งเผ่าหงส์ทองคำหรอกหรือ? ดังนั้นน่าจะมีอันใดบางอย่างแตกต่างออกไป?”
แม้ว่าข่าวการทำพันธสัญญาของฉู่หลิวเยว่กับถวนจื่อจะแพร่สะพัดออกไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ตั้งนานแล้ว คนที่เคยเห็นถวนจื่อจริงๆ มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้
ดังนั้นการปรากฏตัวของถวนจื่อในครั้งนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถวนจื่อกลับรู้สึกชินเสียแล้ว
นางยืนอยู่ด้านหน้าของฉู่หลิวเยว่ มือข้างหนึ่งเท้าเอว ส่วนมืออีกครั้งหนึ่งชี้ไปทางอี้เหวินเทา คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย แล้วถามขึ้นด้วยความกรุ่นโกรธ
“ตาแก่คนนี้คิดจะทำร้ายอาเยว่ของพวกเราหรือ?”
นางอายุยังน้อย แม้ว่าจะพูดห้วนท่าทางเป็นอริแต่ยังแฝงด้วยความน่ารักอยู่
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกเขาไม่เพียงไม่รู้สึกหวาดกลัว แต่กลับรู้สึกว่ามันน่าขันเล็กน้อยด้วย
หงส์ทองคำเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือนายน้อยแห่งเผ่าหงส์ทองคำ ซึ่งมีฐานะไม่ต่ำต้อยเลย
แต่…
นางยังเด็กเกินไป!
เด็กตัวเล็กขนาดนี้จะเอาอันใดมาสู้!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอาจจะยังสามารถสร้างแรงคุกคามได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนในระดับอี้เหวินเทา…มันก็ไม่มีประโยชน์เลย
อี้เหวินเทาเหลือบสายตามองถวนจื่อแล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เด็กขนาดนี้แต่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้…
มิน่าล่ะแม้ว่านางจะไม่ได้ยกเลิกพันธสัญญากับฉู่หลิวเยว่ก็ยังดำรงตำแหน่งนายน้อยได้
พรสวรรค์ทางสายเลือดน่าจะแข็งแกร่งน่าดู…
อี้เหวินเทาระวังตัวอย่างมากแตกต่างจากคนอื่น
ดังนั้นสายตาที่มองถวนจื่อนั้นจึงแตกต่างจากคนอื่น ไม่มีการเมินเฉยและดูถูกเลย
“พวกเราตกลงกันว่าจะประลองกันหนึ่งครั้ง หากใครชนะก็ได้ครอบครองท่าเรือดอกท้อแห่งนี้”
อี้เหวินเทาพูดขึ้นเสียงเรียบ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย เพียงแค่ฐานะของอีกฝ่ายก็ไม่อาจดูเบาได้แล้ว
และเขาไม่อยากจะเรียกอี้เจามาที่นี่
เมื่อถึงตอนนั้นคงจะลำบากมากกว่านี้แน่นอน!
ส่วนคำพูดของอี้เหวินเทา ถวนจื่อก็คร้านจะใส่ใจ
“เจ้าต้องการแย่งของของอาเยว่ นั่นยิ่งให้อภัยไม่ได้!”
ท่าเรือดอกท้อแห่งนี้อาเยว่ได้มาอย่างยากลำบาก!
นี่เพิ่งผ่านมาไม่เท่าใด คาดไม่ถึงว่าจะมีคนมาแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้แล้ว?
อี้เหวินเทาขมวดคิ้วขึ้น
ต่อให้เขาไม่เห็นเรื่องเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่เด็กน้อยคนหนึ่งกลับด่าว่าเขาต่อหน้าธารกำนัลมากมาย นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่ง
หากเขาไม่โมโหก็รู้สึกแปลกแล้ว
“พูดจาไร้สาระให้น้อยลงหน่อย พวกเรามาเริ่มของจริงกันเลยเถอะ!”
เขาหันมองทางฉู่หลิวเยว่น้ำเสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน
มัวแต่พูดมากไม่เลิกราเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
รีบสู้รีบจบ จากนั้นก็รีบครอบครองท่าเรือดอกท้อ ปัญหาทั้งหมดจะได้คลี่คลายได้โดยเร็ว!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกเสียงโดยทันที
“ประมุขอี้จะรีบร้อนไปเหตุใด ข้ายังเตรียมตัวไม่เรียบร้อยเลย”
อี้เหวินเทาขมวดคิ้ว
เตรียมตัว?
ก็แค่สู้กันสักยกไม่ใช่หรือ แล้วจะต้องเตรียมตัวอันใดอีก?
อาวุธในมือก็มีแล้ว หงส์ทองคำตัวนี้ก็เรียกออกมาแล้ว นางยังคิดจะทำอันใดอีก?
ตอนที่อี้เหวินเทากำลังร้อนใจ ฉู่หลิวเยว่ก็เลิกคิ้วขึ้น
“จื่อเฉิน ครั้งนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว?”
ยังมีอีก?
อี้เหวินเทาพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน
“ซั่งกวนเยว่ ข้าต้องการสู้กับเจ้าเพียงคนเดียว แต่เจ้ากลับขอความช่วยเหลือจากภายนอก…”
ทันใดนั้นเสียงของเขาก็ชะงักค้างไป
ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาต้องตกตะลึงชะงักค้าง
เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน บนร่างกายแผ่ไอเย็นออกมาอย่างต่อเนื่อง
ลมปราณแข็งแกร่ง แรงกดดันพวยพุ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามีฝีมือไม่อ่อนด้อย!
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ตรงกลางหน้าผากของเขามีสัญลักษณ์ตราประทับสีทองคำม่วง!
มองไปแล้วมันเหมือนกับดวงตาลูกหนึ่ง…
อี้เหวินเทาหยุดหายใจอย่างกะทันหัน
…นั่นมันคือดวงตาจริงๆ!
อี้เหวินเทาเคยทำความรู้จักกับเผ่าอินทรีสามตา
ดังนั้นจึงสามารถสัมผัสได้ว่า เขาค่อนข้างรู้สึกคุ้นเคยกับลมปราณบนร่างกายของจื่อเฉิน
อีกฝ่ายคือเผ่าอินทรีสามตาไม่ผิดแน่!
หรือว่า…
ชายหนุ่มคนนี้ ไม่ใช่เผ่ามนุษย์แต่เป็น…
อินทรีสามตา?
ความคิดนี้เพิ่งปรากฏขึ้นมาในสมอง แต่ก็ถูกอี้เหวินเทาปฏิเสธในทันที
จะเป็นไปได้อย่างใด?
อินทรีสามตาเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง แต่ความสามารถในการแปลงกายเป็นมนุษย์นั้น มีเพียงแค่สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ในระดับบรรพกาลสองเผ่าเท่านั้นที่จะสามารถทำได้!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่จะมีอินทรีสามตาที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วย!
ในตอนนั้นอี้เหวินเทาเกือบจะคิดว่าเขาถูกอีกฝ่ายใช้ภาพลวงตาแล้ว
แต่เขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น!
นี่คือกายเนื้อของเผ่ามนุษย์จริงๆ!
อี้เหวินเทารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจมากกว่าเขาเสียอีก
กลุ่มคนที่เคยกระซิบกระซาบส่งเสียงดังก็เงียบเสียงลงในทันที
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงแล้วพูดว่า
“ประมุขอี้พูดได้ถูกต้อง ในเมื่อพวกเราทั้งสองได้ตกลงว่าจะสู้กันตัวต่อตัว แน่นอนว่าไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากภายนอกได้ แต่ว่า…จื่อเฉินเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าเขา…คือสัตว์อสูรในพันธสัญญาของข้าเช่นเดียวกัน!”
………………..