ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1965 เจ้านายที่แท้จริง
ตอนที่ 1965 เจ้านายที่แท้จริง
………………..
ดวงตาอี้เหวินเทาเปล่งประกาย
ในที่สุดก็จะใช้มันแล้วหรือ?
แต่การเคลื่อนไหวของนางในวินาทีถัดมาทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
นางปล่อยมือแล้ววางโล่ผสานนภาลงกับพื้น เหมือนว่าไม่ต้องการใช้มัน
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เสียบกระบี่ชื่อเซียวลงกับพื้นอย่างรุนแรง!
รอยแตกร้าวขยายตัว
อี้เหวินเทารู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ฉู่หลิวเยว่ไม่ต้องการจะสู้ต่อไปแล้วหรือ?
แต่เมื่อดูจากการกระทำของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่…
พรึ่บ!
ลำแสงสีชาดพุ่งออกมาอย่างกะทันหัน!
ด้านหน้าของฉู่หลิวเยว่มีม้วนหนังสือสีชาดลอยอยู่กลางอากาศ
หนานเหอเถียนแทบจะเบิกตากว้างขึ้นในทันที
“ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง สีหน้าของทุกคนในตระกูลหนานก็ย่ำแย่ขึ้นมาในทันที
ในตอนแรกพวกเขาก็ไม่กล้ามั่นใจนัก แต่หนานเหอเถียนติดตามหนานอีฝานมานาน ดังนั้นจึงน่าจะคุ้นเคยมากกว่าเขา
ในเมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยไม่ผิดแน่!
“ซั่งกวนเยว่ไม่เพียงแต่จะจับลั่วเหยี่ยนและคนอื่นๆ เป็นเชลยแล้ว นางยังแย่งชิงภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยมาอีก!”
คนผู้หนึ่งอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้
และในตอนนี้หนานอวี่สิงตายแล้ว เพียงผู้อาวุโสไม่กี่คน บางคนก็เสียชีวิตแล้ว บางคนก็หักหลังตระกูลหนาน
สุดท้ายหากภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยตกอยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่มันก็ไม่น่าแปลกใจเลย
เพียงแต่ว่าของชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลหนาน ตอนนี้กลับถูกฉู่หลิวเยว่แย่งชิงไปแล้ว คนตระกูลหนานจึงรู้สึกไม่ดีอย่างแน่นอน
หนานเหอเถียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเอง
“วางใจเถอะ นั่นเป็นของของท่านประมุข นางใช้ไม่…”
ฟิ้ว!
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นเบาๆ ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยก็เปิดออกมาในทันที!
หนานเหอเถียนสำลักไป คำพูดที่เหลือยังคงติดค้างอยู่ในลำคอ ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
คนตระกูลหนานที่เหลือก็ไม่ได้มีสีหน้าดีไปกว่าการเสียเท่าไรเลย
ที่นางสามารถทำเช่นนี้ได้…หรือว่าภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว?
แต่…หนานอีฝานยังไม่ตายนี่นา!
อี้เหวินเทาเหลือบสายตาไปมองภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย บนใบหน้าของเขามีประกายแห่งความตกใจอย่างหาได้ยาก
เขากับหนานอีฝานรู้จักกันมานานแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าหนานอีฝานให้ความสำคัญกับของวิเศษชิ้นนี้มากขนาดไหน
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นห่วงหนานอวี่สิง เขาไม่มีทางหยิบของชิ้นนี้ออกมาแน่นอน
แต่ใครจะรู้เล่าว่าสุดท้ายฉู่หลิวเยว่จะเป็นคนได้ไป?
แต่ประเด็นสำคัญเลยก็คือ…เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะรู้วิธีใช้ของของสิ่งนี้?
ความคิดนี่เพิ่งปรากฏขึ้นมา อี้เหวินเทาก็เห็นฉู่หลิวเยว่ยื่นมือออกไป
นิ้วเรียวยาวขาวละเอียดดุจดั่งหยก
จากนั้นนางก็แตะไปที่ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยอย่างแผ่วเบา
การกระทำเหล่านี้ นางทำอย่างผ่อนคลายและไม่ใส่ใจ แต่แฝงด้วยท่าทีที่สูงส่ง
เหมือนว่านางไม่ได้เห็นของที่อยู่ตรงหน้าในสายตาเลย
แม้ว่าอี้เหวินเทาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ด้านค่ายกล แต่เขาก็เคยศึกษาค่ายกลมาไม่น้อย ทันทีที่เขาเห็นรูปแบบของค่ายกลนี้ เขาก็สามารถจดจำได้ในทันที
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้รูม่านตาของเขาหดเล็กลง
เมื่อครู่นี้…ฉู่หลิวเยว่แตะเพียงเบาๆ ก็สามารถทำให้เกิดค่ายกลขึ้นมาได้แล้วหรือ?
ไม่ถูกต้อง!
ค่ายกลแห่งนี้เกิดขึ้นจากภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย!
ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลที่ยิ่งใหญ่ เขาก็ไม่สามารถใช้เวลาสั้นๆ สร้างค่ายกลสี่ลักษณ์ออกมาได้สำเร็จ
มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ เดิมทีมันถูกสลักเอาไว้อยู่บนภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยอยู่แล้ว! เมื่อถ่ายเทพลังปราณดั้งเดิมเพียงเล็กน้อย มันก็สามารถปรากฏออกมาได้แล้ว!
คนตระกูลหนานทุกคนล้วนตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย…มีค่ายกลด้วยหรือ?”
ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยเก็บรักษาโดยตระกูลหนานมาตลอดหลายพันปี โดยสืบทอดให้แก่ประมุขของตระกูลรุ่นสู่รุ่น
เพราะว่าตระกูลหนานไม่ค่อยได้ติดต่อคบค้าสมาคมกับตระกูลอื่นมากเท่าใด อีกทั้งหนานอีฝานก็ฝีมือแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นน้อยครั้งมากที่เขาจะนำภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยนี้ออกมาใช้
ภายในความคิดของคนหลายคน ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยเอาไว้ใช้รักษาชีวิต และให้หลบหนีออกจากตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว
รวมถึงคนตระกูลหนานส่วนใหญ่ด้วย
ในตอนนี้เมื่อเขาเห็นฉู่หลิวเยว่อัญเชิญค่ายกลระดับสูงออกมาจากภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย คนตระกูลหนานก็รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก
พวกเขายังไม่ทันได้ดึงสติกลับคืนมา จากนั้นเขาก็เห็นว่านิ้วเรียวยาวของฉู่หลิวเยว่ที่แตะที่ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยหลายครั้ง จากนั้นค่ายกลก็ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งคาดไม่ถึงว่าระดับที่ต่ำที่สุดคือระดับค่ายกลระดับมหาราชา
ค่ายกลเหล่านี้ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
ค่ายกลหลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบล้วนมีลมปราณที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมา อาณาเขตเทพเซียนของอี้เหวินเทาเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว!
ทันทีที่เขาสังเกตเห็นจุดนี้ ความไม่สบายใจก็พวยพุ่งขึ้นมาในความคิดของอี้เหวินเทาทันที
ต้องบอกก่อนว่าปรมาจารย์ค่ายกลระดับยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ สามารถสู้เทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์!
ในตอนนี้ตรงหน้าเขามีค่ายกลหลายสิบรูปแบบลอยอยู่!
นี่แทบจะเทียบเท่ากับมียอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มาต่อสู้กับเขาแล้ว!
เขาหันศีรษะเหลือบไปมองที่หนานอีฝาน
ในตอนนี้หนานอีฝานกำลังสลบไสลอาการร่อแร่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันคือเรื่องอันใดกันแน่
อี้เหวินเทาหันไปมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความโกรธอีกครั้ง สายตาเหมือนกำลังมองสัตว์ประหลาดอยู่
ในที่สุดตอนนั้นเขาก็ตัดสินใจได้ว่า ‘เดิมทีหนานอีฝานไม่ได้เป็นเจ้าของของภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยนั่นตั้งแต่แรก!’
ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ ฉู่หลิวเยว่กระทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่หนานอีฝานจะไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย!
แต่ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยที่แท้จริงเป็นอย่างใดเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำ!
หากเขารู้และบอกให้กับหนานอวี่สิง จุดจบของอีกฝ่ายคงไม่เป็นเช่นนี้แน่
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า…
ตระกูลหนานเก็บรักษาภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยมาเป็นเวลาพันปี แต่ความจริงแล้วมันกลับไม่เคยเป็นของพวกเขาเลย แต่โชคชะตาสรรค์สร้างจนของชิ้นนี้กลายเป็นของฉู่หลิวเยว่!
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ลุกเป็นไฟ พร้อมจ้องไปยังอี้เหวินเทาที่อยู่ตรงหน้าตาเขม็ง
จากนั้นนางก็โคจรพลังภายในร่างกายแล้วตะโกนขึ้นมาว่า
“ไป!”
ทันทีที่สิ้นเสียงค่ายกลหลายสิบรูปแบบก็เคลื่อนตัวเข้าหาอี้เหวินเทาอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง!
พลังนั้นรุนแรงบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะพัดผ่านไปที่ใด อาณาเขตเทพเซียนสีเขียวก็ปลิวกระจัดกระจายออกไปทันที!