ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1968 ตระกูลใครร่ำรวยกว่ากัน
ตอนที่ 1968 ตระกูลใครร่ำรวยกว่ากัน
………………..
ซั่งกวนจิ้งและคนอื่นต่างรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
พวกเขารู้ดีว่าฉู่หลิวเยว่นั้นไม่มีร่างศักดิ์สิทธิ์
แต่ในตอนนี้…นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นางฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว!
“นั่นคือร่างศักดิ์สิทธิ์อันใดกัน พี่ซั่งกวน เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมือนกับร่างศักดิ์สิทธิ์ของท่านเลย?”
จ้าวซงถามขึ้นมาอย่างสงสัย
ในเมื่อฉู่หลิวเยว่เป็นทายาทของซั่งกวนจิ้ง นางมีสายเลือดของเขา ในความคิดของพวกเขาแล้ว อีกฝ่ายน่าจะมีร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกัน
ซั่งกวนจิ้งส่ายหน้า
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเยว่เออร์มีร่างศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เมื่อใด ยิ่งไปกว่านั้นนางมีพรสวรรค์สูงมาก บางทีนางอาจจะคัดเลือกร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะกับตนเองที่สุดก็ได้”
จ้าวซงพยักหน้าพร้อมครุ่นคิด
คำพูดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ผู้บำเพ็ญแต่ละคนมีร่างกายและพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ต่อให้มาจากตระกูลเดียวกัน แต่บางครั้งก็คัดเลือกร่างศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่เหมือนกัน
ซั่งกวนจิ้งจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยังดูไม่ออกว่าร่างศักดิ์สิทธิ์ของฉู่หลิวเยว่นี้คือร่างศักดิ์สิทธิ์อันใด ดังนั้นจึงหันไปมองทางหนานซู่ไหวแล้วถามขึ้นเสียงเบาว่า
“เจ้าสำนักหนาน เจ้ารู้จักร่างศักดิ์สิทธิ์ของเยว่เออร์หรือไม่?”
เขาเองก็นับว่ามีความรู้กว้างขวางแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จักร่างศักดิ์สิทธิ์นี้
แม้ว่าหนานซู่ไหวจะอายุน้อยกว่าเขา แต่ด้วยฐานะของเจ้าสำนักหลิงเซียว เขาครอบครองตำราโบราณเอาไว้มากมาย ดังนั้นจึงน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าเขา
ยิ่งไปกว่านั้นเยว่เออร์ก็เป็นศิษย์ของสำนักหลิงเซียว หากนางต้องการฝึกฝนร่างศักดิ์สิทธิ์ นางก็ควรจะได้รับการเรียนรู้จากที่นี่
คิดไม่ถึงเลยว่าหนานซู่ไหวก็ยังส่ายหน้า
“ความจริงแล้ว…ผู้อาวุโสซั่งกวนอาจจะยังไม่รู้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เยว่เออร์อยู่ภายในสำนัก นางเคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาแล้วหลายเล่ม อีกทั้งยังเคยทดลองฝึกมาแล้วหลายครั้ง ในบรรดาการฝึกเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอด แต่นางก็ไม่สามารถฝึกสำเร็จ ดังนั้น…ตอนนี้เมื่อข้าเห็นว่านางฝึกร่างศักดิ์สิทธิ์ของตนเองสำเร็จแล้ว ข้าจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก แต่ร่างศักดิ์สิทธิ์นี้มีความเป็นมาอย่างใด ข้าเองก็ไม่แน่ชัด…”
ในเมื่อหนานซู่ไหวพูดเช่นนี้ นี่จะต้องเป็นความจริงแน่นอน
ทันใดนั้นเองหรงซิวก็พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ก่อนหน้านี้เยว่เออร์เพิ่งทะลวงด่านทัณฑ์ทลายเทพ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ความเงียบก็เข้าปกคลุม
ทัณฑ์ทลายเทพ?
ซั่งกวนจิ้งเหมือนนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงสูดลมหายใจเย็นๆ
“เจ้าหมายความว่า…”
ริมฝีปากแดงของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเบาๆ
“ร่างศักดิ์สิทธิ์ของนาง หลอมมาจากทัณฑ์ทลายเทพ”
…
พรึ่บ!
ฉู่หลิวเยว่สะกิดปลายเท้า เงาร่างของนางพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง ลำแสงสีแดงพุ่งตรงไปทางอี้เหวินเทา!
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ระยะห่างของพวกเขากำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ !
เมื่อเปรียบเทียบกับร่างศักดิ์สิทธิ์แปดทิศของอี้เหวินเทาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเงาร่างของฉู่หลิวเยว่เล็กราวกับเม็ดทราย
เพียงแค่อี้เหวินเทาลงมือก็เหมือนจะสามารถสังหารนางได้อย่างง่ายแล้ว!
ความจริงแล้วอี้เหวินเทาก็คิดเช่นนั้น
ในตอนที่เขาเห็นว่าฉู่หลิวเยว่อัญเชิญร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมา เขาก็รู้สึกตกใจมากจริงๆ แต่ว่ามันก็เป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
นางคือระดับเทพขั้นสูงการมีร่างศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่มีอันใดให้น่าตื่นตูม
ต่อให้เขาไม่รู้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใด เดิมทีเขาไม่เคยเห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว
เพราะว่าร่างศักดิ์สิทธิ์แปดทิศของเขาเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดแล้ว!
หลายปีมานี้เขาอาศัยเพียงแค่เอกลักษณ์และความแข็งแกร่งของร่างศักดิ์สิทธิ์ทำให้สามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขตระกูลอี้ได้อย่างมั่นคง!
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ต้องการจะใช้ร่างศักดิ์สิทธิ์ของนางมาสู้กับเขาต่อหน้า…
ดูเหมือนว่าสมองของนางจะเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ
อี้เหวินเทาหัวเราะเสียงเย็นก่อนปล่อยหมัดออกมา!
ลมจากหมัดพุ่งตรง!
ลมที่พัดอย่างรุนแรงทำให้ผมของฉู่หลิวเยว่ปลิวสยาย
ดวงตาของนางมองตรงไปด้านหน้า ตอนนี้พลังภายในร่างกายกำลังถูกรวบรวมอยู่ที่กลางฝ่ามือขวาของนางอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นนางก็ยกแขนขึ้นมาพร้อมส่งกำปั้นออกไป ปะทะกับหมัดของอี้เหวินเทา!
ภายในกลุ่มคนมีเสียงสูดลมหายใจเย็นๆ ดังขึ้น
คาดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะเลือกที่จะปะทะกับอี้เหวินเทาโดยตรง?
ด้วยการต่อสู้ประชิดตัวเช่นนี้ นางที่เป็นเพียงแค่ระดับเทพขั้นสูงจะต้องแพ้อย่างแน่นอนไม่ใช่หรือ?
หากโดนโจมตีจากหมัดนี้นางไม่ตายก็ต้องพิการ
อี้เหวินเทาหัวเราะออกเสียง
“ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แต่โรคเย่อหยิ่งจองหองของนางยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย”
หลายปีที่แล้วก็เป็นเช่นนี้ หลายปีต่อมาก็เป็นเช่นเดิม
แล้วนางยิ่งทำตัวกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น!
จวินจิ่วชิงจ้องมองไปที่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความมาดร้าย มือที่อยู่ภายในแขนเสื้อก็กำแน่นขึ้น
“ถูกต้อง! ซั่งกวนเยว่คนนั้นคิดว่าพรสวรรค์ของตนเองเลิศหรูเหนือใคร แต่นางไม่รู้เลยว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า! ระยะห่างระหว่างระดับเทพขั้นสูงกับระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จะก้าวข้ามได้ง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างใดกัน?”
“ต่อให้หงส์ทองคำตัวนั้นจะสามารถเปิดเส้นชีพจรที่ห้าได้สำเร็จ แต่เกรงว่ามันคงจะไม่ทันแล้ว”
“ครั้งนี้คงจบลงแล้วล่ะ…”
…
ฉู่หลิวเยว่เมินเฉยต่อคำพูดเหล่านี้
ในแววตาของนางมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชน นางมุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่ย่อท้อ!
ตู้ม!
หมัดของทั้งสองคนปะทะกัน!
หลังจากหยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่หนึ่ง พื้นรอบข้างก็แตกร้าวเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วโดยมีพวกเขาทั้งสองคนเป็นจุดศูนย์กลาง!
รอยแตกร้าวนั้นขยายกว้างต่อเนื่องราวกับใยแมงมุม!
เห็นได้ชัดว่าแรงปะทะของทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่ง!
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจเลยก็คือ ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ลอยกระเด็นออกไปอย่างที่พวกเขาคาด
ฝีเท้าของนาง…ไม่ได้ถอยร่นลงไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว!
ทุกคนรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
คาดไม่ถึงว่า…ฉู่หลิวเยว่จะสามารถต้านทานการโจมตีจากร่างศักดิ์สิทธิ์แปดทิศของอี้เหวินเทาได้?
ความเงียบเข้าปกคลุม
มีเพียงพลังทั้งสองส่วนที่โรมรันกันอยู่อย่างต่อเนื่อง!
แสงสีเขียวกับประกายระยิบระยับพัวพันกันจนแทบจะทำให้ผู้คนลืมตากันไม่ขึ้น
มุมปากของฉู่หลิวเยว่มีคราบเลือดไหลออกมา ใบหน้าของนางซีดขาว
แต่…นางยังคงยืนอยู่ที่เดิมและเผชิญหน้ากับอี้เหวินเทา!
ในตอนนั้นเองค่ายกลที่อยู่รอบข้างและยังไม่ถูกทำลายก็เริ่มเคลื่อนไหว!
ก่อนหน้านี้ร่างศักดิ์สิทธิ์ของอี้เหวินเทาทำลายค่ายกลที่อยู่ในจุดศูนย์กลางไป แต่หลังจากนั้นเขาก็ละความสนใจก่อนจะมาโจมตีฉู่หลิวเยว่
ในขณะเดียวกันนั้นร่างศักดิ์สิทธิ์ของอี้เหวินเทายืนอยู่ด้านข้างค่ายกลเหล่านั้น ส่วนร่างที่แท้จริงก็ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง!
ตอนนี้ค่ายกลเหล่านั้นได้โคจรอย่างรวดเร็ว พวกมันได้เชื่อมโยงกันอีกครั้ง เสริมในตำแหน่งที่ขาดหายจนกลายเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ที่สมบูรณ์ พร้อมพุ่งตรงมายังร่างที่แท้จริงของอี้เหวินเทา!
เดิมทีอี้เหวินเทายืนอยู่ด้านหลัง เขาจะรอจนกว่าฉู่หลิวเยว่จะถูกจัดการ ในตอนนั้นเขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ เมื่อหันกลับไปมองเขาก็พบว่าตนเองนั้นถูกค่ายกลเหล่านั้นเข้าล้อมอีกครั้งหนึ่งแล้ว!
แม้ว่าค่ายกลเหล่านั้นจะลดจำนวนลงไป แต่พลังของมันไม่ได้ลดลงไปเลย แต่ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าตกใจ หัวใจของอี้เหวินเทาก็เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างใด?”
พลังปราณดั้งเดิมของฉู่หลิวเยว่ควรจะหมดได้แล้วไม่ใช่หรือ!
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตาหันมามอง ริมฝีปากแดงยกโค้งขึ้นอย่างเย็นชา
“ข้าลืมพูดไปเลยว่า”
“แม้ข้าจะเป็นเพียงระดับเทพขั้นสูง แต่พลังปราณดั้งเดิมภายในร่างกายของข้านั้น…มีมากกว่าระดับของข้าเสียอีก!”
………………..