ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1970 ชีวิตของเขา ให้ข้าจัดการเอง
ตอนที่ 1970 ชีวิตของเขา ให้ข้าจัดการเอง
………………..
เมื่อทั้งสองประมือกัน คาดไม่ถึงว่าร่างศักดิ์สิทธิ์ของฉู่หลิวเยว่จะสามารถถีบร่างศักดิ์สิทธิ์แปดทิศของอี้เหวินเทาจนกระเด็น?
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้าของคนตระกูลหนานและตระกูลอี้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนน่ารับชม
ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ไม่ว่าอย่างใดพวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อเลยว่าร่างศักดิ์สิทธิ์ของระดับเทพขั้นสูงคนหนึ่งจะสามารถเอาชนะร่างศักดิ์สิทธิ์ของระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้!
เรื่องแบบนี้ หากพูดออกไปแล้วคนอื่นก็จะมองว่าเป็นเรื่องตลก!
อีกด้านหนึ่ง ซั่งกวนจิ้งและคนอื่นๆ ก็รู้สึกตกใจมากเช่นกัน
แม้ว่าหรงซิวจะอธิบายแล้วว่าร่างศักดิ์สิทธิ์ของฉู่หลิวเยว่หลอมมาจากทัณฑ์ทลายเทพ ความจริงแล้วพวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นกับตาของตนเอง
ไม่อย่างนั้นตอนที่ฉู่หลิวเยว่อัญเชิญร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมาก็จะต้องมีคนรู้จักบ้างแล้ว
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์น้อยคนนักที่จะสามารถอัญเชิญทัณฑ์ทลายเทพออกมาได้ อีกทั้งคนที่สามารถทะลวงด่านได้สำเร็จก็นับว่าหายากยิ่งกว่า
เดิมทีแล้วพวกเขาไม่เคยคิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก
หากหรงซิวไม่ได้พูดขึ้นมา ตอนนี้เกรงว่าพวกเขาก็คงมึนงงอยู่เหมือนกัน
อีกทั้งความแข็งแกร่งของร่างศักดิ์สิทธิ์ที่ฉู่หลิวเยว่แสดงออกมานั้น มันก็น่าตกใจมากจริงๆ
นี่มันไม่สามารถใช้คำว่า “สุดยอด” มาอธิบายได้แล้ว
เห็นได้ชัดว่านี่มันเกินกว่าหรือลิขิตสวรรค์ไปแล้ว!
“โอ้ พี่ซั่งกวน ทายาทของพี่คนนี้ ช่าง…”
จ้าวซงลังเลอยู่สักพัก แต่เขาไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมาแทนความรู้สึกในตอนนี้ดี
สุดท้ายเขาก็หัวเราะพร้อมส่ายหน้าออกมาอย่างจนปัญญา ในแววตามีทั้งความชื่นชมและอิจฉาอย่างปิดไม่มิด
“ท่านนี่โชคดีจริงๆ !”
ทุกตระกูลล้วนยอมจ่ายทั้งเงินและทรัพยากรจำนวนมากเพื่ออบรมเด็กรุ่นใหม่
นั่นเพื่ออันใดน่ะหรือ?
ก็เป็นเพราะว่าให้เด็กรุ่นใหม่ได้สืบทอดความรุ่งเรืองต่อไปจากรุ่นสู่รุ่นอย่างใดเล่า?
มีเพียงแค่ทายาทที่โดดเด่นมากเพียงพอจึงทำให้เขารู้สึกมีเกียรติมีศักดิ์ศรี และตระกูลก็สามารถเติบโตต่อไปได้
แต่ฉู่หลิวเยว่เพียงคนเดียวก็ไม่รู้ว่าผ่านอันใดมามากแค่ไหนแล้ว!
นางมาจากนอกพรมแดนอาณาจักรเสิ่นซวี่ เมื่อเปรียบเทียบกับคุณหนูคุณชายของตระกูลทั่วไป จุดเริ่มต้นของนางนั้นต่ำกว่าคนอื่นมาก
ด้วยพรสวรรค์ที่เหนือมนุษย์ และโชคชะตาฟ้าลิขิต!
คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้มีใครบ้างที่ไม่ได้เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น?
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับฉู่หลิวเยว่แล้ว พวกเขาก็ยังรู้สึกด้อยกว่ามาก!
แม้กระทั่งจ้าวซงก็ยังต้องถอนหายใจออกมา
ซั่งกวนจิ้งไม่ได้พูดอันใด เขาจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง ภายในแววตามีแสงเปล่งประกาย
แน่นอนว่าทายาทของเขาจะต้องโดดเด่นมากที่สุดอยู่แล้ว!
จ้าวซงหันมองทางหรงซิวแล้วยิ้มออกมาอย่างทอดถอนใจว่า
“…ฝ่าบาทสายตาเฉียบแหลมจริงๆ”
มุมปากของหรงซิวยกโค้งขึ้นเล็กน้อย และเขาก็ตอบรับคำชมนั้นด้วยความยินดี
เขาก็เป็นเช่นนี้เสมอ
…
ฉู่หลิวเยว่ฉวยโอกาสโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ครั้งนี้นางไม่ได้ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว แต่พุ่งตรงเข้าไปต่อสู้ด้วยหมัด!
หมัดปะทะเนื้อ!
ความแข็งแกร่งของร่างศักดิ์สิทธิ์แปดทิศยังน้อยกว่านางหนึ่งขั้น กอปรกับก่อนหน้านี้มันได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งอี้เหวินเทายังไม่สามารถสนับสนุนพลังให้แก่มันได้ หลังจากนั้นไม่นานมันก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทำได้เพียงต้องยอมโดนทำร้าย
ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกหนังศีรษะชาหนึบ
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่แสดงอารมณ์อันใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ดวงตาที่พร่างพราวราวดวงดาวก็แปรเปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยม!
นางเงียบไม่พูดไม่จา เอาแต่ลงมือเพียงอย่างเดียว!
…
อีกด้านหนึ่ง ถวนจื่อก็พุ่งตัวข้ามผ่านค่ายกลเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนมาหยุดยืนที่ข้างกายของจื่อเฉิน
ดวงตาของนางมีประกายไฟลุกโชน จากนั้นนางก็มองไปยังอี้เหวินเทาแล้วเลียปาก พร้อมหักนิ้วทั้งสองข้างเสียงดังกร๊อบๆ
เดิมทีจื่อเฉินอยากจะมองต่อ แต่หลังจากได้ยินเสียงของนางแล้ว เขาก็ถอนสายตานั้น
เมื่อเห็นสีหน้าที่มีท่าทางกระตือรือร้นของถวนจื่อ จื่อเฉินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ไหวแล้วหรือ?”
ท้ายที่สุดแล้วเมื่อครู่นี้นางก็ได้รับบาดเจ็บ
เดิมทีจื่อเฉินมีเจตนาที่ดี แต่หลังจากถวนจื่อได้ยินคำพูดนั้น นางก็เข้าใจผิดไป
นางถูจมูกของตนเอง
“หึ เจ้ากำลังดูถูกใครอยู่? ข้าจะหักแขนอีกข้างของเขาให้เจ้าดู!”
อี้เหวินเทาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธจนแทบจะหายใจไม่ออก
คำพูดเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกอัปยศอดสูอย่างมาก!
เขาเป็นประมุขตระกูลอี้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่รู้ว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือในการพนันของพวกเขาไปตั้งแต่เมื่อไร?
หรือว่าอีกฝ่ายพนันด้วยแขนของเขา!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อี้เหวินเทาก็มองไปยังบาดแผลของตนเองที่เลือดกำลังไหล เขารู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
แต่ในตอนนั้นเองถวนจื่อก็เคลื่อนไหวแล้ว!
นางยกมือขึ้น เปลวเพลิงสีทองคำชาดกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏที่กลางฝ่ามือของนาง!
พลังของหงส์ทองคำที่เปิดเส้นชีพจรที่ห้าจะเพิ่มสูงขึ้นขนาดนี้เชียวหรือ?
ความจริงแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เคยคบค้าสมาคมกับเผ่าหงส์ทองคำมาก่อน และเขาก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับภูมิหลังของอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่เคยต่อสู้กับหงส์ทองคำที่เปิดเส้นชีพจรที่ห้าได้มาก่อน
…โดยปกติแล้ว หากอยู่ในระดับนี้ก็สามารถดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของเผ่าได้แล้ว
อี้เหวินเทาไม่มีทางไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนล่วงเกินผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ทองคำแน่นอน
ดังนั้นการเคลื่อนไหวของถวนจื่อจึงเกินกว่าที่อี้เหวินเทาจินตนาการเอาไว้
เปลวเพลิงลุกโชนอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิรอบข้างเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นความร้อนระอุ!
คราบเลือดเหนียวที่อยู่บนร่างกายของอี้เหวินเทาก็แห้งกรังลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงร่องรอยคราบเลือดสีแดงเข้ม
พรึ่บ!
แส้เพลิงแหวกอากาศ!
เดิมทีอี้เหวินเทาอยากจะรับการโจมตีนี้ แต่เพราะการโจมตีก่อนหน้านี้ของจื่อเฉินทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัส ในตอนนี้เขาจึงเลือกที่จะถอยร่นลงไปเท่านั้น!
เขาเร็วแล้ว แต่แส้เพลิงของถวนจื่อเร็วกว่า
ประกายเพลิงที่อยู่ตรงหน้าทำให้อี้เหวินเทารู้สึกไม่สบายใจ
จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความแสบร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากแขนอีกข้างของเขา!
แส้เพลิงนั้นกำลังพันรอบแขนของเขาอย่างหนาแน่น
ถวนจื่อกระชากแส้นั้นอย่างแรงโดยไม่ลังเล!
เสียงเลือดและกระดูกฉีกขาดดังลั่น!
อี้เหวินเทาเยว่ยังไม่ทันได้ปัดป้อง แต่แขนของเขาก็ถูกฉีกขาดออกจากลำตัวแล้ว!
ตอนนี้ไหล่ของเขาเหลือเพียงบาดแผลที่มีเลือดซึมออกมาสองจุดเท่านั้น ซึ่งมันน่าตกใจอย่างมาก!
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแผ่กระจายออกมา จนเกือบจะทำให้ผู้คนอาเจียน!
ถวนจื่อโบกมืออย่างรังเกียจ ก่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“เป็นอย่างใดเล่า?”
จื่อเฉินหันมอง ทันใดนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ถวนจื่อชะงักไป
ยิ้มอันใด?
ในตอนนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ได้หยุดมือแล้ว
ร่างศักดิ์สิทธิ์แปดทิศถูกนางทุบตีจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ ไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีกแล้ว
นางหันกลับมาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ดีมาก!”
“ชีวิตของเขา ให้ข้าจัดการเอง!”