ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1974 ชื่อเสียง
………………..
ฉู่หลิวเยว่พูดประโยคนั้นด้วยความจริงใจ
หากไม่ใช่เพราะอี้เหวินเทา นางไม่มีโอกาสได้รับของวิเศษมากมายขนาดนี้แน่นอน
ซึ่งนี่เป็นการค้าขายที่ไม่ได้ขาดทุนแม้แต่น้อย
แม้จะยุ่งยากเล็กน้อย แต่ว่า…
สำหรับนางและท่าเรือดอกท้อแล้ว ตอนจบสุดท้ายมันยอดเยี่ยมอย่างมาก
อี้เหวินเทาจ้องฉู่หลิวเยว่ตาเขม็งด้วยความดุร้าย เหมือนต้องการกลืนกินนางทั้งตัว!
เมื่อได้ยินกับหู ได้เห็นกับตา ว่าตนเองต้องสูญเสียของวิเศษไปมากมายขนาดนั้น เขาก็รู้สึกอัปยศอดสูยิ่งกว่าเสียหน้าเสียอีก!
แล้วเขาจะสามารถทนกับเรื่องนี้ได้อย่างใด?
ฉู่หลิวเยว่เดินถอยหลังออกมาแล้ว
“วางอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ แล้ว…เอาคนกลับไปได้เลย”
คำพูดนี้นางพูดกับคนตระกูลอี้
จวินจิ่วชิงพูดขึ้นว่า
“ความจริงแล้วอาวุธศักดิ์สิทธิ์สามสิบชิ้นก็ไม่ได้มากมายนัก แต่พวกเราไม่สามารถรวบรวมได้ในขณะนี้ หลังจากกลับไปแล้ว พวกเราจะรวบรวมมามอบให้เร็วที่สุด”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย แล้วยิ้มออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…สามวันหลังจากนี้ พวกเราค่อยนำของมาแลกคน”
จวินจิ่วชิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แต่เขาก็เข้าใจฉู่หลิวเยว่
ในเมื่อนางพูดเช่นนี้แล้ว ต่อให้คนอื่นจะพูดอย่างใดก็ไม่มีประโยชน์
เขาเหลือบสายตาไปมองอี้เหวินเทาอีกครั้ง
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอย่างใด พวกเขาก็ทำได้เพียงเห็นด้วย
จวินจิ่วชิงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่ดิ้นรนขัดขืนโดยไม่จำเป็น แต่กลับตอบตกลงในทันที
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“คำไหนคำนั้น!”
เมื่อพูดจบ นางก็หันไปมองทางเฉินอี
“เฉินอี พาประมุขอี้กลับไป แล้วรับรองอย่างดี ประลองมาทั้งวันแล้ว ประมุขอี้คงจะเหนื่อยมาก”
ฝีเท้าของเฉินอีเหมือนเบา แต่ความจริงแล้วกลับมีความเร็วสูง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มายืนหยุดที่ข้างกายของฉู่หลิวเยว่แล้ว พร้อมตอบรับด้วยความเคารพหนึ่งเสียง
“ขอรับ”
จากนั้นเขาก็เดินขึ้นมาด้านหน้าด้วยตนเอง
เมื่อเห็นรองเท้าของเฉินอี และชายเสื้อที่สะบัดพริ้วเล็กน้อย หัวใจของอี้เหวินเทาก็สั่นระรัว เลือดลมพลุ่งพล่าน ในที่สุดเขาก็สลบไปทันที
เฉินอีมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ก่อนพาอี้เหวินเทากลับเข้าไปในม่านพลัง
แน่นอนว่าคนตระกูลอี้ที่อยู่ด้านข้างล้วนรู้สึกโมโหและไม่ยินยอม แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก ดังนั้นจึงต้องกลืนคลื่นอารมณ์ทั้งหมดลงท้องไป
จวินจิ่วชิงมองฉู่หลิวเยว่ด้วยแววตาลึกล้ำ ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าเขาจากไปแล้ว คนตระกูลอี้ที่เหลือก็ติดตามออกไปด้วย
…หากไม่ไป แล้วจะอยู่ที่นี่ให้คนอื่นดูหมิ่นอย่างนั้นหรือ?
อี้เหวินจั๋วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเรื่องทุกอย่างจะกลายเป็นเช่นนี้แล้ว
หนานซู่ไหวเหลือบสายตามองเขาเล็กน้อย แล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“ไม่ต้องมองแล้ว อี้เหวินจั๋ว ต่อให้มองต่อไปก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงหรอก”
เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากของอี้เหวินจั๋วปูดโปน และกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป!
ฝีเท้าของอี้เหวินจั๋วหยุดชะงักค้างไปในทันที
“การที่เจ้าทรยศสำนักหลิงเซียว เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเจ้า!”
หนานซู่ไหวพูดออกมาอย่างเชื่องช้า แต่คำพูดเหล่านั้นกระทบเข้าโสตประสาทของอี้เหวินจั๋วอย่างชัดเจน!
หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เหมือนกับมีอันใดมาบีบรัด!
อี้เหวินจั๋วหลับตาลง ก่อนจะเดินจากไป!
…
คนตระกูลอี้กลับไปทั้งหมดแล้ว
ความเร็วของพวกเขาสูงมาก ไม่รู้ว่าพวกเขาอยากจะรีบกลับไปรวบรวมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบชิ้นโดยเร็ว เพื่อจะได้กลับมาช่วยอี้เหวินเทาให้เร็วขึ้น หรืออยากจะรีบออกจากสถานการณ์ที่น่าอับอายนี้ให้เร็วที่สุด
ส่วนคนตระกูลหนานที่เหลืออยู่นั้นก็รู้สึกอึดอัดมาก
เดิมทีเขาอยากจะเดินทางมาแก้แค้น แต่ในตอนนี้ไม่เพียงแค่แก้แค้นไม่สำเร็จ แต่ประมุขหนานอีฝานก็ยังถูกดึงเข้าไปด้านในแล้ว
เมื่อดูจากท่าทางของฉู่หลิวเยว่แล้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่มีทางปล่อยคนนั้นออกมาแน่นอน
ในตอนแรกคนตระกูลหนานจำนวนมากหวังว่าเมื่อร่วมมือกับตระกูลอี้จะทำให้สามารถพลิกสถานการณ์ได้
แต่ตระกูลอี้กลับขาดทุนครั้งยิ่งใหญ่
ตระกูลอี้ยังดูแลตัวเองไม่ได้เลย พวกเขาจึงไม่มีทางมาสนใจตระกูลหนาน
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป…เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากขนาดนั้น แล้วพวกเขาจะสามารถต่อกรได้อย่างใด?
เรื่องนี้จึงส่งผลให้ตระกูลหนานอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลังจากคนของตระกูลอี้จากไปแล้ว ความสนใจทั้งหมดของฉู่หลิวเยว่ก็กลับมาอยู่ที่คนตระกูลหนานอีกครั้ง
แต่วิธีปฏิบัติของนางนั้นแตกต่างไปจากคนตระกูลอี้อย่างสิ้นเชิง
นางกวาดสายตามองคนเหล่านั้นอย่างเชื่องช้า แล้วพูดอย่างอ้อยอิ่งว่า
นางชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าจะอยู่ก็อยู่ ถ้าจะไปก็ไป หากตัดสินใจแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สุดท้ายแล้วพวกเจ้าจะเลือกอย่างใดก็ขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของพวกเจ้า”
เมื่อพูดจบนางก็เริ่มนับถอยหลัง
“หนึ่ง”
คนตระกูลหนานต่างมองหน้ากัน
พวกเขาเข้าใจในความหมายของฉู่หลิวเยว่เป็นอย่างดี ตอนนี้ความเป็นความตายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาแล้ว
แต่การตัดสินใจครั้งนี้นั้นยากมาก…
“สอง”
คนตระกูลหนานบางคนเริ่มเดินถอยหลังอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
ดูแล้วเหมือนว่าหนานอีฝานจะไม่มีชีวิตรอด อีกทั้งยังเป็นไปได้อย่างมากว่า ฉู่หลิวเยว่จะสามารถทำตามที่พูดได้จริงๆ!
แล้วเหตุใดพวกเขาจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยล่ะ?
หากมีคนหนึ่งเลือกถอยก็จะเป็นการชี้นำให้ผู้อื่นตัดสินใจในแบบเดียวกันทันที
หลังจากนั้นไม่นานคนตระกูลหนานจำนวนมากก็เลือกที่จะจากไป!
เหลือเพียงแค่หนานเหอเถียนคนเดียวที่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างโดดเดี่ยว
เมื่อเขาตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ หนานเหอเถียนก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
“พวกเจ้า…”
“ตระกูลหนานมีอายุมาเป็นพันปี ไม่สามารถจบลงณ.ที่แห่งนี้ได้”
หนานเหอเถียนยังพูดไม่ทันจบก็มีคนหนึ่งโต้เถียงออกมาทันที!
หนานเหอเถียนหน้าซีดเผือด เมื่อรู้ว่าพวกเขายินยอมที่จะละทิ้งหนานอีฝานโดยสิ้นเชิง หลังจากกลับไปแล้วพวกเขาก็จะเลือกประมุขตระกูลคนใหม่!
“สาม!”
สิ้นเสียงสุดท้ายของฉู่หลิวเยว่
นางหันไปมองทางหนานเหอเถียน แล้วเอียงคอเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสหนานเหอเถียนท่านนี่จงรักภักดีจริงๆ ทำให้ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมาก ถ้าเช่นนั้น…ก็เชิญ?”
…
การต่อสู้ของท่าเรือดอกท้อนั้นยิ่งใหญ่มาก
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็กระจายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่อย่างรวดเร็ว!
ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ในระดับเทพขั้นสูงกลับสามารถเอาชนะอี้เหวินเทาที่อยู่ในระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้!
การต่อสู้ที่น่าตกใจทำให้ชื่อเสียงของฉู่หลิวเยว่โด่งดังมากยิ่งขึ้นไปอีก!
จวนเยว่แห่งท่าเรือดอกท้อกลายเป็นสำนักที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุดในอาณาจักรเสิ่นซวี่!