ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1976 ขึ้นแทน
ตอนที่ 1976 ขึ้นแทน
………………..
ระยะห่างระหว่างทั้งสองอย่างนั้นต่างกันมาก
แววตาที่ลึกล้ำของฉู่หลิวเยว่มีประกายความประหลาดใจปรากฏขึ้น
“อยู่ที่จวนเยว่? คือว่า…ผู้อาวุโสจ้าวซงหมายถึง?”
ซั่งกวนจิ้งพยักหน้า เขารู้ว่าฉู่หลิวเยว่ฉลาดมาก ดังนั้นจึงพูดออกมาตามตรง
“เดิมทีพวกเขาอยากจะให้จ้าวซงเป็นตัวแทนมาพูดกับเจ้าเอง แต่เขารู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไป ดังนั้นจึงเรียกให้ข้ามาส่งสารแทน”
ท้ายที่สุดแล้วคำขอเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นว่านางกำลังจมอยู่ในความคิด ซั่งกวนจิ้งก็รีบพูดขึ้นมาว่า
“เรื่องนี้ต้องพิจารณาแค่ฝั่งของเจ้าเพียงฝ่ายเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องคำนึงถึงพวกเขา หากเจ้าไม่สะดวก ถ้าเช่นนั้นก็แค่ปฏิเสธพวกเขาไป…”
“ไท่จู่ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วพูดโน้มน้าวเขาว่า
“ข้าไม่ได้ไม่สะดวก แต่แค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นการบอกว่าจะอยู่ที่จวนเยว่ มันหมายถึง…”
หมายความว่าคนเหล่านี้จะติดตามนางไปในอนาคต!
คนเหล่านั้นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!
“ผู้อาวุโสจ้าวซงและคนอื่นๆ เป็นผู้อาวุโสระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในระดับสูงสุด ที่พวกเขามีความคิดเช่นนี้ ยังไม่สายที่ข้าจะรู้สึกดีใจ แต่เพราะดังนั้น ข้าจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบยิ่งขึ้น…”
ซั่งกวนจิ้งหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอดไม่ได้
“นางหนู หากเป็นคนอื่นพูดก็ช่างเถอะ แต่เจ้าเป็นคนพูด มันไม่ค่อยเหมาะสมเลย! เจ้าอย่าลืมสิ แม้กระทั่งอี้เหวินเทาก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเจ้า แล้วตอนนี้เขาก็ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินจวนเยว่!”
“สาเหตุหลักก็เป็นเพราะการช่วยเหลือของถวนจื่อและจื่อเฉิน ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ ข้าไม่มีทางเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน”
ซั่งกวนจิ้งมองหน้านาง แววตากระจ่างชัด
เห็นได้ชัดว่านางคิดเช่นนั้นจริงๆ
ซั่งกวนจิ้งรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีขึ้นมา
นางหนูเยว่เออร์เป็นคนดีจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงที่นางเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูง ต่อให้นางเป็นระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ความสามารถในการเอาชนะอี้เหวินเทานั้นก็เป็นเรื่องที่ควรจะโอ้อวด
แต่หลังจากที่เด็กคนนี้ชนะแล้ว ภายในใจของนางกลับไม่มีความกระตือรือร้น ภาคภูมิใจ ซึ่งนับเป็นเรื่องหาได้ยากมาก
เรื่องนี้จึงทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น
…อนาคตของนังหนูคนนี้จะต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน!
“แต่พวกมันเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของเจ้า ไม่ใช่ของคนอื่น ดังนั้นการประลองครั้งนี้ นับว่าเป็นชัยชนะของเจ้า”
ซั่งกวนจิ้งลูบเคราตัวเอง
“ความจริงแล้วจ้าวซงกับคนอื่นๆ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่พึ่งพาตนเอง มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่อยู่ในตระกูลสูงส่ง แต่ว่าเมื่ออยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ฐานะที่ต่ำต้อยเช่นนี้ก็แทบจะไม่มีความสำคัญอันใดเลย”
ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถเชิญคนเหล่านี้มาช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ที่ฉู่หลิวเยว่ส่งข่าวให้เขา นางบอกว่าตนเองและหรงซิวอยู่ท่าเรือดอกท้อ ซ้ำยังพบกับเรื่องยุ่งยากบางอย่าง หวังว่าเขาจะสามารถเชิญคนมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้
ในฐานะที่เขาเคยเป็นช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ดังนั้นเส้นสายของเขาจึงแข็งแกร่งมาก เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นเรื่องยาก
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…
“เรื่องยุ่งยากบางอย่าง” ที่ฉู่หลิวเยว่พูดถึงนั้นกลับเป็นการล้อมโจมตีจากตระกูลอี้และตระกูลหนาน!
ดังนั้น ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ซั่งกวนจิ้งจึงวิ่งเต้นอยู่ไม่น้อย
แต่เพราะเขามีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวซง อีกทั้งอีกฝ่ายไม่ได้มีภาระผูกพัน ดังนั้นจึงเลือกติดตามเขามาด้วย
พวกเขารู้ดีว่า ไม่ว่าจะต่อสู้หรือไม่ก็ตาม ขอเพียงแค่พวกเขาออกหน้า นั่นก็หมายถึงพวกเขาเป็นปรปักษ์กับตระกูลอี้และตระกูลหนานแล้ว
คนทั่วไปคงไม่กล้าล่วงเกินคนแบบนั้น
…ท้ายที่สุดแล้วก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องมันจะดำเนินมาในทิศทางนี้ไม่ใช่หรือ?
“สรุปแล้วว่า คนเหล่านี้จะไม่มีทางขัดแย้งผลประโยชน์กับเจ้า และสามารถเชื่อใจได้ แล้วอีกอย่าง หากให้พวกเขาอยู่ที่จวนเยว่ สำหรับเจ้าแล้ว มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่เพิ่งจะปกครองท่าเรือดอกท้อ จวนเยว่ก็เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในช่วงเริ่มต้นแม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะเอาชนะอี้เหวินเทาได้ แต่หากมีคนอยากจะแย่งชิงท่าเรือดอกท้อของนางอีก อาศัยเพียงแค่นางคนเดียว เห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอ
ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดก็ตามล้วนมีกองกำลังที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุน
เมื่อจ้าวซงและคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้น นี่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อให้กวาดสายตามองทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ มีตระกูลไหนบ้าง สำนักไหนบ้าง ที่มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นจำนวนมากขนาดนี้ภายในคืนเดียว?
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดสักครู่แล้วพยักหน้า
“เช่นนั้น…ท่านช่วยขอบคุณผู้อาวุโสจ้าวซงและคนอื่นๆ แทนข้าที พรุ่งนี้ข้าค่อยไปคารวะพวกเขาอีกครั้ง”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้นางจะต้องเป็นคนออกหน้าเองอยู่แล้ว
ซั่งกวนจิ้งรู้ว่านางทำอันใดละเอียดรอบคอบมาโดยตลอด เขาจึงวางใจแล้วหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
“ได้!”
…
การต่อสู้ มีฝ่ายแพ้ ฝ่ายชนะ
เมื่อเปรียบเทียบกับคนของท่าเรือดอกท้อที่กำลังเฉลิมฉลองยินดี ตระกูลอี้และตระกูลหนานที่อยู่ห่างออกไปกลับไม่มีใครนอนหลับได้เลย
ทางด้านตระกูลหนาน เพราะว่าหนานอีฝานได้กลายเป็นเชลย อีกทั้งลูกสาวและลูกชายของเขาก็ได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว พวกเขาหมดหวังกับเชื้อสายนี้ไปโดยสมบูรณ์
แต่คนที่เหลืออยู่กับละโมบในตำแหน่งของประมุขตระกูล
ทุกคนพร้อมเคลื่อนไหวทั้งในที่ลับและที่แจ้ง คลื่นใต้น้ำก็พวยพุ่งแล้ว
ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของหนานอีฝานอีกแล้ว
ทั้งตระกูลหนานกำลังตกอยู่ในสภาวะสงครามภายใน
ส่วนทางด้านตระกูลอี้ สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาก่อนฟ้าสาง เป็นเวลาที่ท้องฟ้ามืดสนิทที่สุด
ภายในห้องโถง จวินจิ่วชิงนั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุด ส่วนคนที่เหลือนั่งอยู่ทั้งสองข้างของห้อง
บรรยากาศเย็นยะเยือก อากาศของทุกตารางนิ้วแทบจะถูกแช่แข็ง แม้กระทั่งหายใจเข้า ก็เหมือนจะเป็นเรื่องผิด
มันเงียบเสียจนหากเข็มตกยังได้ยิน ทำให้จิตใจของผู้คนหนาวสั่นสะท้าน
จวินจิ่วชิงเงยหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตามองโดยรอบ
ทุกคนกลับมาที่ตระกูลอี้อย่างเรียบร้อย และรีบมาอยู่ในห้องโถงนี้ทันที
แต่หลังจากที่นั่งลงแล้วก็ยังไม่มีใครพูดอันใดสักคำ
ความจริงแล้วเรื่องนี้จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้
คนตระกูลอี้เคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างสูงส่ง พวกเขาจะเคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้อย่างใด?
พวกเขารู้สึกสับสนจริงๆ
แม้กระทั่งบางคนยังไม่ได้สติกลับมาหลังจากได้รับแรงโจมตีขนาดใหญ่นั้น
แต่คนจำนวนนั้น ไม่ได้รวมจวินจิ่วชิง
“ก๊อกๆ”
เสียงที่ดังขึ้นเรียกสติคนจำนวนไม่น้อย
ทุกคนหันหน้ากลับมามอง
จวินจิ่วชิงพูดขึ้นว่า
“สงครามท่าเรือดอกท้อ ตระกูลอี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ข้าเข้าใจว่าทุกคนรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง แต่ในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องจัดการปัญหาตรงหน้าให้เร็วที่สุดได้อย่างใด”
ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“เช่นนั้นนายน้อยคิดว่า…พวกเราควรทำอย่างใดดี? หรือว่าควรจะมอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์สามสิบชิ้นให้แก่ซั่งกวนเยว่จริงๆ?”
มีคนถามขึ้นมา
เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างใดพวกเขาก็ปวดใจ!
จวินจิ่วชิงเงยหน้าขึ้นมามองชายคนนั้นด้วยแววตาราบเรียบ
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะปล่อยให้ประมุขถูกนางกักขังต่อไปเรื่อยๆ เช่นนั้นหรือ ความอัปยศอดสูเช่นนั้น จะทำให้ตระกูลอี้ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ตลอดกาล?”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งอย่างมาก แต่กลับแฝงด้วยความเย็นชา
คนผู้นั้นมีใบหน้าขาวสลับเขียว ก่อนเงียบเสียงไป
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ความจริงแล้วตอนนั้น พวกเขาล้วนรู้ดีว่า เชือกอยู่บนธนูแล้วไม่ว่าอย่างใดก็ต้องยิง[1]
จวินจิ่วชิงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าคือประมุขตระกูลอี้”
[1] เชือกอยู่บนธนูแล้วไม่ว่าอย่างใดก็ต้องยิง อุปมาว่า เรื่องถึงขั้นที่จะทำหรือคำพูดถึงขั้นที่จะต้องพูดโดยไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้