ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1982 เหตุบังเอิญ
ตอนที่ 1982 เหตุบังเอิญ
………………..
เฉินอีก้มศรีษะลงเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้น
“นายท่าน สถานการณ์ทางประตูสวรรค์ค่อนข้างผิดปกติ เกรงว่าต้องเชิญท่านไปดูด้วยตนเองสักครั้ง”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักชั่วขณะ
สถานการณ์ผิดปกติอย่างนั้นหรือ
ก็แค่ประตูสวรรค์ไม่ใช่หรือ จะมีผิดอันใดปกติได้อย่างใด
แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเฉินอี ฉู่หลิวเยว่จึงพยักหน้าตอบรับ
“ได้”
เหตุผลที่เฉินอีต้องไป เป็นเพราะเฉินอีมีความเชี่ยวชาญกลไลค่ายกลต่างๆ
เดิมที่ฉู่หลิวเยว่คิดจะให้เฉินอีลงมือสร้างการป้องกันขั้นที่สอง นอกจากการป้องกันปกติ
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะผ่านไปแค่ช่วงเช้า กลับมาบอกว่ามีสถานการณ์ผิดปกติเล็กน้อย…
นิสัยของเฉินอี ฉู่หลิวเยว่รู้ดีที่สุด
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ต้องเจอกับปัญหายุ่งยากบางอย่างเป็นแน่
“ข้าจะไปกับเจ้า”
…
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังออกจากจวน ก็ชนกับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
คนตรงหน้าสวมกระโปรงหลากสี รูปร่างเพรียวบางงดงาม เสียงหยกสีมรกตกระทบกันบนข้อมือผอมบางที่ผิวขาวละเอียด
น้องแปดนั่งเอง
“นายท่าน!”
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ แววตาน้องแปดเป็นประกายและรีบพุ่งเข้ามาทันที
เสียงของนางอ่อนหวานนุ่มนวล ดวงตาคู่งามกระพริบตาเบาๆ ราวกับหยดน้ำที่เคลื่อนไหวไปมา
หากไม่เห็นพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางคงมุ่งเขามาเข้าหาฉู่หลิวเยว่โดยตรง
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้น
เห็นได้ชัดว่าแค่ไม่ได้เจอกันสองสามวันเท่านั้น คนที่ไม่รู้ก็คิดว่าพวกนางได้แยกจากกันราวแปดร้อยปี
ยิ่งไปกว่านั้นเหตุที่ไม่ได้เจอกันเป็นเพราะช่วงนี้น้องแปดกำลังยุ่งอยู่กับการนอนหลับ อีกทั้งยังต้องรักษาตัว
ช่วงก่อนหน้านี้น้องแปดและสือฟังต่างอยู่ในทุกแห่งของท่าเรือดอกท้อ เพื่อจัดการสมุนไพรต่างๆ เหล่านั้นตลอดทั้งวันทั้งคืน
พวกเขาแทบไม่ได้นอนเลย ช่างลำบากยิ่งนัก
แม้ว่าเรื่องเหล่านี้นับว่าไม่เป็นความลำบากอันใดสำหรับผู้ฝึกตน แต่สำหรับน้องแปดแล้วนั้นกลับไม่เหมือนกัน
นางเป็นคนพิถีพิถันมาโดยตลอดจึงให้ความสำคัญกับรูปโฉมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อปรากฏรอยกดทับตอนนอนหลับขึ้นบนใบหน้า อกนางแทบจะระเบิด ยิ่งต้องทนแดดทนฝนตลอดหลายวันที่ผ่านมา และยังต้องอดนอนขนาดนั้น
ได้ยินว่าหลายวันมานี้นางยังทำของบำรุงไม่น้อยเพื่อใช้สำหรับทาหน้าและอาบน้ำ
“ในที่สุดวันนี้ก็ออกมาได้แล้วหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พูดหยอกล้อขึ้น
น้องแปดเม้มริมฝีปากแดง
“เป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยและทรมานเกินไป ข้าซีดเซียวไปหมดแล้ว…นายท่านดูเร็ว! หน้าตาของข้าเห็นแล้วเป็นอย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่มองใบหน้าเล็กๆ ของนางอย่างละเอียดและพยักหน้ายืนยันพลางเอ่ยขึ้น
“งดงามหาใครเทียบมิได้”
น้องแปดพอใจอย่างมาก
เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นนางดีใจขึ้นมา จึงมองไปทางชายหนุ่มที่มาด้วยกันกับนาง
“ท่านนี้คือ…”
เมื่อครู่นางสังเกตเห็นชายคนนี้อยู่ก่อนแล้ว
ใบหน้าธรรมดา รูปรางผอมบาง แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
น้องแปดยิ้มพลางขยิบตาและพูดขึ้น
“เขาน่ะหรือ นายท่านคงจำได้ใช่หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่จึงมองเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง
“… หลินจือเฟย?”
ทันใดนั้นชายหนุ่มผู้นั้นก็ยกมือถอดหน้ากากบางๆ ออกจากใบหน้าของเขา
ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
รูปคิ้วเรียบเฉยและเย็นชา นัยน์ตาสุกใส เปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับ
เป็นหลินจือเฟยจริงๆ!
“ถวายบังคม พระยาชา”
หลิงจือเฟยก้าวขึ้นมาและกล่าวถวายบังคม
“เป็นเจ้าอย่างแน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่อดไม่ได้จึงยิ้มขึ้น
ไม่แปลกเลยที่นางรู้สึกคุ้นเคย…
“เหตุใดเจ้าถึงมาด้วย”
“แน่นอนว่าข้าเป็นคนพาเข้ามา!”
ไม่ทันรอให้หลินจือได้อธิบาย น้องแปดชิงพูดขึ้นก่อนพลางยิ้มจนตาหยี
“เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากอยู่ในจวนมาหลายวันเลยตั้งใจออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ จึงได้ยินว่ามีคนเข้ามาจากทางนอกประตูเมืองพอดี ข้าเลยมาดูสักหน่อย ที่แท้เป็นคนคุ้นเคย ข้าจึงพาเขาเข้ามา!”
ต้องรู้ว่าในเวลาเช่นนี้ปกติไม่มีผู้ใดมาที่ท่าเรือดอกท้อ
ดังนั้นจู่ๆ มีคนมาเยือนเพียงคนเดียว จึงเป็นหน้าที่ปกติของคนที่เฝ้าประตูเมืองจะต้องแจ้งเตือน
หลินจือเฟยไม่ได้ปิดบังสถานะของตน แต่ทางประตูเมืองมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และมีการตรวจสอบอย่างรัดกุม
เมื่อน้องแปดผ่านมาพอดี จึงได้ช่วยหลินจือเฟยแก้ปัญหาและพาเขามาที่นี่โดยตรง
จะว่าไปแล้วหลินจือเฟยกับนางไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
แต่นางรู้ดีว่าหลินจือเฟยเป็นคนที่ช่วยฉู่หลิวเยว่ทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นแน่นอนว่านางจึงปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นคนของตัวเอง
ส่วนใบหน้านั้น…
น้องแปดอาศัยลมปราณบริสุทธิ์บนตัวเขาจึงระบุตัวตนของเขาได้
แม้ว่านางจะเก่งเรื่องจำคนได้มาโดยตลอด แต่เรื่องนี้ไม่นับ
หลินจือเฟยก้มศีรษะพลางเอ่ยขึ้น
“ได้ยินว่าพระนางได้รับชัยชนะที่ท่าเรือดอกท้อ จึงตั้งใจมาเป็นพิเศษ”
เรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้ว
แน่นอนว่าหลิงจือเฟยก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มลึกด้วยความดีใจ
“เดิมทีข้าบอกไปว่าจะรอให้เรื่องทางนี้เรียบร้อยเสียก่อนจึงค่อยให้พวกเจ้ามา แต่ไม่คิดว่าความเคลื่อนไหวของเจ้าจะเร็วเช่นนี้”
แท้จริงแล้วฉู่หลิวเยว่พิจารณาจากความคิดของตนเอง
สถานะของหลินจือเฟยค่อนข้างพิเศษ
ตระกูลหลินเป็นหนึ่งในยี่สิบแปดกองกำลังของพระราชวังเมฆาสวรรค์ ว่ากันด้วยเหตุผลนี้ หลินจือเฟยนับว่าเป็นคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์
แม้ว่าเขาได้ติดตามนางมาก่อนหน้านี้
แต่ในเวลานั้นฉู่หลิวเยว่ยังคงมีสถานะเป็นพระชายาของพระราชวังเมฆาสวรรค์
แต่บัดนี้กลับต่างออกไป
การที่เขามาท่าเรือดอกท้อ จึงแสดงให้เห็นว่าเขาได้สวามิภักดิ์ต่อฉู่หลิวเยว่อย่างที่สุด
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ท่าเรือดอกท้อกับพระราชวังเมฆาสวรรค์ ท้ายที่สุดแล้วต่างเป็นอิสระจากกัน
หลินจือเฟยทำเช่นนี้…เห็นได้ชัดว่าได้ตัดสินใจไว้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่หยุดไปชั่วครู่แล้วค่อยๆ กวักมือขึ้น
“เจ้ามาได้พอดีเลย ตามข้าไปด้วยกัน ไปดูประตูสวรรค์ทางด้านนั้นหน่อย”
อีกทั้งเขามีความสามารถที่สูงส่งอย่างมากในด้านนี้ ไม่แน่อาจได้ใช้ประโยชน์จริงๆ
หลินจือเฟยตอบกลับด้วยความเคารพ
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่น้องแปดอีกครั้ง
“น้องแปด เจ้าไปจะด้วยกันหรือไม้”
เดิมที่น้องแปดคิดอยากปฏิเสธ แต่เมื่อคิดดูแล้วหากกลับไปที่จวนก็ไม่มีอะไรให้ทำ
ไม่ง่ายเลยที่นางจะบำรุงผิวหน้าให้กลับมาดังเดิม อีกทั้งตั้งใจแต่งหน้าอย่างพิถีพิถันมาแล้วจะให้กลับไปเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เช่นนั้นก็เสียเปล่าสิ!
ด้วยเหตุนี้เมื่อลองคิดดูแล้วน้องแปดจึงตัดสินใจ…ไป!
นางยิ้มขึ้น รูปคิ้วสวยมีเสน่ห์ ด้วยการแสดงออกระหว่างคิ้วและดวงตา เผยให้เห็นความไร้เดียงสาอยู่บางส่วน
ความงามของทั้งสองสิ่งที่ต่างกันกลับเข้ากันได้อย่างพอดี ยิ่งทำให้ชวนหลงไหลเป็นพิเศษ
ช่างงดงามเป็นธรรมชาติเสียจริง
นางเดินไปด้านข้างหลินจือเฟยอย่างช้าๆ
“อย่างไรข้าก็เป็นคนพาคุณชายหลินเข้ามา แน่นอนว่าไปกับเขาย่อมดีที่สุดแล้ว”
บางครั้งเมื่อนางอารมณ์ดีก็ชอบล้อคนอื่นเล่นสนุกๆ เช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจนางที่สุดและไม่ได้สนใจอันใดจึงค่อยๆ พยักหน้า
“ได้ เช่นนั้นพวกเรา…เอ่อ? เยี่ยนชิง? เมื่อใดเจ้าจะกลับมา”
………………..