ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1985 ที่มา
หลินจือเฟยเม้มปากพลางเอ่ยขึ้นว่า
“รู้สึกได้”
แม้ตอนนี้เขาไม่สามารถเอาหลักฐานออกมาได้ แต่แค่รู้สึกได้เท่านั้น
พูดได้ยากนักแต่กลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ฉู่หลิวเยว่มองตามสายตาของเขาไป
ขณะนี้ระลอกคลื่นบนประตูแดนสวรรค์ได้สงบลงทั้งหมดแล้ว
เมื่อเขาเห็นฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอันใด หลินจือเฟยคิดว่านางไม่เชื่อจึงพูดต่อว่า
“ฉันเข้าและออกจากประตูแดนสวรรค์อยู่หลายครั้ง ดังนั้นนับว่าข้าเข้าใจมันเป็นอย่างดี ประตูแดนสวรรค์นี้จริงๆ แล้วไม่เหมือนกับประตูแดนสวรรค์ทั่วไป อีกทั้งความแตกต่างนี้เป็นไปได้อย่างมากว่าเกิดจากการสร้างค่ายกล…”
“เจ้าเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชาแล้วหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นในทันที
หลินจือเฟยชะงักครู่หนึ่ง ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขาเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ยืนยันการคาดเดาในใจในทันที
“สุดท้าย…เกิดขึ้นเมื่อใดกัน”
คนรอบข้างต่างหันมามอง
หลินจือเฟยเพิ่งจะอายุยี่สิบ ดูแล้วยังเด็กอยู่มาก
กอปรกับเขาที่ป่วยมานานหลายปี ร่างกายจึงอ่อนแอและรูปร่างผอมบาง ยิ่งทําให้เขาดูเหมือนบัณฑิตขี้โรค
บัดนี้คาดไม่ถึงที่ฉู่หลิวเยว่บอกว่าเขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาราชา!
จะไม่ทำให้ผู้คนประหลาดใจได้อย่างใด
แม้แต่เฉินอียังประหลาดใจเล็กน้อยพลางจ้องมองหลินจือเฟยอยู่ครู่หนึ่ง
ปรมาจารย์ขั้นพลังปราณยังไม่ถูกเปิดเผย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลินจือเฟยมีความสามารถมากในด้านนี้ แต่กลับคาดไม่ถึงคิดว่าในเวลาอันสั้นเช่นนี้เขาได้เลื่อนไปอีกขั้นแล้ว
“เมื่อสิบวันก่อน”
หลินจือเฟยตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
แท้จริงแล้วในเวลานั้นเขาได้ยินข่าวทางด้านท่าเรือดอกท้ออยู่บ้าง เดิมทีคิดอยากจะมาในทันที แต่จะทำอย่างใดได้เมื่อการเลื่อนขั้นกำลังอยู่ในช่วงสำคัญพอดี เวลาจึงล่าช้าไปช่วงหนึ่ง
แม้ว่ารู้ว่าพลังการต่อสู้ทางด้านนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา แต่ความรู้สึกนี้ยังคงอยู่
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกอย่างแผ่วเบาและมองในแววตาของหลินจือเฟยด้วยความชื่นชมอย่างเปิดเผย
นางรู้มานานแล้วว่าหลินจือเฟยมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมในด้านนี้ และไม่ได้ด้อยไปกว่านาง!
ที่หลินจือเฟยมองออกในจุดนี้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก เป็นเพราะแท้จริงแล้วเขาเข้าใจประตูแดนสวรรค์เป็นอย่างดี
แต่ในขณะเดียวกัน สายตาอันเฉียบแหลมน่ากลัวของเขา ก็ช่วยเอาไว้ได้มากทีเดียว
“เจ้าบอกว่าที่นี่มีค่ายกล เช่นนั้น…สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่าเป็นค่ายกลรูปแบบใด”
หลินจือเฟยส่ายหัว
“ในตอนนี้ยังไม่วิธีตรวจสอบได้”
เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของค่ายกล แต่เพียงแค่รับรู้ได้เท่านั้น จึงไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจนจริงๆ
เดิมทีสิ่งนี้อยู่ในการคาดการณ์ของฉู่หลิวเยว่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ผิดหวังอันใด เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“ไม่เป็นอันใด ในเมื่อตรวจเจอสัญญาณบางอย่างแล้ว ยังคงมีหวังอย่างแน่นอน”
นางมองไปที่หน้าประตูแดนสวรรค์อีกครั้งและหรี่ตาลงเล็กน้อย
ค่ายกล…
ยังดีที่ในประตูแดนสวรรค์โดยปกติแล้วจะไม่ปรากฏสิ่งนี้ออกมา
เช่นนั้น…จะเป็นฝีมือของผู้ใดกัน
…
ตระกูลอี้
ข่าวการกลับมาของอี้เหวินเทาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่มีผู้ใดได้พบเขาเลย
เพราะทันทีที่เขากลับมา อี้เหวินเทาก็ตรงกลับไปที่พักของเขา บอกแต่เพียงว่าต้องการพักฟื้นร่างกายให้เต็มที่สักระยะหนึ่ง
แต่ในเวลานี้ไม่ว่าใครก็คงไม่ได้พบเขา
ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย
ในวันนั้นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจนทุกคนในตระกูลอี้มองเห็นอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นหลังการต่อสู้ในครั้งนั้นเขาได้สูญเสียใบหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองทุกคนในตระกูลอี้ได้อีกแล้ว
คาดคิดได้ไม่ยากเลยว่าการเผชิญหน้ากับคนตระกูลอี้ในเวลานี้ล้วนเป็นการทำร้ายจิตใจต่อเขาอย่างมาก
แน่นอนว่าที่พักของอี้เหวินเทาได้เปลี่ยนที่ไปแล้ว
สุดท้ายแล้วเขาไม่ใช่ผู้นำตระกูลอีกต่อไป
จวินจิ่วชิงได้สั่งให้คนจัดการที่อยู่ในมุมที่ห่างไกลให้เขาโดยเฉพาะ
นี่คือความอัปยศและเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับอี้เหวินเทาก็เท่านั้น
เพราะเหตุนี้เขาจึงสามารถหลีกเลี่ยงการพบทุกคนในตระกูลอี้ได้จริงๆ และไม่จำเป็นต้องสนใจทุกสายตาเหล่านี้อีก
จวินจิ่วชิงเพียงเชิญผู้อาวุโสทั้งสองท่านนั้นกลับมาด้วยกันเพื่อรับหน้าที่คอยเฝ้าเขา
คนในตระกูลอี้ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึงว่าอี้เหวินเทาที่มีชีวิตชีวาเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อกลับมาตระกูลอี้อีกครั้ง สุดท้ายกลับมีสภาพเช่นนี้ได้
…
พลบค่ำมาถึง พระจันทร์ขึ้นสู้ท้องฟ้า
อี้เหวินเทานอนอยู่บนเตียงตามลำพัง
บนโต๊ะข้างๆ มีกล่องไม้หนึ่งกล่องวางอยู่
ยาสงบใจเม็ดหนึ่งถูกใส่ไว้ในกล่องนั้น
กลิ่นและรสของยานั่นได้แผ่กระจายออกมานอกกล่อง
จวินจิ่วชิงเก็บยาเม็ดนั้นไว้ให้เขาใช้รักษาอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะ
แต่หลังจากที่อี้เหวินเทากลับมา เขานอนตลอดทั้งวันจนมืดค่ำก็ไม่ได้กินยาเม็ดนั้น
เมื่อเขาลืมตาก็เอาแต่จ้องมองที่เพดานอยู่เช่นนั้น
เหมือนเขากำลังมองดูลวดลายอักขระด้านบนและเหมือนเขาจะอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ที่มองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปแต่กำลังมองสิ่งอื่นอยู่
“ท่านผู้นำ”
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นที่นอกประตู ตามมาด้วยเสียงทําความเคารพของผู้อาวุโส
อี้เหวินเทาไม่ขยับตัว
เสียงผู้นำตระกูลที่ตะโกนออกมานี้แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของเขา
“ข้าเขาไปดูหน่อย”
เสียงของจวินจิ่วชิงเยียบเย็นและไม่แยแส
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ ดังนั้นในเวลานี้จึงมีเพียงคนเดียวที่อยู่นอกประตู
คำพูดของเขาจริงจังอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้อาวุโสท่านนั้นจึงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ขอรับ”
ไม่นานจวินจิ่วชิงก็ผลักประตูเข้ามา
อี้เหวินเทาหลับตาลง
จวินจิ่วชิงเหลือบมองเขาครู่หนึ่งจึงหันไปลงกรประตู เขาวางค่ายกลเอาไว้หนึ่งชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปก่อนที่จะเริ่มพูด
“คิดได้แล้วหรือยัง”
อี้เหวินเทาไม่พูดอันใด เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
จวินจิ่วชิงก็ไม่รีบร้อนอันใด เขาจึงเดินไปข้างเตียงที่อยู่ห่างไม่ไกลมากนัก
เขาเอียงศีรษะและมองอี้เหวินเทาอย่างละเอียดด้วยความระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นริมฝีปากของเขาก็โค้งงอขึ้นโดยไม่ได้เผยรอยยิ้มอันใด
“ดูเหมือนท่านยังมั่นใจในตัวเองอยู่มากทีเดียวและคิดว่าตนเองจะสามารถต่อสู้ได้อีกครั้งหรือ นายท่านข้าเคารพท่านมาโดยตลอดกลับคิดไม่ถึงว่าจนบัดนี้แล้วท่านยังคงอ่อนหัดเช่นนี้”
เขาเคาะที่โต๊ะเบาๆ
“เจ้ารู้ที่มาของโล่นั่นใช่ไหม หรือข้าควรถามว่าเจ้าได้ติดต่อกับชายคนนั้นจากถ้ำปีศาจทมิฬตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อี้เหวินเทาลืมตาขึ้นในทันที!