ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1986 ทหารกล้าตาย
ในสายตาของอี้เหวินเทาเหมือนมีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้น!
เดิมทีเขาคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ปะทะเข้ากับสายตาจับจ้องของจวินจิ่วชิงที่เต็มไปด้วยคำวิจารณ์ราวกับมองออกทุกสิ่งอย่าง
สิ่งนี้ทำให้ในใจของอี้เหวินเทาค่อยๆ เย็นลง
“…ข้าดูแคลนเจ้าจริงๆ!”
อีกทั้งยังสามารถถามคำถามเช่นนี้ออกมาได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่บอกได้ว่าจวินจิ่วชิงรู้มากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก!
ก่อนหน้านี้เขาดูไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว!
หากเขารู้เร็วกว่านี้จะได้ระวังเขาไว้!
“นายท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าแค่คาดเดาไปเรื่อยก็เท่านั้น แท้จริงเรื่องเป็นมาอย่างใดคงต้องให้ท่านเป็นคนพูดเองถึงจะกระจ่างชัด”
จวินจิ่วชิงพูดพลางนั่งลงข้างๆ เขา
ดูจากท่าทางนั้นแล้ว หากในวันนี้อี้เหวินเทาไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เขา เขาก็คงไม่ยอมออกไปเป็นแน่
“นายท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อตระกูลอี้มาหลายปี สุดท้ายกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังรู้สึกเสียใจแทนท่าน”
คำพูดของจวินจิ่วชิงแค่คำเดียวเหมือนดั่งใบมีดคมทิ่มแทงทะลุตรงหัวใจของอี้เหวินเทา!
“ท่านต้องการอันใด เพียงแค่บอกข้ามา ท่านคิดว่าอย่างใด”
อี้เหวินเทายิ้มเยาะในใจ
พูดได้ดีนัก!
แต่จวินจิ่วชิงยังคงทำเพื่อตัวเขาเองเท่านั้น!
ในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด
เมื่ออี้เหวินเทาไม่พูดอันใดแม้แต่คำเดียว จวินจิ่วชิงจึงไม่พูดออกมาเช่นกัน
ทั้งสองเผชิญหน้ากันด้วยความเงียบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดอี้เหวินเทาก็หลับตาลง
“…บนมือของนาง คือโล่ผสานนภา”
จวินจิ่วชิงเงยหน้าขึ้นนัยน์ตาของเขาเหมือนมีแสงประกายระยิบระยับ
“โล่ผสานนภา?”
แม้ว่าเขาจะได้ยินเรื่องราวของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อในอาณาจักรเสิ่นซวี่มาบ้าง แต่ของสิ่งนี้กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่สามารถทำให้อี้เหวินเทายุ่งยากลำบากใจได้เช่นนี้ มันจะต้องเป็นของที่ล้ำค่าอย่างมากเป็นแน่
จากคำอธิบายของฉู่หลิวเยว่ หากมองเพียงภายนอกคงเห็นอี้เหวินเทาไปเพื่อท่าเรือดอกท้อ แต่อันที่จริงเขากลับพุ่งเป้าไปที่โล่ผสานนภานั่น
หาเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้น…
โล่ผสานนภานี้ แท้จริงแล้วยังมีอยู่ได้อย่างใดกันและยังสามารถดึงดูดอี้เหวินเทาได้มากกว่าท่าเรือดอกท้อที่กว้างใหญ่อย่างนั้นหรือ
“มิรู้ว่าโล่ผสานนภานั่นเป็นสมบัติล้ำค่าอันใด ถึงทำให้นายท่านโหยหาได้เช่นนี้?”
จวินจิ่วชิงถามขึ้น
จู่ๆ อี้เหวินเทาก็หัวเราะขึ้นมาและหันไปทางจวินจิ่วชิง
ดวงตาของเขาแดงก่ำและเปล่งประกายรัศมีแห่งความบ้าคลั่งในคืนอันมืดมิด ทำให้ผู้คนกลัวจนตัวสั่น
จากนั้นเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งก็ดังขึ้นอยู่ภายในห้องของเขา
“ที่เหลือข้าไม่แน่ใจ อย่างใดก็ตามเมื่อได้โล่ผสานนภามาแล้ว ยิ่งมีความหวังในการทะลวงไปสู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์!”
เสียงของเขาบางเบาราวกับจะสลายไปตามลมได้ทุกเวลา
แต่จวินจิ่วชิงยังคงได้ยินอย่างชัดเจน!
คิ้วของเขาขมวดกันอย่างยุ่งเหยิงในทันที
เหนือระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ยังมีระดับที่สูงกว่าอีก
ทว่าในอาณาจักรเสิ่นซวี่เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้วที่ไม่มีผู้ใดทําลายพันธนาการนี้ได้
ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่ติดอยู่ในอาณาจักรเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามฝึกฝนแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถทะลวงขั้นขึ้นไปอีกระดับได้
แต่บัดนี้อี้เหวินเทากลับบอกว่า…
หากมีโล่ผสานนภานั่นจะสามารถทะลวงขั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ
ไม่แปลกใจเลยที่เขาสนใจเรื่องนี้!
ผู้ฝึกตนหลายพันคนในใต้หล้านี้มีใครจะไม่ต้องการแข็งแกร่งขึ้นกันเล่า
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์อันดับต้นๆ อย่างอี้เหวินเทาผู้นี้
เมื่อเขาได้พบเจอหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้มามากมาย เขาจึงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
สิ่งที่ทำให้เขาหลงไหลอย่างบ้าคลั่ง…มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น!
หากข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้เข้า เกรงว่าจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่อีกครั้ง!
เป็นแน่…
เรื่องแบบนี้ผู้ใดจะรับรองได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?
เพียงแค่อาศัยโล่อันเดียวก็สามารถทำลายเชือกที่ผูกมัดไว้กว่าหมื่นปีนั่นได้เชียวหรือ
จวินจิ่วชิงยังคงสงสัยในเรื่องนี้อยู่
แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้นี้เสียทั้งหมด
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นทุกสิ่งย่อมมีเหตุผลเสมอ
อี้เหวินเทายอมลงมือครั้งใหญ่เช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่ามีของสิ่งนี้จริงๆ ตามที่กล่าวอ้าง
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขาที่ระมัดระวังตัวขนาดนั้น คงไม่มีลงมืออย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้
อี้เหวินเทาจ้องมองสีหน้าของจวินจิ่วชิงที่เปลี่ยนไปและหัวเราะขึ้นเบาๆ
“เหอะ…เจ้าว่าของแบบนี้ใครต้องการกันเล่า”
“หนานอีฝานไม่มีทางรู้เรื่องนี้”
จวินจิ่วชิงขัดจังหวะการพูดของเขาและเอ่ยเสียงเบาขึ้น
นี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำอธิบายอย่างแน่นอน
อี้เหวินเทาไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถเดาออก
สุดท้ายสถานการณ์ของตระกูลหนานในช่วงเวลานี้ เพียงพอที่จะบอกเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
หากหนานอีฝากรู้เรื่องนี้เข้า คงไม่ทำเรื่องเสี่ยงเช่นนั้นเป็นแน่
“เช่นนั้น…ข่าวเกี่ยวกับโล่ผสานนภา เป็นนายท่านที่ได้ยินมาจากถ้ำปีศาจทมิฬใช่หรือไม่”
จู่ๆ จวินจิ่วชิงก็คิดอันใดขึ้นมา จึงแหงนหน้าและจ้องมองไปที่เขา
อี้เหวินเทาสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ไม่ธรรมดา”
“น่าแปลกยิ่งนัก ข้อมูลสำคัญเช่นนี้เหตุใดเขาถึงยอมบอกผู้นำตระกูลอย่างเจ้ากัน ดูเหมือนเขา…ต้องการสิ่งนี้มากกว่าใช่หรือไม่”
จวินจิ่วชิงถามขึ้นด้วยความสนใจ
“จริงๆ แล้วเจ้าก็รู้มาไม่น้อยเลยนะ”
อี้เหวินเทามองเขาอยู่ครู่หนึ่งอย่างมีนัยแอบแฝง แต่กลับไม่ได้แปลกใจอันใด
หลังจากที่จวินจิ่วชิงถามประโยคนั้นออกมาได้สักพัก เขาก็รู้แล้วว่าข้อมูลของจวินจิ่วชิงมีไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้อมูลนี้แน่นอนว่าไม่ได้มาเปล่าๆ แต่ข้าต้องแลกมันมา!”
จวินจิ่วชิงหรี่ตาลง
“นายท่านมีความสามารถยิ่งนักที่แลกข้อมูลเช่นนี้มาได้…มิรู้ว่าท่านใช้อันใดแลกมาหรือ”
อี้เหวินเทายิ้มเยาะ
“เจ้าคิดว่าเขาหนีจากน้ำมือของหรงซิวเมื่อหลายปีก่อนได้อย่างใดกัน”
…
ณ ท่าเรือดอกท้อ จวนเยว่
มีต้นท้อหลายต้นอยู่ภายในลานบ้าน
เก้าอี้หวายสีเขียววางอยู่ใต้ต้นพีช
ขณะนั้นมีคนหนึ่งกำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้นั่น
เมื่อสายลมพัดมาดอกท้อสีชมพูอ่อนต่างพากันร่วงลงมา ยิ่งทำให้ชุดของคนผู้นั้นดูขาวยิ่งกว่าหิมะ
เขาหลับตาลงใบหน้าเด่นชัดราวกับภาพวาดที่งดงามสมบูรณ์แบบ
เมื่อทุกคนมองดูไกลๆ ราวกับหยกอันล้ำค่าที่ถูกแกะสลักอย่างปราณีตที่แดนสวรรค์ใช้กัน
และต่างจากสีบนโลกมนุษย์
เมื่ออวี๋มั่วเดินเข้ามาจึงมองเห็นภาพเช่นนี้เข้า
เขาอยู่ข้างกายหรงซิวมาหลายปี อันที่จริงเขาคุ้นชินกับรูปลักษณ์ที่หาใครเทียบมิได้ขององค์ชายมานานแล้ว
แต่ขณะที่มองดูอยู่นั้นในหัวของเขาจู่ๆ กลับปรากฏความคิดขึ้นมา
ถ้าเยี่ยนชิงเป็นชายรักชายจริงๆ เช่นนั้นเขาก็น่าจะสนใจองค์ชายด้วยเป็นแน่
ในใต้หล้านี้ยังมีชายใดที่รูปงามกว่าฝ่าบาทอีกหรือ
ไม่ สิ่งนี้ไม่สามารถใช้รูปลักษณ์ที่งดงามขององค์ชายมาอธิบายได้ ที่จริงแล้ว…
ขณะที่อวี๋มั่วกำลังคิดเรื่องไร้สาระอยู่นั้น หรงซิวก็ลืมตาขึ้น
เขามองมาทางด้านนี้ พอดีกับที่อวี๋มั่วกำลังจ้องมองเขาอยู่ ท่าทางเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง สีหน้ายิ่ง…
หรงซิวหรี่ตาลง
จู่ๆ อวี๋มั่วก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้น จนในที่สุดก็กลับมาได้สติ เขาจึงมองอย่างตั้งใจและสบตากับองค์ชายของตนเองเข้าพอดี
เขาตัวสั่นขึ้นในทันที
โอ้ย…ช่างหนาวยิ่งนัก!
สายตาขององค์ชายน่ากลัวยิ่งนัก!
เดิมทีเขาคิดจะวิ่งหนีไป แต่เขากับเลือกที่จะอยู่ต่อ ในที่สุดก็ร้องเรียกให้อวี๋มั่วขยับไปข้างหน้าแทน
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้เรื่องที่พระองค์ให้ข้าน้อยไปตรวจสอบ ได้ข้อมูลมาแล้ว พระยะค่ะ”
หรงซิวกำลังลุกขึ้นยืน
“พูด”
สีหน้าของอวี๋มั่วจริงจัง เขาโน้มตัวและกราบทูล
“พระองค์เดาถูกแล้ว ในคนเหล่านั้นที่ต่อสู้กับพระองค์เมื่อหลายปีก่อนมีบางคนที่ไม่ได้มาจากถ้ำปีศาจทมิฬจริงๆ พะยะค่ะ”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า
“มีสามคน มาจากตระกูลอี้!”