ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1987 ความขัดแย้งภายใน / ตอนที่ 1988 ติดต่อ
ตอนที่ 1987 ความขัดแย้งภายใน / ตอนที่ 1988 ติดต่อ
………………..
“คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่อี้เหวินเทาสั่งสอนมาเองกับมือและเชื่อฟังเขาเพียงคนเดียว แม้แต่คนในตระกูลอี้หลายคนก็ไม่รู้ว่ามีคนเหล่านี้อยู่ ดังนั้นเหตุการณ์ในปีนั้นคนของตระกูลอี้ส่วนใหญ่จึงไม่ใครรู้เรื่องนี้”
ทั้งสามคนนี้ฟังดูจำนวนน้อยแต่กำลังการต่อสู้กลับแข็งแกร่งมาก!
ไม่เช่นนั้นหรงซิวคงไม่ส่งเขาไปตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
“ในช่วงหลายปีหลังจากนั้นมา อี้เหวินเทาจึงระมัดระวังตัวอย่างมากมาโดยตลอด และไม่เคยเรียกทหารกล้าตายคนอื่นๆ เข้ามาพบเป็นการส่วนตัวอีกเลย ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าตระกูลอี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งครั้งนี้อี้เหวินเทาได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกจวินจิ่วชิงแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลไป จนในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว พวกเราจึงตามเบาะแสไปจนเจอสิ่งเหล่านี้”
ถึงแม้ว่าในวันปกติอวี๋มั่วจะเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา แต่เขายังดูน่าเชื่อถืออย่างมากเมื่อต้องเจอกับเรื่องสำคัญ
หรงซิวมอบหมายเรื่องนี้ให้กับเขาเมื่อหลายปีก่อน
ในช่วงนั้นเขาใช้วิธีการมากมายนับไม่ถ้วน กลับไม่ได้ผลอันใดเลย
แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ หลังจากที่รู้ว่าตระกูลอี้มาที่ท่าเรือดอกท้อ ก็รีบเพิ่มกำลังคนเขาไปตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดเขาก็ได้รับข้อมูลกลับมา
หรงซิวพยักหน้าและเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ในแววตาไม่แสดงความประหลาดใจอันใด
อันที่จริงเขาคาดเดาความเป็นไปได้นี้มานานแล้ว
ในเวลานั้นหลังจากที่เขาสัมผัสพลังของถ้ำปีศาจทมิฬได้อย่างแม่นยำถึงได้เลือกเดินทางมา
แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าสถานการณ์จริงแตกต่างจากที่คาดคิดเอาไว้อยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าจะส่งผลกระทบมากนักต่อผลลัพธ์ตอนท้ายที่สุด แต่ว่า…
บัญชีเล่มนี้ได้ถูกหรงซิวบันทึกเอาไว้
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่คนที่มีความสามารถเช่นนี้ กลับมีน้อยยิ่งนัก”
เรื่องนี้กลับคาดเดาไม่ยาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องหาหลักฐานให้ได้เสียก่อน
หรงซิวยิ้มอย่างเรียบเย็น ระหว่างคิ้วดูเหมือนมีไอความเย็นบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่
อี้เหวินเทาแข็งแกร่งเช่นนี้
หลังจากนั้นเป็นเวลาเนิ่นนานที่เขาไม่ได้ติดต่อกับเหล่าทหารกล้าตายเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้งเดียว
แม้แต่คนพวกนั้นที่ไม่ได้ถูกส่งไปยังถ้ำปีศาจทมิฬ เขาได้ตัดการติดต่อทั้งหมด
อีกทั้งการฝึกฝนของคนเหล่านี้ช่างไม่ง่ายเลย และสามารถทำให้เขาทุ่มเทกำลังทรัพย์ไปมากมายเช่นนี้ได้ จึงแสดงให้เห็นว่ามันช่างล่อตาล่อใจอย่างน่าประหลาด
อี้เหวินเทารู้ว่าหรงซิวต้องสงสัยในตัวเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังคำพูดและการกระทำอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันเขาตั้งรับได้ทัน
หากเขาไม่ถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้และไม่มีหนทางแล้วจริงๆ คาดว่าเขาก็คงไม่ใช้ท่าไม้ตายนี้เป็นแน่
“ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาในตระกูอี้ แท้จริงแล้วช่างลำบากนัก”
ขณะที่หรงซิวพูดอยู่นั้นจู่ๆ ก็นึกถึงท่าทางเมื่อก่อนนี้ของฉู่หลิวเยว่ที่เลิกคิ้วขึ้นและยิ้มเบาๆ จึงทำให้เขายกมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องขอบใจเยว่เออร์
หากนางไม่ได้วางยาอย่างแรงหลายครั้ง เพื่อทำให้อี้เหวินเทามีอาการเบลอ เรื่องก็คงไม่ก้าวหน้าอย่างราบรื่นเช่นนี้
“เช่นนั้น…ความหมายของฝ่าบาทก็คือ?”
“เฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปก็พอ”
จากนั้นหรงซิวกลับไปเอนหลังที่เก้าอี้หวายอีกครั้งพลางโบกมืออย่างไม่สนใจ ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย
“อ๋า? นี่…”
อวี๋มั่วประหลาดใจเล็กน้อย
อย่างใดเรื่องนี้ก็ใช้เวลาตรวจสอบอยู่หลายปี เขายังคิดว่าหลังจากรวบรวมหลักฐานมาได้แล้ว องค์ชายจะต้องตอบโต้กลับเป็นแน่…
“ปล่อยให้คนของตระกูลอี้ทรมานตนเองไปก็พอ”
หรงซิวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย
จวินจิ่วชิงและอี้เหวินเทา…
แต่การต่อสู้ยังคงมีอยู่
อวี๋มั่วตาสว่างขึ้นและเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นในทันที
“ฝ่าบาท ทรงปราดเปรื่อง!”
เมื่อเห็นหรงซิวต้องการพัก อวี๋มั่วจึงขอทูลลา ทันใดนั้นก็นึกถึงท่าทางแปลกๆ ของเยี่ยนชิงก่อนหน้านี้ ท่าทางของเขาจึงลังเลขึ้นเล็กน้อย
“มีอันใดก็พูดมาตรงๆ”
คำพูดของหรงซิวหยุดความคิดของเขาในทันที
อวี๋มั่วลูบศรีษะไปมาด้วยความประหม่า
“ฝ่าบาท อันที่จริงก็ไม่มีอันใด ก็แค่… ข้าน้อยรู้สึกว่าช่วงนี้เจ้าเด็กเยี่ยนชิงนั้นดูแปลกๆ ไป…ช่วงนี้เขาได้โดนอันใดมาหรือไม่ พระยะค่ะ”
มุมปากของหรงซิวโค้งงอขึ้นเล็กน้อยเบาๆ
ไม่ต้องกังวล”
“นั่นคือสิ่งที่เขาสมควรได้รับ”
ตอนที่ 1988 ติดต่อ
เมื่อเขาพูดจบ เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านนอก
หรงซิวเลิกคิ้วเล็กน้อย รูปร่างงดงามและเพรียวบาง กระทบเข้าตาพอดี
ฉู่หลิวเยว่นั่นเอง
อวี๋มั่วหันไปถวายบังคม
“ถวายบังคม พระชายา”
เดิมทีฉู่หลิวเยว่ก้มศรีษะลงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง เมื่อนางได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้น
หรงซิวลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหานาง
“คิดอันใดอยู่ ถึงได้เหม่อลอยเช่นนี้”
มีเลือดแดงสด ไหลซึมออกมา
คิ้วของเขาขมวดชนกันเล็กน้อย
“รอยตรงนี้ เกิดอันใดขึ้น”
ฉู่หลิวเยว่กลับมามีสติอีกครั้งพลางส่ายหัวไปมา
“ไม่เป็นอันใด เรื่องเล็กน้อย”
แต่สำหรับนางนั้นสิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นบาดแผลด้วยซ้ำ
นิ้วมือของหรงซิววางอยู่บนข้อของนาง เพื่อตรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากเขาแน่ใจจริงๆ แล้วว่านางบาดเจ็บเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น หลังจากนี้ก็ไม่ได้เป็นอันใดร้ายแรง สีหน้าของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
แต่ยังคงปวดใจอยู่
เขาดึงฉู่หลิวเยว่ไปที่เก้าอี้หวายและให้นางนั่งลง เขาหยิบยาออกมาพลางช่วยนางทายาบนมืออย่างแผ่วเบาและค่อยๆ นวดอย่างระมัดระวัง
กลิ่นยาอ่อนๆ ผสมกับกลิ่มดอกท้อ
ความรู้สึกเย็นวาบแผ่กระจายบนมือ ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนก่อนหน้านี้ได้ทุเลาลงไปมากในทันที
เดิมทีฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจบาดแผลเหล่านี้นัก แต่มองดูท่าทางของหรงซิวที่ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อทายาให้นาง ยิ่งทำให้รู้สึกเบาใจอย่างมาก
ตอนแรกนางคิดจะทายาด้วยตัวเอง คิดอยู่พักหนึ่งจึงยอมให้หรงซิวจัดการแทน
“ฝ่าบาท พระชายา เช่นนั้นข้าน้อยทูลลา พะยะค่ะ”
อวี๋มั่วเคยชินกับฉากเช่นนี้มานานแล้ว
หรงซิวตอบกลับและปล่อยเขาไป
ต่อมาในลานบ้านเหลือเพียงพวกเขาสองคนอย่างรวดเร็ว
ฉู่หล่วเยว่จ้องมองหรงซิวที่ด้านข้างอยู่ครู่หนึ่ง
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่หรงซิวมีชื่อเสียงอย่างมาก หลายคนเมื่อได้ยินชื่อเขาต่างหวั่นเกรงและให้ความิ้เคารพในตัวเขาเป็นส่วนใหญ่
แม้แต่หนานอีฝานกับอี้เหวินเทายังมิกล้าล่วงเกินได้ง่ายๆ
แต่คนเช่นนี้ บัดนี้ได้มาอยู่ข้างกายนาง เพียงเพราะมือของนางบาดเจ็บจึงทายาให้นางอย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนทั้งใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
ราวกับมีคลื่นซัดสาดในหัวใจของนาง ในที่สุดนางมิอาจควบคุมตนเองได้ จึงจูบลงบนใบหน้าของเขา
“สามีของข้าดีสุด!”
เมื่อแมลงปอสัมผัสน้ำแล้วจึงถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
หรงซิวแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยและขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ
“อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่ต้องอธิบาย”
หลังจากฉู่หลิวเยว่ทะลวงขั้นเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์และน้อยครั้งที่จะได้รับเจ็บ แต่ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้บนมือของนาง เห็นได้ชัดว่าผิดปกติอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังอยู่ที่ท่าเรือดอกท้อ…ซึ่งเป็นดินแดนในความดูแลของนางเอง
ฉู่หลิวเยว่พ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอกและเอนตัวลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
“คงไม่ใช่เพราะประตูแดนสวรรค์นั้น”
หรงซิวขยับตัวครู่หนึ่ง
“มันยุ่งยากมากหรือ”
อันที่จริงเขาคาดเดาไว้ว่าสิ่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับประตูแดนสวรรค์ของท่าเรือดอกท้อ
เขารู้เรื่องประตูแดนสวรรค์ที่ฉู่หลิวเยว่กับเฉินอีและคนอื่นๆ เดินทางไปด้วยกันมาก่อนหน้านี้
เพียงแต่ไม่คิดว่านางจะได้รับบาดเจ็บ
ฉู่หลิวเยว่ขยับคางไปมา
“ด้านในของประตูแดนสวรรค์นั้น มิรู้ว่าถูกใครซ่อนค่ายกลเอาไว้ และค่ายกลนั้นทรงพลังอย่างมากจนส่งผลกระทบต่อประตูแดนสวรรค์ทั้งหมด ตอนนี้ประตูแดนสวรรค์มันไม่สามารถเข้าออกได้ตามปกติอีกแล้ว”
นางยักไหล่ไปมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีและน่าขัน
“กลับไม่จำเป็นต้องส่งคนมาเฝ้าแล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงก็มิอาจหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย
ขณะที่พูดนางยกมือขึ้น
“ไม่ เป็นเพราะมือนี้ถึงได้รับบาดเจ็บ”
หลังจากที่ฟังการคาดเดาของหลินจือเฟย นางรู้สึกว่ามันมีเหตุผลอย่างมาก
เพื่อความกระจ่างชัดว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ นางจึงตัดสินใจทดสอบด้วยตนเองดูสักครั้ง
ในท้ายที่สุดมีเพียงมือนี้ที่กำลังเข้าไปในประตูแดนสวรรค์นั่นและดูเหมือนมีพลังอันแข็งแกร่งอย่างมาประทุออกมาจากทุกทิศทาง!
เมื่อนางเห็นท่าไม่ดีจึงดึงมือออกทันทีโดยไม่ลังเล
ถึงกระนั้นมันก็เจ็บเล็กน้อย
“ยังดีที่หลบได้ทัน ไม่งั้น…”
คิ้วของหรงซิวคลายลงเล็กน้อย
รู้หรือไม่ แม้ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่จะมีเพียงขั้นพลังปราณของเทพขั้นสูงเท่านั้น แต่นางสามารถใช้ทัณฑ์ทลายเทพในการฝึกขั้นเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ร่างศักดิ์สิทธิ์ของนางในตอนนี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์นางก็สามารถสู้ได้!
อี้เหวินเทาเมื่อก่อนนี้ก็ไม่ใช่แบบอย่างที่ดีที่สุดหรือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ประตูสวรรค์นั้นจึงกลายเป็นสิ่งอันตรายอย่างมากจริงๆ
หรงซิวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“พรุ่งนี้ข้าจะไปดูกับเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับ
กลีบดอกไม้หลายกลีบปลิวร่วงลงมา
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
ดอกท้อกำลังบานสะพรั่งเต็มต้น
ทันใดนั้นมีบางสิ่งตกบนคิ้วของนางและรู้สึกเย็นวาบขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“หิมะตกแล้วหรือ”
หรงซิวจึงเงยหน้ามองบนท้องฟ้า
เดิมทีท้องฟ้ายังเป็นสีฟ้าคราม มิรู้ว่ากลายเป็นสีเทาหม่นจางๆ ตั้งแต่เมื่อใด
เกล็ดหิมะใสราวกับเพชรพลอยกำลังร่วงตกลงมา
เขาดึงสายตากลับมาพลางโน้มตัวและอุ้มนางขึ้น
…
หิมะตกที่ท่าเรือดอกท้ออย่างกะทันหัน
แต่สำหรับทุกคนที่อยู่ท่าเรือดอกท้อมาเป็นเวลานาน กลับไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใดเลย
หลายปีที่ผ่านมาสภาพอากาศของท่าเรือดอกท้อเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาโดยตลอด
แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็คุ้นชินกับมันมานานแล้ว
ในระเบียงทางเดินหน้าประตู ซันซานกำลังเดินกอดอกและก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยท่าทางสบายใจ
ขณะที่กำลังเดินก็ร้องเพลงไป ดวงตาเล็กๆ ทั้งคู่หรี่ลงด้วยรอยยิ้มและดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีมากทีเดียว
อวี๋จิ่วกับสือฟังชนเข้ากับเขาพอดี เห็นท่าทางของซานซานดูมีความสุขมาแต่ไกล
อวี๋จิ่วและอีกสองคนกล่าวทักทายเขา
“พี่สาม ไปเจอเรื่องอันใดมาหรือ ถึงได้มีความสุขเช่นนี้”
ซานซานยิ้มจนตาหยีพลางเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอันใด ไม่มีอันใด!”
อวี๋จิ่วและอีกสองคนต่างสบตากัน
สามารถทำให้เขามีความสุขได้เช่นนี้มีเพียงคำอธิบายเดียว
“ดูเหมือนพี่สามจะร่ำรวยอีกแล้วหรือ”
อวี๋จิ่วพูดหยอกล้อขึ้น
ซานซานสอดมือทั้งสองและยิ้มอย่างดีอกดีใจ
“ที่ไหนกัน แค่ทั้งหมดนี้ต้องขอบใจนายท่าน! ข้ากําลังจะไปแจ้งข่าวดีกับนายท่าน”
จู่ๆ สือฟังกลับคิดอันใดขึ้นมาได้
“ดูเหมือนว่า…มีคนเริ่มติดต่อกับพี่สามแล้วอย่างนั้นหรือ”
ซานซานยกมือขึ้นและกระพริบตาไปมา
“จุ๊ๆ…เรื่องนี้ยังตกลงกันไม่เรียบร้อย รอนายท่านตัดสินใจอีกครั้งก่อนค่อยดีใจก็ยังไม่สาย!”
เมื่อพูดเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปี่ยมล้นออกมา
หลังจากพูดจบนางก็รีบบอกลาคนทั้งสองและมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน
อวี๋จิ่วถือดาบในมือทั้งสองข้างพลางหันมองไปมาระหว่างซานซานและสือฟัง
“สือฟัง ดูเหมือนเจ้ารู้อันใดมาใช่หรือไม่”
สือฟังพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ
“จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ก็คือพี่สามวางแผนจะออกไปทำการค้าข้างนอก”
อวี๋จิ่วเข้าใจในทันที
กลายเป็นการขยายขนาดของการค้า
หากทำเช่นนี้ก็หมายความว่าจะมีผลกำไรที่มากขึ้น
มิน่าเขาถึงดีใจขนาดนั้น
“เดิมที่พี่สามทำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ว่า…เมื่อออกมาข้างนอกหรือ เจ้าชี้ไปที่ไหนกัน”
สือฟังมองเขาด้วยความสงสัย
“เจ้ารู้ได้อย่างใด”
อวี๋จิ่ว “…”
รู้ว่าเรื่องนี้ไม่สามารถชี้ตัวไปที่เขาได้…
…
เมื่อซาซานมาถึงภายในลานบ้าน ฉู่หลิวเยว่กับหรงซวกำลังนั่งชมหิมะอยู่ใต้ชายคา
“นายท่าน ฝ่าบาท”
ซานซานพยายามควบคุมสีหน้าของตนเองและค่อยๆ ก้าวขึ้นไปข้างหน้า
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเขาและเลิกคิ้วขึ้น
“ดูเหมือนช่วงนี้มีจะมีคนติดต่อเจ้ามากใช่หรือไม่”
………………..