ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1991 อวิ๋นโจว
ตอนที่ 1991 อวิ๋นโจว
………………..
ม่านแสงประตูแดนสวรรค์นั่นแยกออกเป็นชั้นตื้นๆ แต่ในขณะนั้นระลอกคลื่นที่เปล่งประกายระยิบระยับดูเหมือนลึกจนมองไม่เห็นด้านล่าง
กระจกบานนั้นราวกับทะเลสาบที่ใสบริสุทธิ์ที่ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ และเข้ามาใกล้ทีละน้อยๆ จนสะท้อนเป็นเงาร่างขึ้น
ฉู่หลิวเยว่จ้องมอง
ในกระจกมีร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้น
นั่นคือหรงซิว แต่กลับต่างออกไปเล็กน้อย
เพราะคนในกระจกนั่น ถึงแม้รูปร่างและท่าทางจะเหมือนหรงซิวทุกประการ แต่กลับสวมชุดยาวสีดำ
เห็นได้ชัดว่ามีใบหน้าเหมือนกันแต่บุคลิกและท่าทางกลับไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
เยือกเย็น เหยียดหยาม!
แค่มองขึ้นไปเหมือนกับแรงบีบที่มองไม่เห็น จนแทบจะทำให้หายใจไม่ออก!
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปชั่วครู่ นางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
เสียงดังโครม…
กระจกใหญ่บานนั้น แตกกระจายลงมาในทันที!
เงาร่างในกระจกนั่นก็สลายไปเช่นเดียวกัน
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางหรงซิวอย่างไม่รู้ตัว
ฉากเมื่อครู่นี้เขาต้องได้เห็นอย่างแน่นอน
อย่างใดก็ตาม ท่าทางของหรงซิ่วสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ใบหน้าชัดเจนสมบูรณ์แบบ สงบนิ่งและราบรียบ
สีหน้าของเขาไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนสถานการณ์เมื่อครู่นี้เขาจะไม่ได้เห็นมัน หรือว่า…เห็นแล้วแต่ไม่ได้สนใจอย่างนั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่คิดจะถามขึ้นอย่างละเอียด แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังอันแรงกล้าผ่านเข้าไปในประตูแดนสวรรค์!
“ฝ่าบาท!”
เสียงของเฉิงอีกับจือเฟยและคนอื่นๆ ดังขึ้น แต่ดูเหมือนห่างไกลกว่าปกติ
ในความมืดอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ฉู่หลิวเยว่ได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านหูของเธออย่างต่อเนื่อง
พลังอันบ้าคลั่งกำลังพัวพันต่อสู้กันรอบทิศทาง มันบีบบังคับร่างทั้งสองและมุ่งหน้าไปในทิศทางที่มิอาจรู้ได้!
…
การเคลื่อนตัวเช่นนี้ใช้เวลาอย่างต่อเนื่องไม่นานนัก
อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ยังถูกหรงซิวกอดไว้อย่างแนบแน่นอยู่ตลอด มีเขาคอยปกป้องเช่นนี้ ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม แสงอันเจิดจ้าสว่างไสวก็ส่องผ่านเข้ามา และทำลายความมืดมิดอันหนาทึบในที่สุด!
แสงรัศมีที่เจิดจ้าแข็งแกร่ง ลอดผ่านมาจากทางด้านหน้า!
ฉู่หลิวเยว่เบือนหน้าเล็กน้อยและหรี่ตาลง
หรงซิวกอดนางเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งจึงปิดตาหน้าเอาไว้
ทั้งสองคนตกลงบนพื้น
เมื่อเท้าทั้งคู่เหยียบลงบนพื้นหนา ความรู้สึกที่ลอยเขว้างไม่หยุดนิ่งยังอยู่ในใจของฉู่หลิวเยว่ สุดท้ายก็จางหายไปเล็กน้อย
ในขณะนี้ดวงตาของนางปรับให้เข้ากับแสงโดยรอบแล้ว นางจับมือหรงซิวไว้และเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ
เมื่อเห็นเหตุการณ์โดยรอบอย่างชัดเจน นางชะงักอยู่ครู่หนึ่งและขมวดคิ้วเล็กน้อยในทันที
ข้างหน้าคือกำแพงเมืองที่เรียบง่ายและวิจิตรงดงาม
ตรงประตูเมืองสูงตระหง่า มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เห็นแล้วดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
ข้างหลังมีภูเขาที่ทอดยาวสลับกันและเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวชอุ่ม
สำหรับฉู่หลิวเยว่สถานที่แห่งนี้ช่างดูแปลกตาไปเสียหมด
“ที่นี่คือ…”
ฉู่หลิวเยว่พลางขมวดคิ้วแน่น
“พลังโกลาหลในประตูแดนสวรรค์ ทำให้ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าในความวุ่นวายนี้ได้ส่งพวกเรามาที่นี่”
หร่งซิ่วมองดูรอบๆ และเก็บทุกสิ่งที่นี่อย่างรวดเร็วพลางพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
เป็นคำอธิบานที่มีเหตุผลที่สุดแล้ว
เพียงแต่…
“เฉิงอีกับหลินจือเฟย พวกเขาเหมือนจะไม่ได้ตามพวกเรามา”
เมื่อครู่นางได้ตรวจสอบแล้ว โดยรอบไม่มีพลังปราณของทั้งสองคนนั้นจริงๆ
แต่คิดอย่างถี่ถ้วน สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดานัก
อันที่จริงเกิดเหตุการณ์อย่างกะทันหันเกินไป
ในเวลานั้นนางยังคิดถึงรูปร่างของหรงซิวที่สะท้อนอยู่ในกระจก และนางก็ไม่ตอบสนองไปสักพักหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่สายตาและมือที่รวดเร็วของหรงซิว คาดว่าเมื่อครู่นี้นางกับหรงซิวคงจะแยกจากกันไปเสียแล้ว
“ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด พวกเราเข้าไปดูในเมืองกันก่อน”
หรงซิวเอ่ยขึ้น
ฉู่หลิวเยว่หายใจออกอย่างรวดเร็วและพยักหน้าเห็นด้วย
เช่นนั้นต้องรู้จักที่แห่งนี้ก่อน ถึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำเช่นใดต่อไป
ขณะที่นางกำลังเดินไปข้างหน้า กลับถูกหรงซิวดึงตัวกลับในทันที
“อย่าเพิ่งขยับ”
“เหตุใดหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปชั่วครู่
หรงซิวยกมุมปากขึ้น
“เจ้าจะไปแบบนี้จริงๆ หรือ”
ทางข้างหน้าเต็มไปด้วยสิ่งที่มิอาจรู้ได้ เช่นนั้นทุกอย่างควรระมัดระวังตัวไว้เป็นการดีที่สุด
ครู่ต่อมา ทั้งสองคนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปโดยสิ้นเชิง
หน้าตาธรรมดา เสื้อผ้าธรรมดา
เมื่อมองแวบเดียว ดูธรรมดาไม่โดดเด่น
ดีที่ทั้งสองคนอยู่ในขอบเขตของเขาหลินมองดูรอบๆ แทบจะไม่มีผู้ใดผ่านมา ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะอำพรางตัวอย่างมาก
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินจับมือกันไปที่ประตูเมือง
…
ยิ่งเข้าใกล้ผู้คนรอบๆ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักมากขึ้น
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังเดินไปพลางและมองรอบๆ ไปพลางด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางพบว่าคนส่วนใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้าเมือง
แต่คนทั่วไปล้วนดูวัยหนุ่มสาวอย่างมาก
คนกว่าครึ่งมีอายุสิบกว่าและยี่สิบกว่า มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ดูเหมือนอายุประมาณสามสิบปี
อีกทั้งใบหน้าของคนเหล่านี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้นดีใจที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนในเมืองนั้นมีบางอย่างเต็มไปด้วยพลังล่อใจที่กำลังรอพวกเขาอยู่
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกลางๆ ว่าฉากนี้มีความคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย
“เหมือนเมืองฝางโจวหรือไม่”
จู่ๆ เสียงของหรงซิวก็เข้ามาในหูด้วยเสียงต่ำ
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้า ทั้งสองสบตากัน
นางเขาใจในทันที
จริงด้วย!
ที่แห่งนี้ดูแล้วคล้ายกับเมืองฝางโจวอยู่บ้างจริงๆ
ในเมืองฝางโจว ใบหน้าของคนหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาทั่วทุกที่
แต่บัดนี้ เมืองเช่นนี้ดูเหมือนไม่มีอันใดพิเศษ…
เหตุใดสถานการณ์ถึงเป็นเช่นนี้“
“ความสามารถของคนเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา”
ฉู่หลิวเยว่มองดูมาสักพักหนึ่ง จึงสังเกตเห็นสิ่งนี้และอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้
นี่แห่งนี้ตั้งอยู่นอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ ตามหลักแล้วระดับและความสามารถทั้งหมดของผู้ฝึกตนนั้นด้อยกว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นที่อยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่
แม้ท่ามกลางคนหนุ่มสาวเหล่านั้นที่เดินผ่านไปมารอบๆ พวกเขา แต่กลับมีพลังและความสามารถที่โดดเด่นไม่น้อย
ยิ่งเข้าใกล้ประตูเมืองมากเพียงใด ความรู้สึกเช่นนี้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ในใจของฉู่หลิวเยว่ยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่ในเมืองหลวงของราชวงศ์เทียนลิ่ง ไม่แน่ว่าอาจมีคนมากความสามารถที่มีศักยภาพมากมายอยู่ก็ได้!
เมื่อมาถึงหน้าประตูเมืองในที่สุดทั้งสองก็ยืนนิ่ง
ฉู่หลิวเยว่แหงนหน้าขึ้นมอง
เหนือประตูเมืองสลักไว้สองคำ
อวิ๋นโจว
ลายมือแข็งแกร่งมากความสามารถและเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเหมือนมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่จนน่าประหลาดใจ!
ในใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหว
เมืองนี้น่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก
แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงนี้มาก่อน
นางมองไปทางหรงซิว
หรงซิวส่ายหัวเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่เคยได้ยินเสียงเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่มองไปมารอบๆ และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ที่นี่ไม่มีใครรับผิดชอบเฝ้าเมือง…”
ทุกคนที่เข้าไปล้วนเป็นอิสระทั้งหมด
“ฮ่าาา! อวิ๋นโจวแห่งนี้ ตั้งแต่วันนั้นที่ปรากฏขึ้น ก็ไม่มีผู้ใดคอยเฝ้ามาโดยตลอด ท่านทั้งสองมาถึงที่แห่งนี้แล้วกลับไม่รู้สิ่งใดเลยเกี่ยวกับที่นี่หรือ”
เสียงหนุ่มดังมาจากด้านหลัง
เมื่อฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองจึงเห็นหนุ่มสาวหลายคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา
คนที่กำลังพูดคือชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด