ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1994 เสี่ยวโจว เสี่ยวโจว
ตอนที่ 1994 เสี่ยวโจว เสี่ยวโจว
………………..
ดวงตาของฉู่หลิวยว่เปล่งประกายขึ้น
“ความหมายของเจ้าคือ…ประดูแดนสวรรค์นั่นสามารถพาไปทุกที่ได้โดยตรง?”
หรงซิวยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ วันพรุ่งไปที่เขาไท่อินก็จะรู้ได้ในทันที”
…
อวิ๋นโจวทั้งหมดล้วนตกอยู่ในความตื่นเต้นและกระตือรือร้น
ตอนเช้าตรู่ ฉู่หลิวเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงต่างๆ จากด้านนอก
แม้จะอยู่นอกประตูยังคงได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“…พี่ชาย ท่านจะเรียกสองคนนั้นเดินไปด้วยกันกับพวกเราจริงๆ หรือ”
เฮ่อจื่อหลานถามขึ้นด้วยท่าทางโอหังและไม่พอใจ
“ข้าคิดว่าพวกเขาไม่รู้ว่านี่คือการทดสอบอันใด คาดว่าก็คงไม่ไปหรอก พวกเราอย่าไปสนใจเขาเลย!”
นางไม่ชอบสองคนนั้นเลยจริงๆ
เห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์เสื้อผ้าดูธรรมดาอย่างมาก แต่เมื่อเห็นพวกเขา กลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย
ไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนนี้มีอะไรน่าสนใจถึงเพียงนั้น?
เฮ่อจื่อจี้มองนางครู่หนึ่ง
“เพื่อนมาก เส้นทางก็มาก เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าใจเล่า”
“เหตุใดข้าจะไม่เข้าใจ ข้าเห็นว่าพี่ใหญ่บ้าไปแล้ว! ถ้าพวกเขาเข้าร่วมการทดสอบขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่กลายเป็นคู่แข่งของพวกเราหรอกหรือ”
จะหาคู่ต่อสู้ให้ตนเองได้จากที่ไหน
เฮ่อจื่อจี้ส่ายหัวและไม่คิดจะให้คำแนะนำต่อ
หากเพิ่มอีกหนึ่งหรือสองคนนี้ จะมีผลกระทบต่อผลลัพธ์อย่างไร
ในทางตรงกันข้าม ถ้าสามารถดึงพวกเขามาเป็นพวกได้ บางทีในการแข่งขันครั้งสุดท้ายก็มีโอกาสชนะมากขึ้น
เขามักจะคิดว่าสถานะของสองคนนี้ไม่ธรรมดา
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฮ่อจื่อจี้จึงเดินผ่านไป
เขายกมือขึ้นเตรียมจะเคาะประตู แต่ประตูจวนถูกเปิดออกจากด้านในพอดี
ร่างสูงผอมปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า
การเคลื่อนไหวของเฮ่อจื่อจี้หยุดค้างลงในทันที
“พี่ไป๋หลี พะ…พวกเจ้าตื่นแล้วหรือ”
ดูท่าทางเช่นนี้ คาดเดาว่าเรื่องที่พวกเขาพูดไปเมื่อครู่ คงได้ยินเสียแล้ว
เฮ่อจื่อจี้กลืนไปเข้าคายไม่ออก
หรงซิวพยักหน้าด้วยสีหน้าปกติ
“วันนี้ข้ากับฟูเหรินคิดจะไปที่เขาไท่อิน
เฮ่อจื่อจี้มองเขาอย่างละเอียด และพบว่าเขาแทบจะไม่คิดซักไซ้เอาความอะไร เขาจึงอดไม่ที่จะถอนหายใจอยากโล่งอก
มิรู้ว่าเหตุใดผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ เขามักจะเกิดอาการหวาดกลัวเล็กน้อยโดยมิอาจอธิบายได้
ถึงแม้ว่าฝั่งตรงข้ามจะเกรงใจและสุภาพอย่างมากมาโดยตลอด แต่ด้วยความสูงศักดิ์และวางอำนาจบีบบังคับตามนิสัยปกติที่มาจากในกระดูกนั้น กลับยากที่ผู้ใดจะละเลยได้
“เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราไปด้วยกัน เมื่อถึงเวลาก็จะได้ดูแลกัน มิรู้ว่าพี่ไป๋หลีคิดเห็นอย่างไร”
เฮ่อจื่อจี้เอ่ยถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“เช่นนั้นคงไม่มีอันใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ที่เดินขึ้นมาจากด้านหลัง พูดขึ้นด้วยร้อยยิ้ม
เฮ่อจื่อจี้ชะงักไปชั่วครู่
ทันทีที่ความคิดแวบเข้ามา หรงซิวก็หันตัวกลับไปครึ่งหนึ่งและยื่นมือไปหาฉู่หลิวเยว่
เพื่อบังสายตาของเฮ่อจื่อจี้
เฮ่อจื่อจี้จึงสะดุ้งขึ้นและดึงสายตากลับมาในทันที ในใจรู้สึกกลัดกลุ้ม
ก็เขาไม่เคยพบสตรีที่งดงามเช่นนี้มาก่อน เช่นนี้เลยรู้สึกเสียมารยาทเล็กน้อยจริงๆ
เขาถอยมาหนึ่งก้าว
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าบนถนนจะมีผู้คนเยอะมากขึ้นเลยทีเดียว”
…
เมื่อออกจากประตูฉู่หลิวเยว่และหรงซิวถึงรู้ความหมายในคำพูดของเฮ่อจื่อจี้
เพราะผู้คนบนถนนมีมากกว่าเมื่อวานนี้เสียอีก
ตอนนี้ยังคงเป็นรุ่งเช้าอยู่
หากรออีกสักครู่ เกรงว่าคนจะต้องเยอะเป็นแน่
ฉู่หลิวเยว่มองฝูงชนที่ดูคึกคักและพูดขึ้นในทันที
“คนที่มาไม่น้อยเลยจริงๆ เกรงว่าแต่ละราชวงศ์ล้วนมีผู้มากความสามารถรีบเข้ามากันไม่น้อยเชียว…”
เฮ่อจื่อหลานหัวเราะเสียงเบาขึ้น
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา! ในฐานะผู้ฝึกตน ใครบ้างที่ไม่ต้องการข้ามประตูแดนสวรรค์เพื่อเข้าไปที่อาณาจักรเสิ่นซวี่และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงกันบ้างเล่า”
แม้ว่าความหวังจะน้อยนิด และลำบากแสนเข็ญ แต่ก็ยังมีคนที่ยังก้าวต่อไปไม่หยุด
ขณะที่พูด นางกวาดตามองฉู่หลิวเยว่ขึ้นลงอยู่รอบหนึ่งและพูดเสียงอึมครึมขึ้น
“อย่างพวกเจ้าเนี่ย คงไม่มีทางหรอก!”
เมื่อฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวมาถึง ตั้งใจกดขั้นพลังปราณในร่างให้ต่ำลง
เฮ่อจื่อหลานเพียงคิดว่าทั้งสองคนในตอนนี้ขั้นพลังปราณไม่สูงนัก ดังนั้นจึงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉู่หลิวเยว่เช่นนี้ เฮ่อจื่อหลานรู้สึกราวกับตนเองไร้พลัง และรู้สึกโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย นางเพียงสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไปและไม่เอ่ยปากพูดอันใดอีก
แต่ในเวลานั้นฉู่หลิวเยว่กลับพูดขึ้นเบาๆ
“เมื่อพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้พวกที่ได้อันดับสูงสุดในการทดสอบได้เข้าไปสู่อาณาจักรเสิ่นซวี่แล้วหรือ”
“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องปกติ!”
การกลับมาอย่างมุ่งมั่นของเฮ่อจื่อหลาน
ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ ผู้คนจํานวนมากจะมาที่อวิ๋นโจวหรอกหรือ
คำถามที่สตรีผู้นี้ถามมา ช่างน่าขันจริงๆ
ขณะที่นางกำลังเหน็บแนบอยู่สองสามประโยค ก็ได้ยินฉู่หลิวเยว่พูดต่อว่า
“คนเหล่านั้นน่าจะเคยกลับมา หลังจากที่เข้าไปในอาณาจักรเสิ่นซวี่อย่างนั้นหรือ”
เฮ่อจื่อหลานชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ
“แน่นอนว่าไม่มีแล้ว! เมื่อไปอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้ว ใครจะกลับมาที่นี่อีกเล่า”
อาณาจักรเสิ่นซวี่ เช่นนั้นคงเป็นการมีอยู่ที่ทุกคนเฝ้าฝันจะไปอยู่
หากมีโอกาสสามารถไปที่นั่นได้ และทำลายพันธนาการ จนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงหรือแข็งแกร่งยิ่งว่านั้น…
นี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกตนปรารถนาที่สุดหรือ
ยังมีผู้ใดกลับมาอีกหรือ
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่มีแสงสลัวผ่านไปแวบหนึ่ง และหายไปในทันที
เดิมทีเฮ่อจื่อหลานคิดจะพูดอะไรสักหน่อย แต่ถูกเฮ่อจื่อจี้ลากตัวไป จึงทำได้เพียงปิดปากเงียบเอาไว้
สุดท้ายคนทั้งคณะล้วนไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่เดินไปข้างหน้าเท่านั้น
…
ผู้คนบริเวณรอบๆ ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสถานที่…เชิงเขาไท่อิน
ภูมิประเทศที่เปิดกว้างแห่งนี้ ทุกคนยืนกันเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ จะเห็นผู้คนหนาแน่นเต็มไปหมด
มีอย่างน้อยห้าร้อยถึงหกร้อยคน
อีกทั้งผู้คนเหล่านี้ที่อยู่นอกอาณาจักรเสินซวี่ แทบทั้งหมดนับว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์หาได้ยากยิ่งนัก
แม้แต่ฉู่หลิวเยว่ ราชวงศ์เทียนลิ่งเมื่อก่อนล้วนไม่เคยพบเจอผู้ฝึกตนวัยหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์มารวมตัวกันมากมายเท่านี้มาก่อน
น่าจะมีผู้ฝึกตนของราชวงศ์มากันไม่น้อยเลยจริงๆ
ทว่ามีคนมารวมตัวกันมากเช่นนี้ กลับไม่วุ่นวายเลย
ผู้คนจำนวนมากล้วนไม่ได้พูดเช่นนั้น มีเพียงจำนวนน้อยที่พูดเสียงต่ำไม่กี่ประโยค
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้
เห็นได้ชัดว่า สําหรับการทดสอบที่กําลังจะเกิดขึ้น พวกเขาต่างให้ความสำคัญ
สายตาของฉู่หลิวเยว่ กวาดตามองท่ามกลางฝูงชนที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
อันที่จริงนางต้องการดูว่ามีคนจากราชวงศ์เทียนลิ่งในที่แห่งนี้หรือไม่…
สายตาของนางแข็งค้างขึ้นในทันที
ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ห่างไกล
เขาเพียงสวมชุดคลุมผ้าลินินสีเทาหลวมๆ ทั้งชุดไม่มีประดับตกแต่งใดๆ
เดิมที่ก็รูปร่างผอมบางอยู่แล้วกลับผอมลงไปอีกอย่างเห็นได้ชัด
ผมสั้นสีทองอ่อนๆ ส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงกระทบยามเช้าของแสงตะวัน
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวพลางเอ่ยขึ้น
เสี่ยวโจว!
………………..