ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1998 ที่หนึ่ง ……………….. สิ่งสำคัญกว่าคือ มันดูเหมือนเป็นอสูรประเภทที่ถูกทำให้เชื่อง และยังมีความแตกต่างเล็กน้อยกับการทำสัญญาสัตว์อสูรจากปกติทั่วไป รอยแผลรอบๆ คอของหมาป่าปีศาจปีกเทา รักษาจนหายสนิทหลงเหลือแต่รอยสะเก็ดแผล อีกทั้งยังถูกปกคลุมไปด้วยขนเต็มไปหมด หากไม่มองใกล้ๆ อย่างละเอียดก็คงไม่สังเกตเห็น ดูจากร่อยรอยและสภาพของแผลเป็นนั่น น่าจะค่อนข้างลึกพอสมควร หมาป่าปีศาจปีกเทาตัวนี้ คาดว่าคงทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อย ด้านนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ หากสามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรระดับเก้าได้ ใครกันที่ลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ นอกเสียจากฝ่ายตรงข้ามคงไม่ได้สนใจกับหมาป่าปีศาจปีกเทาตัวนี้นัก เฮ่อจื่อจี้และเฮ่อจื่อจี้หลานสบตากันและรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และไม่เข้าใจที่ฉู่หลิวเยว่กับเขาจ้องมองหมาป่าปีศาจปีกเทาอยู่ตลอด แต่หากนึกถึงความแข็งแกร่งที่นางเพิ่งแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ คลื่นในใจของคนทั้งสองยังคงไม่อาจสงบลงได้ นางน่าจะมีเหตุผลของนางที่ทำเช่นนี้กระมัง… “ดูแล้วเขาไท่อินนี้ไม่ค่อยสงบเลยจริงๆ” หรงซิวยกมุมปากขึ้นและยิ้มเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น ฉู่หลิวเยว่มองเขาครู่หนึ่ง ก็รู้ว่าทั้งสองคนคิดจะไปด้วยกัน นางพยักหน้าและหัวเราะขึ้น “ใช่แล้ว แต่ครั้งนี้ กลับค่อนข้างคุ้มค่านัก” จากนั้นนางมองไปทางยอดเขา “ไปเถอะ! ไม่รู้ว่าข้างบนจะมีสิ่งใดที่กำลังรอพวกเราอยู่!” … หลายคนยังคงเดินไปยังยอดเขาต่อเช่นกัน อาจเป็นเพราะยังหวาดกลัวกับฉากเมื่อครู่นี้อยู่ เฮ่อจื่อหลานจึงไม่กล้ากําเริบเสิบสานอีก จากนั้นนางจึงวิ่งไปด้านข้างของเฮ่อจื่อจี้และตามเขาไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ นัยน์ตาของนางทั้งอยากรู้อยากเห็นและสงสัย อีกทั้งยังมีความอิจฉาและริษยาอยู่ในนั้น สตรีผู้นี้ดูจากลักษณะแล้วคงยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี ทั้งเนื้อทั้งตัวดูธรรมดาไม่มีส่วนไหนสะดุดตาแม้แต่น้อย แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าฝีมืออันแข็งแกร่งของนางจะร้ายกาจถึงขั้นนั้น ด้วยมาตรฐานเช่นนี้ คาดว่าในการทดสอบจะสามารถติดอันดับต้นๆ ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งสามีท่านนั้นของนาง ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ลงมืออะไร แต่เฮ่อจื่อหลานก็ไม่กล้าดูแคลนพวกเขาอีก เมื่อไม่มีเสียงเอะอะโวยวายของเฮ่อจื่อหลานแล้ว บริเวณรอบๆ ก็เงียบลงมากในทันที เฮ่อจื่อจี้ต้องการเอ่ยปากถามสองสามคําอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงยอมล้มเลิกไป เกรงว่าสองคนนี้จะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า… หลายคนจึงเดินไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้ อาจเป็นเพราะลมปราณเลือดของหมาป่าปีศาจปีกเทาบนตัวของนาง ที่ค่อนข้างสร้างความน่าสะพรึงกลัว หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามพวกเขาก็ไม่เจอกับความยุ่งยากอะไรอีก พรึบ! เสียงดังสนั่นขึ้นอย่างกระทันหัน! หลายคนหยุดฝีเท้าลงพร้อมกัน เฮ่อจื่อจี้พูดเตือนออกมาเป็นคนแรก “ใคร!” ผ่านไปชั่วครู่ เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวสู่สายตาของหลายๆ คน ฉู่หลิวเยว่รู้สึกมั่นใจ เสี่ยวโจว! เขาทั้งรวดเร็วมากและร่างกายมีความยืดหยุ่น ขณะที่กระโดดข้าม เขาหลินไม่กี่ครั้ง ก็มาอยู่ไม่ไกลต่อหน้าหลายคน ต่อมาเขาก็หยุดเคลื่อนไหวลงบนต้นไม้ต้นหนึ่งและเงยหน้ามองดูทุกคน นี่คือเด็กหนุ่มที่ลังเลไปมาอยู่ที่หน้ากระจกทองสัมฤทธิ์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ เขาหน้าตางดงามอย่างมาก ผมสั้นสีทองอ่อนๆ ยิ่งทำให้คนพบเห็นจดจำได้ไม่ลืม พวกเขาประทับใจในตัวเขาอยากลึกซึ้ง แค่เห็นแวบเดียวก็จำได้ทันที “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” เฮ่อจื่อจี้สังเกตเห็นว่าบนตัวของเด็กหนุ่มมีกลิ่นเลือดรุนแรง จนคิ้วของเขาขมวดแน่น แต่เสี่ยวโจวไม่ได้สนใจเขา เพียงกวาดตามองด้วยสีหน้านิ่งเฉย และหมุนตัวกลับไปหักกิ่งไม้หนาประมาณนิ้วหัวแม่มือจากบนต้นไม้พลางพลิกมือพุ่งออกไป! ในเวลาต่อมาเสียงร้องอันเจ็บปวดอย่างทรมานและสั้นก็ดังขึ้นมาไม่ไกล สีหน้าของเฮ่อจื่อจี้กับเฮ่อจื่อหลานเปลี่ยนไป นี่คือเสียงของมนุษย์! นี่เขากำลังฆ่าคนหรือ แต่หลังจากเกิดความแปลกใจในเวลาอันสั้น พวกเขาจึงยอมรับความจริงอย่างรวดเร็ว เพราะในทดสอบบนเขาไท่อินนี้ ชีวิตหรือความตายล้วนไม่สำคัญ! เกี่ยวกับการแข่งขันแม้กระทั่งสังหารกันก็ได้รับอนุญาต! หากตายที่นี่ ก็โทษคนอื่นไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษตัวเองที่แข็งแกร่งไม่พอ! ทว่า… แค่กิ่งไม้เพียงก้านเดียวก็เขวี้ยงมันทิ้งไป แต่กับหนึ่งชีวิตของผู้ฝึกตน… ความแข็งแกร่งเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจสบประหม่าได้จริงๆ! เสี่ยวโจวหันกลับมามอง เมื่อเฮ่อจื่อจี้คิดว่าเขากำลังเข้ามา เขาก็ถอนสายตากลับไปกระโดดเพียงไม่กี่ก้าวและจากไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ผอมบางนั่น ชั่วครู่ก็หายไปโดยสิ้นเชิงในป่านั่น “ข้าคิดว่าเขาจะมาลงมือกับพวกเราเสียอีก!” หัวใจที่สั่นไหวของเฮ่อจื่อจี้ก็วางลงได้ “คนมากมายของพวกเรา ทำให้เขาไม่กล้าทำอันใดวุ่นวาย” ขณะที่พูดอยู่นั้นเขาชำเลืองมองฉู่หลิวเยว่และหรงซิวทั้งสองที่อยู่ข้างๆ มิรู้ว่าเหตุใดเขามักจะรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าเหตุผลที่เด็กหนุ่มนั่นไม่มาเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะเป็นเพราะคนสองคนนี้… อาจเป็นความหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ในที่สุดก็จะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากนี้ได้ ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มนั่น เห็นได้ชัดว่าอยู่เหนือกว่าพวกเขา เมื่อคิดเช่นนี้ เฮ่อจื่อจี้รู้สึกขมขื่นเล็กน้อยในปาก ได้ยินมานานแล้วว่าการเข้าร่วมการทดสองที่เมืองอวิ๋นโจว ล้วนแต่มีผู้ที่มากความสามารถที่เหนือชั้น ซึ่งแต่ละคนช่างโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เขาไม่คาดคิดว่าตนจะได้พบกับคนผู้นี้ อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ! เดิมทีเขาค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง แต่บัดนี้การทดสอบเพิ่งจะดำเนินไปได้ไม่นานนัก ความมั่นใจของเขาก็เกือบจะถูกทำให้ท้อถอยไปอย่างรวดเร็ว ตอนช่วงวัยเด็กนั้น ดูเหมือนจะไม่มีส่งผลผลกระทบใดๆ กับหลายคน หลังจากที่เสี่ยวโจวออกไป พวกเขาก็รีบเดินทางต่อ … ระหว่างทางพวกเขาพบความยุ่งยากอยู่หลายครั้ง แต่ในสายตาของฉู่หลิวเยว่กับหรงซิว นับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นเลย พวกเขาทั้งสองไม่ได้ลงมืออะไรมากนัก ส่วนใหญ่จะส่งให้กับเฮ่อจื่อจี้ทั้งสองคน ความสามารถและความแข็งแกร่งของพี่น้องสองคนนี้ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ …หากไม่เทียบกับพวกฉู่หลิวเยว่ทั้งสองคนนั้น แน่นอนว่าการเปรียบเทียบนี้ช่างดูอันธพาลยิ่งนัก ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ บนตัวของพวกมันเหมือนกับหมาป่าปีศาจปีกเทา มีรอยแผลเป็นที่คล้ายกันมาก เห็นได้ชัดว่ามีคนเลี้ยงสัตว์อสูรไว้ใช้งาน และจงใจปล่อยมันออกมาในเวลาเช่นนี้ มันชัดเจนอย่างมาก! เพียงแค่ต้องการจัดการคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดสอบได้อย่างรวดเร็ว! … สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลายามรุ่งของวันที่สาม มีเสียงนกหวีดที่ไพเราะก้องกังวานดังมาจากบนยอดเขา! ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง ขณะนี้พวกเขาอยู่บนตำแหน่งสูงสองในสามส่วนของภูเขาแล้ว ซึ่งแทบจะไม่เห็นยอดเขาเหนือท้องฟ้า นั้นคือเงาร่างของหงอันที่ลอยอยู่ สองสามวันมานี้ เขาอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เพื่อคอยตรวจการและเป็นผู้เฝ้าสังเกตขั้นตอนการแข่งขันทั้งหมด “ดูเหมือนจะมีคนถึงยอดเขาแล้ว” หรงซิวเลิกคิ้วและพูดขึ้นด้วยเสียงเบา เฮ่อจื่อจี้พี่ชายและน้องสาวเผยให้เห็นสีหน้าดูผิดหวัง ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้อันดับที่หนึ่ง เฮ่อจื่อจี้คิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่ไป๋หลี เห็นชัดๆ ว่าพวกเขามีโอกาสได้ที่หนึ่ง เหตุใด…”
- Home
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ตอนที่ 1998 ที่หนึ่ง ……………….. สิ่งสำคัญกว่าคือ มันดูเหมือนเป็นอสูรประเภทที่ถูกทำให้เชื่อง และยังมีความแตกต่างเล็กน้อยกับการทำสัญญาสัตว์อสูรจากปกติทั่วไป รอยแผลรอบๆ คอของหมาป่าปีศาจปีกเทา รักษาจนหายสนิทหลงเหลือแต่รอยสะเก็ดแผล อีกทั้งยังถูกปกคลุมไปด้วยขนเต็มไปหมด หากไม่มองใกล้ๆ อย่างละเอียดก็คงไม่สังเกตเห็น ดูจากร่อยรอยและสภาพของแผลเป็นนั่น น่าจะค่อนข้างลึกพอสมควร หมาป่าปีศาจปีกเทาตัวนี้ คาดว่าคงทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อย ด้านนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่ หากสามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรระดับเก้าได้ ใครกันที่ลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ นอกเสียจากฝ่ายตรงข้ามคงไม่ได้สนใจกับหมาป่าปีศาจปีกเทาตัวนี้นัก เฮ่อจื่อจี้และเฮ่อจื่อจี้หลานสบตากันและรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และไม่เข้าใจที่ฉู่หลิวเยว่กับเขาจ้องมองหมาป่าปีศาจปีกเทาอยู่ตลอด แต่หากนึกถึงความแข็งแกร่งที่นางเพิ่งแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ คลื่นในใจของคนทั้งสองยังคงไม่อาจสงบลงได้ นางน่าจะมีเหตุผลของนางที่ทำเช่นนี้กระมัง… “ดูแล้วเขาไท่อินนี้ไม่ค่อยสงบเลยจริงๆ” หรงซิวยกมุมปากขึ้นและยิ้มเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น ฉู่หลิวเยว่มองเขาครู่หนึ่ง ก็รู้ว่าทั้งสองคนคิดจะไปด้วยกัน นางพยักหน้าและหัวเราะขึ้น “ใช่แล้ว แต่ครั้งนี้ กลับค่อนข้างคุ้มค่านัก” จากนั้นนางมองไปทางยอดเขา “ไปเถอะ! ไม่รู้ว่าข้างบนจะมีสิ่งใดที่กำลังรอพวกเราอยู่!” … หลายคนยังคงเดินไปยังยอดเขาต่อเช่นกัน อาจเป็นเพราะยังหวาดกลัวกับฉากเมื่อครู่นี้อยู่ เฮ่อจื่อหลานจึงไม่กล้ากําเริบเสิบสานอีก จากนั้นนางจึงวิ่งไปด้านข้างของเฮ่อจื่อจี้และตามเขาไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ นัยน์ตาของนางทั้งอยากรู้อยากเห็นและสงสัย อีกทั้งยังมีความอิจฉาและริษยาอยู่ในนั้น สตรีผู้นี้ดูจากลักษณะแล้วคงยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี ทั้งเนื้อทั้งตัวดูธรรมดาไม่มีส่วนไหนสะดุดตาแม้แต่น้อย แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าฝีมืออันแข็งแกร่งของนางจะร้ายกาจถึงขั้นนั้น ด้วยมาตรฐานเช่นนี้ คาดว่าในการทดสอบจะสามารถติดอันดับต้นๆ ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งสามีท่านนั้นของนาง ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้ลงมืออะไร แต่เฮ่อจื่อหลานก็ไม่กล้าดูแคลนพวกเขาอีก เมื่อไม่มีเสียงเอะอะโวยวายของเฮ่อจื่อหลานแล้ว บริเวณรอบๆ ก็เงียบลงมากในทันที เฮ่อจื่อจี้ต้องการเอ่ยปากถามสองสามคําอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงยอมล้มเลิกไป เกรงว่าสองคนนี้จะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า… หลายคนจึงเดินไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้ อาจเป็นเพราะลมปราณเลือดของหมาป่าปีศาจปีกเทาบนตัวของนาง ที่ค่อนข้างสร้างความน่าสะพรึงกลัว หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามพวกเขาก็ไม่เจอกับความยุ่งยากอะไรอีก พรึบ! เสียงดังสนั่นขึ้นอย่างกระทันหัน! หลายคนหยุดฝีเท้าลงพร้อมกัน เฮ่อจื่อจี้พูดเตือนออกมาเป็นคนแรก “ใคร!” ผ่านไปชั่วครู่ เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวสู่สายตาของหลายๆ คน ฉู่หลิวเยว่รู้สึกมั่นใจ เสี่ยวโจว! เขาทั้งรวดเร็วมากและร่างกายมีความยืดหยุ่น ขณะที่กระโดดข้าม เขาหลินไม่กี่ครั้ง ก็มาอยู่ไม่ไกลต่อหน้าหลายคน ต่อมาเขาก็หยุดเคลื่อนไหวลงบนต้นไม้ต้นหนึ่งและเงยหน้ามองดูทุกคน นี่คือเด็กหนุ่มที่ลังเลไปมาอยู่ที่หน้ากระจกทองสัมฤทธิ์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ เขาหน้าตางดงามอย่างมาก ผมสั้นสีทองอ่อนๆ ยิ่งทำให้คนพบเห็นจดจำได้ไม่ลืม พวกเขาประทับใจในตัวเขาอยากลึกซึ้ง แค่เห็นแวบเดียวก็จำได้ทันที “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” เฮ่อจื่อจี้สังเกตเห็นว่าบนตัวของเด็กหนุ่มมีกลิ่นเลือดรุนแรง จนคิ้วของเขาขมวดแน่น แต่เสี่ยวโจวไม่ได้สนใจเขา เพียงกวาดตามองด้วยสีหน้านิ่งเฉย และหมุนตัวกลับไปหักกิ่งไม้หนาประมาณนิ้วหัวแม่มือจากบนต้นไม้พลางพลิกมือพุ่งออกไป! ในเวลาต่อมาเสียงร้องอันเจ็บปวดอย่างทรมานและสั้นก็ดังขึ้นมาไม่ไกล สีหน้าของเฮ่อจื่อจี้กับเฮ่อจื่อหลานเปลี่ยนไป นี่คือเสียงของมนุษย์! นี่เขากำลังฆ่าคนหรือ แต่หลังจากเกิดความแปลกใจในเวลาอันสั้น พวกเขาจึงยอมรับความจริงอย่างรวดเร็ว เพราะในทดสอบบนเขาไท่อินนี้ ชีวิตหรือความตายล้วนไม่สำคัญ! เกี่ยวกับการแข่งขันแม้กระทั่งสังหารกันก็ได้รับอนุญาต! หากตายที่นี่ ก็โทษคนอื่นไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษตัวเองที่แข็งแกร่งไม่พอ! ทว่า… แค่กิ่งไม้เพียงก้านเดียวก็เขวี้ยงมันทิ้งไป แต่กับหนึ่งชีวิตของผู้ฝึกตน… ความแข็งแกร่งเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจสบประหม่าได้จริงๆ! เสี่ยวโจวหันกลับมามอง เมื่อเฮ่อจื่อจี้คิดว่าเขากำลังเข้ามา เขาก็ถอนสายตากลับไปกระโดดเพียงไม่กี่ก้าวและจากไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ผอมบางนั่น ชั่วครู่ก็หายไปโดยสิ้นเชิงในป่านั่น “ข้าคิดว่าเขาจะมาลงมือกับพวกเราเสียอีก!” หัวใจที่สั่นไหวของเฮ่อจื่อจี้ก็วางลงได้ “คนมากมายของพวกเรา ทำให้เขาไม่กล้าทำอันใดวุ่นวาย” ขณะที่พูดอยู่นั้นเขาชำเลืองมองฉู่หลิวเยว่และหรงซิวทั้งสองที่อยู่ข้างๆ มิรู้ว่าเหตุใดเขามักจะรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าเหตุผลที่เด็กหนุ่มนั่นไม่มาเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะเป็นเพราะคนสองคนนี้… อาจเป็นความหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ในที่สุดก็จะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากนี้ได้ ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มนั่น เห็นได้ชัดว่าอยู่เหนือกว่าพวกเขา เมื่อคิดเช่นนี้ เฮ่อจื่อจี้รู้สึกขมขื่นเล็กน้อยในปาก ได้ยินมานานแล้วว่าการเข้าร่วมการทดสองที่เมืองอวิ๋นโจว ล้วนแต่มีผู้ที่มากความสามารถที่เหนือชั้น ซึ่งแต่ละคนช่างโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เขาไม่คาดคิดว่าตนจะได้พบกับคนผู้นี้ อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ! เดิมทีเขาค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง แต่บัดนี้การทดสอบเพิ่งจะดำเนินไปได้ไม่นานนัก ความมั่นใจของเขาก็เกือบจะถูกทำให้ท้อถอยไปอย่างรวดเร็ว ตอนช่วงวัยเด็กนั้น ดูเหมือนจะไม่มีส่งผลผลกระทบใดๆ กับหลายคน หลังจากที่เสี่ยวโจวออกไป พวกเขาก็รีบเดินทางต่อ … ระหว่างทางพวกเขาพบความยุ่งยากอยู่หลายครั้ง แต่ในสายตาของฉู่หลิวเยว่กับหรงซิว นับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นเลย พวกเขาทั้งสองไม่ได้ลงมืออะไรมากนัก ส่วนใหญ่จะส่งให้กับเฮ่อจื่อจี้ทั้งสองคน ความสามารถและความแข็งแกร่งของพี่น้องสองคนนี้ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ …หากไม่เทียบกับพวกฉู่หลิวเยว่ทั้งสองคนนั้น แน่นอนว่าการเปรียบเทียบนี้ช่างดูอันธพาลยิ่งนัก ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ บนตัวของพวกมันเหมือนกับหมาป่าปีศาจปีกเทา มีรอยแผลเป็นที่คล้ายกันมาก เห็นได้ชัดว่ามีคนเลี้ยงสัตว์อสูรไว้ใช้งาน และจงใจปล่อยมันออกมาในเวลาเช่นนี้ มันชัดเจนอย่างมาก! เพียงแค่ต้องการจัดการคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดสอบได้อย่างรวดเร็ว! … สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลายามรุ่งของวันที่สาม มีเสียงนกหวีดที่ไพเราะก้องกังวานดังมาจากบนยอดเขา! ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง ขณะนี้พวกเขาอยู่บนตำแหน่งสูงสองในสามส่วนของภูเขาแล้ว ซึ่งแทบจะไม่เห็นยอดเขาเหนือท้องฟ้า นั้นคือเงาร่างของหงอันที่ลอยอยู่ สองสามวันมานี้ เขาอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เพื่อคอยตรวจการและเป็นผู้เฝ้าสังเกตขั้นตอนการแข่งขันทั้งหมด “ดูเหมือนจะมีคนถึงยอดเขาแล้ว” หรงซิวเลิกคิ้วและพูดขึ้นด้วยเสียงเบา เฮ่อจื่อจี้พี่ชายและน้องสาวเผยให้เห็นสีหน้าดูผิดหวัง ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้อันดับที่หนึ่ง เฮ่อจื่อจี้คิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่ไป๋หลี เห็นชัดๆ ว่าพวกเขามีโอกาสได้ที่หนึ่ง เหตุใด…”
ตอนที่ 1999 การกระทำอันลึกลับ
………………..
เหตุใดจึงจงใจถ่วงเวลา
“ไม่ว่าจะเป็นอันดับหนึ่งหรือไม่ ขอแค่เป็นกลุ่มแรกที่ได้ไป ก็ถือว่าผ่านการทดสอบแล้ว ไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ขัดจังหวะคำพูดของเขาด้วยรอยยิ้ม
“พวกข้ามาเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ เดิมทีเป็นเรื่องบังเอิญ อันดับที่หนึ่งสำหรับพวกเขากลับไม่ได้นึกถึงมันมากเกินไปนัก ขอเพียงผลลัพธ์สุดท้ายเหมือนกัน คนอื่นล้วนไม่สำคัญ ใช่หรือไม่”
เฮ่อจื่อจี้พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
เขาดูออกว่าคำพูดที่ฝ่ายตรงข้ามพูดออกมานั่นดูจริงใจอย่างแท้จริง
พวกเขาไม่ได้สนใจอันดับที่หนึ่งนั่นจริงๆ
เป็นไปได้ว่าสิ่งนี้คือความมั่นใจในพลังที่แข็งแกร่งกระมัง…
เฮ่อจื่อจี้รู้สึกทอดถอนใจครู่หนึ่ง ทั้งรู้สึกอิจฉาทั้งปล่อยวางอยู่บ้าง
อันที่จริงที่พวกเขาพูดก็ถูก ขอเพียงสามารถอยู่ในรายชื่อในอันดับสุดท้าย เช่นนั้นก็ถือว่าได้ที่หนึ่ง และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านั้น
“ถึงแม้ว่าจะมีคนไปถึงแล้ว การทดสอบเช่นนี้น่าจะใกล้สิ้นสุดลงแล้ว”
หรงซิวมองไปทางฉู่หลิวเยว่
“พวกเราก็ไปเถอะ”
…
หลังจากที่ตัดสินใจทำสิ่งนี้แล้วความเร็วของหลายคนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
บนทางก็ไม่ได้เจอกับปัญหาอะไรอีก และถนนไม่ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็ถึงยอดเขา
ในขณะนั้นบนยอดเขามีคนยืนอยู่สิบแปดคน
เสี่ยวโจวก็อยู่ในนั้นด้วย
“นึกไม่ถึงว่าพวกเขาทั้งสี่คนจะมาถึงพร้อมกันด้วยหรือ”
หงอันลงมาจากตำแหน่งกลางอากาศและบันทึกลำดับรายชื่อทีละคนๆ
เมื่อเห็นพวกเขาหลายคน ในตาของเขาก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นอยู่หลายส่วน
“ข้าจำได้ว่า ตอนพวกเจ้าเริ่มต้นจากเชิงเขา ก็ลงมือพร้อมกันไม่ใช่หรือ”
ดูฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวไม่มีเหตุผลที่จะเอ่ยปาก เฮ่อจื่อจี้รู้จึงรีบพูดขึ้น
“ใช่”
หงอันมองพวกเขา
ทั้งสี่คนนี้แทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดเลย บนตัวเพียงเปื้อนคราบเลือดนิดหน่อยเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ ที่เข้าร่วม แต่คนทั้งหมดสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้นั้นกลับมีน้อยนัก
ดูแล้วพลังไม่ธรรมดา
สีหน้าของหรงอันดูกระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อย
“ยินดีกับพวกเจ้าที่ผ่านการทดสอบ เช่นนั้นก็แจ้งชื่อเถอะ!”
เฮ่อจื่อจี้ที่อยู่ข้างหน้าสุดแจ้งชื่อและอายุของตน
ตามมาด้วยเฮ่อจื่อหลานเป็นคนต่อไป
หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่เป็นคนสุดท้าย แน่นอนว่าพวกเขาแจ้งชื่อโดยใช้นามแฝง
แต่ทว่าตอนแจ้งอายุ จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็เปลี่ยนความคิด และเปลี่ยนคำตอบที่เตรียมไว้ก่อนหน้า
“สิบเจ็ด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของหงอันพลันสว่างขึ้น และมองฉู่หลิวเยว่อย่างละเอียดอีกครั้ง
“เจ้าอายุแค่สิบเจ็ดหรือ”
การปลอมตัวของฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ดูเหมือนอายุประมาณยี่สิบปีได้
ตอนนี้ที่นางพูดว่าอายุสิบเจ็ดขึ้นมาอย่างกระทันหัน เห็นได้ชัดว่าดูเด็กลงอย่างมากในทันที
แต่หงอันกลับดูเหมือนดีใจเป็นพิเศษ
“ใช่”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับ และถามขึ้นอย่างไม่สนใจ
“มีอันใดไม่ถูกงั้นหรือ”
หงอันหัวเราะอย่างเก้อเขิน
“ไม่มี…ไม่มี! ข้าเพียงแต่คิดว่า อายุสิบเจ็ดปี…อนาคตไกลอย่างแน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มจางๆ เหมือนจะเชื่อในคำพูดประโยคนี้
“จริงสิ ยังพอมีเวลาอีกสักพักกว่าการทดสอบจะสิ้นสุดลง พวกเจ้าพักผ่อนกันก่อนเถอะ”
ท่าทางของหงอันดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
และนี่เพียงเพราะได้ยินฉู่หลิวเยว่บอกว่าอายุน้อยกว่าที่คาดไว้
อายุสิบเจ็ด…นับว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในที่แห่งนี้
ฉู่หลิวเยว่หลบตาลง เพื่อกลบคลื่นในดวงตาลงและค่อยๆ ตอบกลับพลางถอยหลังลงไป
สายตามากมายรอบๆ จ้องมองบนตัวของพวกเขาแต่ละคน
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หลังจากนั้นจึงถอยไปด้านข้างและเริ่มรอคอยอย่างสงบนิ่ง
…
ผ่านไปอีกสองชั่วยาม จนมาถึงเวลาเที่ยง
ทางด้านหลังยังมีคนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อคนที่ที่ห้าสิบเอ็ดมาถึง ในที่สุดหงอันเก็บสมุดในมือไป
ขณะเดียวกันเขาเป่านกหวีดขึ้นอีกครั้ง
เสียงนี้หมายความว่าคนเหล่านั้นที่ยังมาไม่ถึงได้ถูกคัดออกแล้ว!
ทว่าการทดสอบได้ถูกตัดสินแล้วใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
หลังจากเดินไปมาตรงที่เดิมสักพักหนึ่ง ในที่สุดคนเหล่านี้ก็ทยอยกลับมาทีละคน
ทุกคนที่อยู่บนยอดเขาต่างก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี
เมื่อผ่านการทดสอบจึงหมายถึงพวกเขาสามารถเข้าสู่อาณาจักรเสินซวี่ได้แล้ว!
หลังจากแน่ใจว่ารอบๆ ไม่มีคนอื่นมารบกวน หงอันจึงมองไปที่ทุกคนตรงหน้าเขา
บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มชื่นชมขึ้น
“อันดับแรกขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ผ่านการทดสอบ! นี่หมายความว่าพวกเจ้าเข้าใกล้ระดับที่สูงขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว!”
เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้หลายคนรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
บนใบหน้าพวกเขาแสดงความตื่นเต้นและกระตือรือร้นกว่าตอนที่อยู่เชิงเขามากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“แต่ว่า ทุกคนควรรู้ไว้ว่าหลังจากนี้พวกเราต้องรออยู่ที่นี่หนึ่งเดือน และค่อยมุ่งหน้าไปที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ ดังนั้นในเวลาอันสั้นเช่นนี้ทุกคนที่อยู่ที่นี่สามารถพักฟื้นร่างกายและฝึกฝนตนต่อได้ หลังจากหนึ่งเดือนพวกเราจะออกเดินทาง!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าต่างไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อทุกคนฟังจบล้วนดีใจอย่างมาก
“เดิมที่การอยู่ที่นี่ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เพื่อให้พวกเราได้ปรับตัวกับสภาพร่างกายของตนอย่างดีที่สุด!”
เฮ่อจื่อจี้เผยให้เห็นสีหน้าดูโล่งใจ
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มที่มุมปาก
ถ้าง่ายเช่นนั้นจริงๆ ก็คงดี
แต่น่าเสียดายนัก…
หรงอันผู้นี้คงไม่ได้มีความคิดที่ดีอะไร
พวกเขาหลายคนส่วนใหญ่ล้วนได้รับบาดเจ็บ แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้ร้ายแรงมากนัก
คนอื่นๆ ต่างทยอยหาที่รอของตนเอง และคิดที่จะรอที่หนึ่งเดือน
เสี่ยวโจวไม่ได้เข้ามาทักทายฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ และเขายังนั่งอยู่คนเดียว ตรงข้างหน้าทางด้านขวาของฉู่หลิงเยว่
เพียงมองขึ้นไปก็จะเห็นฝ่ายตรงข้าม
ยอดเขาของเขาไท่อินนี้ เหมือนถูกตัดขาดเป็นส่วนๆ ทั้งราบเรียบและกว้างอย่างมาก
ซึ่งมากพอที่จะรองรับพวกเขาห้าสิบเอ็ดคนได้
ทุกคนต่างนั่งแยกกัน หลังจากกล่าวทักทายกันไม่กี่ประโยคก็เงียบเสียงลง
บางคนเริ่มลองฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเอง
คนอื่นๆ กำลังดูดซับพลังสวรรค์และโลกจึงเริ่มการฝึกฝน
อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูทั้งหมดล้วนปกติอย่างมาก
หลังจากหงอันนับจำนวนคนที่เหลือเสร็จแล้ว ก็กลับไปบนท้องฟ้าและยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้ามองอยู่แวบหนึ่ง
เวลาเช่นนี้แล้ว เหตุใดเขายังขึ้นไปอยู่อีกหรือ
นางมักจากรู้สึกถึงท่าทางที่กวาดตามองเช่นนี้อย่างอวดดีและแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน
แม้แต่…ความคลุมเครือทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง
สุดท้ายฉู่หลิวเยว่ยังคงกดความคิดเอาไว้ในใจและค่อยๆ หลับตาลง
…
เวลาเคลื่อนผ่านเงียบสงัด ลมภูเขาพัดผ่านปลิวว่อน
พลบค่ำมาเยือน พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่กลางนภา
ความเยือกเย็นจึงพัดผ่านเข้ามา
จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็ลืมตาขึ้น!
พลังปราณเดิมในร่างของนาง กำลังเคลื่อนผ่านอย่างสงบ!