ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2012 นามของเขา
ภายในนัยน์ตาคู่นั้นแฝงแววระแวดระวังเต็มเปี่ยม!
ทั่วทั้งร่างเขาแข็งเกร็งราวกับพร้อมลงมือได้ทุกเวลา!
ทว่าสำหรับมั่วสือเชียน ท่าทางเคลื่อนไหวและท่าทีข่มขู่เช่นนี้ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงแม้แต่น้อย
กะอีแค่จอมยุทธ์ระดับเก้า เขาไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว
แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหนุ่มนี่จะต้านทานการโจมตีครั้งนั้นของโต้วหมิ่นได้ แต่ภายในสายตาของมั่วสือเชียนก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ข้อมือของเขาเงื้อขึ้นเล็กน้อย
แรงเปี่ยมพลังสายหนึ่งปราดโจมตีเข้ามา ทำเอาเชียงหว่านโจวเหน็บชาไปทั้งศอก จำต้องปล่อยมืออย่างช่วยไม่ได้
กระบี่เทพเมฆาสำริดพลันแล่นทะยานไปยังทิศทางเบื้องหน้า
เชียงหว่านโจวมีสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันใด
“เจ้า…“
เขาเพิ่งได้เอ่ยปาก ก็พลันรู้สึกว่าราวกับมีมือที่มองไม่เห็นเข้าบีบรัดคอของเขาอย่างรุนแรง!
สุ้มเสียงของเขาพลันติดขัด สีหน้าที่เดิมทีซีดเผือดหาสิ่งใดเปรียบก็แดงเถือกขึ้นมาทันตา!
ช่องว่างของพลังทั้งสองคนนั้นใหญ่เกินไป อีกทั้งเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ จึงไร้หนทางขัดขืนอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่มองกระบี่เทพเมฆาสำริดตกอยู่ในมือมั่วสือเชียนตาปริบๆ เช่นนี้
…
คนทุกผู้ต่างเงียบลงเช่นกัน
จากฟ้าจรดดิน ความเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์
สายตานับไม่ถ้วนต่างจดจ้องไปทางมั่วสือเชียน
มีทั้งตกใจ เคารพนับถือ และหวาดกลัว…
…
“ลมปราณสายนี้… ชวนให้คุ้นเคยยิ่งนัก”
หลังจากที่มั่วสือเชียนลองกะน้ำหนักของกระบี่เทพเมฆาสำริดและตรวจสอบใกล้ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็มีข้อสันนิษฐานปรากฏขึ้นมาในใจ
เขาเหลือบสายตาขึ้นมามองเชียงหว่านโจวอีกรอบหนึ่ง
“เจ้าเป็นคนของนาง”
คำพูดนี้มิใช่คำถาม หากแต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราว
เขาไม่ได้พูดออกมาว่า “นาง” ที่ว่าคือใคร
ทว่าเจตนาที่แฝงอยู่ในคำพูดกลับชัดเจนเสียยิ่งกว่าอันใดดี!
เชียงหว่านโจวเม้มริมฝีปากแน่น มิได้เอ่ยอันใดออกไป
แต่เห็นได้ชัดว่ามั่วสือเชียนเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบของเขา
ลมปราณของคนผู้นี้ เขาไม่มีทางจำผิดอย่างแน่นอน
“น่าสนใจ… อย่างที่คิดไว้จริงๆ ว่าเจ้านายเป็นอย่างใด ข้ารับใช้ก็เป็นอย่างนั้น”
มั่วสือเชียนหัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง หากแต่ในน้ำเสียงกลับมิได้มีแววขบขันตามเลยแม้แต่น้อย
ฉู่หลิวเยว่เป็นคนไม่กลัวตายเช่นไร เจ้าหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน!
แล้วยังบุกตรงเข้ามาถึงข้างในนี้…
“ใครปล่อยให้เขาเข้ามา?”
มั่วสือเชียนพลันเอ่ยถามขึ้นมา
หงอันสองขาอ่อนแรง รีบตวัดสายตาเป็นเชิงขอความช่วยเหลือไปทางโต้วหมิ่น
มาถึงยามนี้แล้ว เกรงว่าจะมีแต่ให้โต้วหมิ่นช่วยออกปากพูดแทนเขา เขาถึงจะพอมีความหวังเอาชีวิตรอดได้อย่างริบหรี่…
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ โต้วหมิ่นกลับหันศีรษะขวับมามองเขาพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนเป็นปม
“มัวแต่ยืนอ้ำอึ้งอันใด? ไม่ได้ยินที่ท่านเจ้าสำนักถามรึ!”
หงอันรีบหมุนกายกลับ ก่อนจะโค้งตัวแล้วตอบว่า
“เรียนท่านเจ้าสำนัก การตีหลอมครานี้เป็นความรับผิดชอบของหงอันทั้งหมด”
ในหัวของหงอันพลันขาวโพลน
โต้วหมิ่นยังคงเอ่ยสำทับด้วยสีหน้าขมขื่นแลเศร้าโศกสุดกำลัง
“… ตอนนั้นเป็นข้าน้อยที่ตาไม่ดีถึงได้เลือกเขามา คาดไม่ถึงว่าเขาจะกระทำเรื่องเช่นนี้! สมควรได้รับโทษ! คนของข้าน้อยไม่ตรวจสอบให้ดี ทั้งยังบกพร่องต่อหน้าที่ ขอท่านเจ้าสำนักโปรดลงทัณฑ์ด้วย!”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนกำลังร้องขอความเมตตา ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการผลักปัญหาทั้งหมดโยนไปให้ตัวหงอัน
โต้วหมิ่นรู้แจ้งแก่ใจว่าเรื่องครานี้ลุกลามใหญ่โตถึงขนาดนี้ เขาย่อมไม่มีหนทางให้หลบหลีกออกไปได้อย่างปลอดภัย
แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังคงปกป้องชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้!
ส่วนหงอันน่ะหรือ…
ป่านนี้แล้ว ตัวเขาเองยังแทบปกป้องไว้ไม่รอด ไหนเลยจะไปสนใจเขาได้?
หงอันคิดไม่ถึงว่าโต้วหมิ่นที่โปรดปรานตนเองมาโดยตลอด พอถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวานกลับไม่หลงเหลือทางรอดแก่เขาแม้สักเสี้ยว ถึงกระทั่งเอามีดแทงเขาจากด้านหลังด้วยซ้ำ!
นี่คือกลัวเขาจะตายไม่เร็วพออย่างนั้นหรือ!?
ชั่วขณะนั้น เพลิงโทสะของหงอันเองก็ปะทุขึ้นมาทันควัน
เขาเอ่ยตอบไปทันทีว่า
“ท่านเจ้าสำนักโปรดให้ความยุติธรรมด้วย! เรื่องราวครั้งนี้เป็นข้าน้อยกระทำผิดจริง! ข้าน้อย…“
“เจ้าทำได้ดีมาก”
มั่วสือเชียนหมดความอดทนจะฟังพวกเขาโต้เถียงโยนความผิดกันไปมา จึงเอ่ยตัดบทหงอันขึ้นมาประเดี๋ยวนั้น
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะกำลังพักผ่อน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนี้เขาล้วนรู้อยู่แล้วทั้งสิ้น
ในใจพวกเขาแต่ละคนคิดเห็นเป็นเช่นไร เขาเองก็รู้แจ้งเห็นชัด
เมื่อครู่… ท่านเจ้าสำนักพูดว่ากระไรนะ?
เขาบอกว่า…ทำได้…ดีมากรึ?
หงอันแทบจะนึกว่าตัวเองหูฝาดไป จึงเงยศีรษะมามองมั่วสือเชียนแวบหนึ่งด้วยไม่อยากจะเชื่อ
ทว่าเพียงแค่แวบเดียว เขาก็รู้สึกถึงลางเตือนเหตุ จึงรีบร้อนก้มศีรษะลงต่ำ
“พาพวกเขากลับมาก่อนกำหนดย่อมมีโทษหนัก แต่ครั้งนี้จะนับว่ายังมีความดีความชอบอยู่บ้าง”
ความหมายของมั่วสือเชียนชัดเจนอย่างยิ่ง
เป็นเพราะการมีอยู่ของเด็กหนุ่มผมทองผู้นี้ จึงไม่คิดสืบสวนหาความผิดของหงอัน!
หงอันตื่นตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งยังมีความงุนงงผสม แต่ที่มีมากกว่าคือความรู้สึกปลื้มปิติเพราะรอดชีวิต!
ที่ท่านเจ้าสำนักพูดเช่นนี้… เขาไม่ต้องดับดิ้น แม้แต่กระทั่งโทษทัณฑ์ก็ไม่ต้องรับด้วย!?
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพียงเพราะเขาพาเด็กหนุ่มผมทองผู้นี้กลับมาอย่างนั้นหรือ?
โต้วหมิ่นพลันรู้สึกอับอายขายขี้หน้าขึ้นมาโดยพลัน
คำพูดเช่นนี้ของมั่วสือเชียนเหมือนกับฝ่ามือที่ตบหน้าเขาแรงๆ ฉาดหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่ว่า…
เด็กหนุ่มผมทองผู้นี้มีที่มาอย่างใดกันแน่ ถึงได้ทำให้ท่านเจ้าสำนักให้ความสำคัญแก่เขามากขนาดนี้!?
ไม่เพียงแต่พวกเขา ตอนนี้ในใจของทุกคนเองก็ล้วนเกิดคำถามเดียวกัน
เด็กหนุ่มผมทองผู้นี้มีความสามารถและพละกำลังไม่เลว แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายอันใดแบบนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เขาเพิ่งพยายามลงมือกับมั่วสือเชียนอย่างสุดความสามารถด้วย
คนประเภทนี้ปกติแล้วย่อมต้องตายตกสถานเดียว
ตัวเขามีอันใดที่คู่ควรจนมั่วสือเชียนให้ความสำคัญกัน?
หรือว่า… จะเป็นเพราะกระบี่เล่มนั้นกัน?
แม้กระบี่เทพเมฆาสำริดเล่มนี้จะไม่นับว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุด ทว่าเมื่อมองดูดีๆ ก็พบว่ามันต้องใช้ความคิดไม่น้อยเลยทีเดียวกว่าจะหลอมสร้างขึ้นมาได้
ฉู่หลิวเยว่ยอมมอบกระบี่เล่มนี้ให้ เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กหนุ่มผมทองผู้นี้หาได้มีความสัมพันธ์กับนางเพียงผิวเผิน
“ตอนนี้นางแทบเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน”
มั่วสือเชียนพึมพำราวกับจมสู่ห้วงความคิด ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมาคำรบหนึ่ง
“ถ้านางรู้ว่าเจ้ากำลังตกอยู่ในเงื้อมือของข้า ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาเช่นไรบ้าง”
แน่นอนว่าไม่มีทางอารมณ์ดีอยู่ได้แน่
เชียงหว่านโจวจ้องเขม็งไปยังเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้า
เพราะมีหมอกดำปกคลุม เขาจึงมองเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจน กระทั่งลักษณะของร่างก็เห็นได้เพียงแค่รูปร่างคร่าวๆ โดยประมาณเท่านั้น
เขารู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายพละกำลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
เขาไม่ได้ประสบกับลมปราณที่ให้ความรู้สึกอันตรายเช่นนี้มานานมากแล้ว
มั่วสือเชียนถามขึ้นว่า
“เจ้าชื่ออันใด?”
เชียงหว่านโจวไม่ตอบ
มั่วสือเชียนจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เจ้าคิดว่าแบบนี้แล้ว ข้าจะไม่มีวิธีจัดการกับเจ้างั้นหรือ?”
รูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มผมทองผู้นี้สะดุดตาอย่างมาก แค่ไปสืบหาข่าวนิดหน่อย ก็รู้ตัวตนของเขาได้ไม่ยากแล้ว
สายตาของมั่วสือเชียนหยุดอยู่ที่บรรดาฝูงชนเบื้องล่าง
สายตาคมกริบแลเย็นยะเยือกดุจคมมีดแหลมที่เข้าทิ่มแทงร่างของพวกเขาก็มิปาน!
คนบางส่วนถึงกับเข่าอ่อน แทบจะยืนไม่ไหวอยู่รอมร่อ
“ใครสามารถบอกชื่อและที่มาของคนผู้นี้ได้ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
มั่วสือเชียนกล่าว
บรรดาฝูงชนต่างเงียบกริบ มิมีผู้ใดตอบออกไป
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาไม่รู้เลย ต่อให้รู้ก็พูดไม่ออกอยู่ดี
เชียงหว่านโจวเพิ่งจะช่วยชีวิตพวกเขามาหมาดๆ เลยหนา!
สุ้มเสียงของมั่วสือเชียนราบเรียบลงหลายส่วน ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม
“โอ้? ไม่กล้าพูดอย่างนั้นหรือ?”