ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2015 ร่างศักดิ์สิทธิ์พันเงา / ตอนที่ 2016 ประมือ
ตอนที่ 2015 ร่างศักดิ์สิทธิ์พันเงา / ตอนที่ 2016 ประมือ
………………..
ตอนที่ 2015 ร่างศักดิ์สิทธิ์พันเงา
“วันนี้ไม่เหมือนเช่นวันวาน บัดนี้เจ้าสำนักพลังกล้าแกร่งขึ้นมาก ย่อมไม่มีทางที่พวกมันจะทำร้ายเขาได้ง่ายๆ!”
โต้วหมิ่นลังเลเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“อีกอย่าง อย่าลืมว่าที่นี่คือที่ไหน! อาณาเขตของถ้ำปีศาจทมิฬหาใช่ที่ที่พวกเขาจะมาอวดดีได้ง่ายๆ!”
ตอนนั้นเมื่อหลายปีก่อน เหตุผลที่พวกเขาสูญเสียไพร่พลด้วยน้ำมือของหรงซิวไปมาก ข้อแรกคือเพราะตอนนั้นเจ้าสำนักกำลังปิดด่านฝึกตน มิอาจลงมือได้ อีกข้อหนึ่งคือ ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้มีการตั้งรับแม้แต่น้อย การเตรียมการจึงไม่เพียงพอ
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน
เจ้าสำนักสามารถต่อสู้ได้ ส่วนพวกเขาเองก็มีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาแล้ว
ครั้งนี้เหตุการณ์เช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง!
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ บรรดาฝูงชนต่างพากันพยักหน้าหงึกหงักพลางมองไปทางค่ายกลสีทองเป็นตาเดียว เริ่มการรอคอยอันทรมานไร้ที่สิ้นสุด
…
ภายในค่ายกล
ชั่วพริบตาที่มั่วสือเชียนเห็นดาบยาวสูญสลายกลายเป็นผุยผง สีหน้าของเขาพลันมืดครื้มลง
พลังของหรงซิวแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด!
“พวกเจ้าพรางตัวกันได้แนบเนียนไม่เบา… ข้าดูเบาพวกเจ้าไปแล้วจริงๆ!”
ภายในน้ำเสียงของมั่วสือเชียนแฝงแววกัดฟันกรอดด้วยมีน้ำโห
ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็มิได้เอาใจไปคิดให้ถี่ถ้วน
เพราะเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะมาเยือนถึงที่นี่จริงๆ!
ผ่านมาหลายปี เขาถึงขั้นพาพวกถ้ำปีศาจทมิฬทั้งหมดมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ไม่เคยเปิดเผยร่องรอยแม้สักเสี้ยว
“พวกเจ้าทลายประตูของท่าเรือดอกท้ออย่างนั้นหรือ!?”
นอกจากข้อนี้ เขาก็คิดความเป็นไปได้อื่นไม่ออกแล้ว
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงน้อยๆ
ประตูบานนั้นมีปัญหาเหมือนอย่างที่คิดไว้จริงๆ!
ทั้งยังมีความข้องเกี่ยวกับมั่วสือเชียนด้วย!
“ท่าเรือดอกท้อกลายเป็นของข้าแล้ว มั่วสือเชียน เจ้าจะถามเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออันใดอีก?”
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เอ่ยอย่างเชื่องช้า
“วันที่สำนักกระบี่ทมิฬของเจ้าพ่ายแพ้หมดรูป เจ้าก็คงจะคิดถึงวันนี้ไว้แล้วสินะ”
มั่วสือเชียนแค่นหัวเราะ
“ยึดครองท่าเรือดอกท้อสำเร็จ เอาชนะอี้เหวินเทาได้ ก็เลยพูดจามั่นอกมั่นใจแบบนี้ได้สินะ…”
หลังจากที่เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้น เขาค่อนข้างจะตกใจเลยทีเดียว
เพียงแต่ตอนนั้นเขามีเรื่องให้ต้องสะสาง จึงพักเรื่องพวกนี้เอาไว้ชั่วคราว
ใครจะคาดคิดว่าเพิ่งผ่านมาด้วยระยะเวลาสั้นปานนี้ พวกเขาจะบุกเข้ามาถึงที่นี่ได้!
“กล้าเข้ามาที่นี่ตรงๆ พวกเจ้านับว่าใจ…“
“คราก่อนที่ข้าบุกเข้าไปในถ้ำปีศาจทมิฬ เจ้าเองก็พูดแบบนี้”
หรงซิวพลันเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านและสีหน้าเหลิง
“มั่วสือเชียน เจ้าเปลี่ยนบทพูดหน่อยก็ดี”
“เจ้า!”
มั่วสือเชียนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาโดยพลัน!
แต่เขาเองก็ไร้หนทางจะโต้เถียงคำพูดที่หรงซิวว่ามาเช่นกัน
สายตาของฉู่หลิวเยว่เบนไปมองทางเชียงหว่านโจวน้อยๆ
ตอนนี้สภาพบาดแผลบนร่างของเขาทั้งหมดกลับมาเป็นปกติแล้ว
ก่อนหน้านี้คนที่ยังดูมีสภาพน่าหดหู่ ในเวลาชั่วพริบตาก็เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างใดอย่างนั้น
เขาคงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงแล้วสินะ
กระทั่งฉู่หลิวเยว่ยังรู้สึกตกตะลึงอย่างมากกับความจริงข้อนี้
สำหรับด้านนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่แล้ว การคิดจะบุกทะลวงขีดจำกัดขั้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ
นางเอ่ยถามเสียงค่อย
“เสี่ยวโจว เจ้าบุกทะลวงไปเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
เชียงหว่านโจวมองไปที่นาง
บนดวงหน้างามเกลี้ยงเกลาของเขายังคงเปรอะคราบเลือดบางส่วน
แววตาของเขาพลันฉายแววลังเลขึ้นมาครู่หนึ่ง
“ข้า…”
ฉัวะ!
เสียงช่องว่างถูกฉีกกระชากพลันแว่วดังขึ้นมา!
ฉู่หลิวเยว่ตวัดสายตาขึ้นไปมองตามทันที นัยน์ตาของนางพลันหดเล็กลง!
จู่ๆ หมอกสีดำบนร่างของมั่วสือเชียนก็เริ่มหลั่งไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
กลิ่นคาวเลือดผสมปนเปกับไอหนาวเหน็บแผ่กระจายไปทั่วอย่างต่อเนื่อง!
จากนั้น เบื้องหลังของมั่วสือเชียนพลันปรากฏให้เห็นเงาร่างสองร่าง
…ซึ่งทั้งสองร่างนั้นมีรูปร่างลักษณะเหมือนเขาราวกับแกะ!
“ร่างศักดิ์สิทธิ์พันเงา!”
มีข่าวลือเล่าว่าร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้สาปสูญไปนานแล้ว
แม้แต่ฉู่หลิวเยว่ที่เคยพลิกหาข้อมูลเกี่ยวข้องอันนับไม่ถ้วนจากในสำนักหลิงเซียว ก็ได้ยินแค่ชื่อผ่านๆ เท่านั้น ส่วนรายละเอียดกระบวนท่าเป็นอย่างใดมิอาจรู้ได้เลยแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้มาพบเจอเข้าที่นี่!
ยามเห็นเงาร่างที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วทั้งสามร่าง แววตาของฉู่หลิวเยว่ก็อ่อนลงเล็กน้อย
เหตุผลที่ร่างศักดิ์สิทธิ์พันเงายอดเยี่ยมนั่นก็เพราะผู้ฝึกตนสามารถหลอมสร้างร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ไม่จำกัด!
โดยเมื่อยึดตามระดับพลังความแข็งแกร่งของร่างต้น จำนวนร่างศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ฝึกตนสามารถเรียกได้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ไม่แปลกใจเลยว่านี่จะเป็นข้อได้เปรียบใหญ่ข้อหนึ่งในการต่อสู้กับมนุษย์เลยทีเดียว!
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ บรรดาร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกออกมาจากกระบวนท่าล้วนแต่มีพลังเหมือนกับผู้ฝึกตนที่เป็นร่างต้นทุกประการ!
หรือก็คือ สถานการณ์ในตอนนี้เท่ากับว่ามีมั่วสือเชียนสามคนมาเป็นคู่ต่อสู้ให้กับพวกเขาแต่ละคน!
ข้อได้เปรียบจากวิธีสามรุมหนึ่งพังทลายในชั่วพริบตา!
…
ในขณะเดียวกับที่มั่วสือเชียนสามคนปรากฏกายขึ้นมานั่นเอง หมอกสีดำมืดทึบเองก็แบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนเข้าโอบล้อมตัวเขาแต่ละร่างเอาไว้ข้างใน
หมอกสีดำเหล่านั้นดูราวกับแผ่วบางอยู่หลายส่วน หากแต่ยังมิอาจมองเห็นหน้าของมั่วสือเชียนได้ไม่ชัดดังเดิม
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ยังจับสัมผัสได้ว่าสายตาดุร้ายแลเย็นยะเยียบกำลังจ้องมาที่นางเขม็ง!
“มาแล้วก็ดี ข้าเองก็กำลังอยากเห็นพอดีว่าบัดนี้นายท่านเยว่แห่งท่าเรือดอกท้อจะมีความสามารถอันใดบ้าง!”
มั่วสือเชียนกล่าวพลางใช้เท้าสะกิดร่างพุ่งตรงมาหาฉู่หลิวเยว่!
ทว่าทันทีที่เขาเคลื่อนไหว เส้นด้ายสีทองสายหนึ่งก็ลอยทะยานตรงมาทางเขาในชั่วพริบตา!
แววตาของมั่วสือเชียนดุดันขึ้น เขารีบหลบหลีกออกไปทันที
ในเวลาเพียงชั่วครู่ หรงซิวก็ปรากฏกายต่อหน้าฉู่หลิวเยว่แล้ว
“มั่วสือเชียน คู่ต่อสู้ของเจ้า…คือข้า!”
พูดจบ หรงซิวก็เงื้อมือขึ้น เปลวเพลิงสีทองพลันพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา!
แม้ว่าร่างศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองร่างที่ปรากฏออกมาจะมีพลังแบบเดียวกับมั่วสือเชียน
แต่ขอแค่สังหารมั่วสือเชียนตัวจริงได้ ก็จะนับว่าจบสิ้นโดยสมบูรณ์!
มั่วสือเชียนลอบกัดฟันกรอด
เดิมเขาคิดจะต่อสู้กับฉู่หลิวเยว่เสียด้วยซ้ำ!
แต่มีหรงซิวคอยปกป้องอยู่ ย่อมไร้หนทางจัดการไปชั่วขณะแน่
นอกเสียจากว่า…เขาสามารถกำจัดหรงซิวไปได้ก่อน!
“ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็นับรวมหนี้เก่าบัญชีแค้นใหม่มาสะสางทีเดียวเลยแล้วกัน!”
ทันทีที่เอ่ยจบ ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของมั่วสือเชียนก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง!
ชึ่บ!
เขากวาดแขนออกกว้าง เคียวที่มีสีดำแดงกระจายเป็นลวดลายอยู่ทั่วทั้งด้ามเล่มหนึ่งโผล่ออกมาจากกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว!
เพียงแวบเดียวฉู่หลิวเยว่ก็ดูออกว่าสิ่งนี้ไม่เหมือนกับดาบเล่มก่อนหน้านี้ที่หลอมสร้างขึ้นมาจากหมอกดำประหลาดที่หมุนวนรอบตัวเขา
สิ่งนี้ต่างหากคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ของจริง!
อีกทั้ง… แรงกดดันด้านบนยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย!
ทันใดนั้น ความคิดภายในหัวของฉู่หลิวเยว่พลันมีแสงสีขาววาบผ่าน
นี่หาใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับจุนเจ๋อไม่!
แต่นี่คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์…
ของจริงแท้แน่นอน!
“เคียวเก้าอเวจี!”
เกล็ดน้ำแข็งสีโลหิตบางเบาเข้าปกคลุมอย่างไวว่อง!
ฉัวะ!
ทันทีที่คมเคียวตวัดลง ทะเลโลหิตสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา!
หรงซิวสะบัดชายเสื้อคลุม เปลวเพลิงสีทองพุ่งทะยานออกไป!
ตูม!
ชั่วพริบตาที่สีสันสดใสเข้มข้นทั้งสองสายเข้าปะทะหากันอย่างหนักหน่วงกลางอากาศ ก็ระเบิดออกอย่างรุนแรงในทันใด!
อีกฟากหนึ่ง ร่างศักดิ์สิทธิ์แต่ละร่างของมั่วสือเชียนเองก็เริ่มเคลื่อนไหว
ร่างหนึ่งพุ่งตรงไปหาเชียงหว่านโจว อีกร่างหนึ่งก็พุ่งไปข้างๆ ทะยานสู่ด้านหลังของฉู่หลิวเยว่และหรงซิว!
ฉู่หลิวเยว่หมุนกายกลับไปอย่างว่องไว
คิ้วของนางย่นเข้าหากันน้อยๆ จากนั้นก็ชักกระบี่ชื่อเซียวออกมา
“มั่วสือเชียน” ที่ยืนอยู่ตรงข้ามขมวดคิ้ว จากนั้นจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา
เสียงหัวเราะของเขาทั้งแหบพร่าและทุ้มต่ำ
“ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมตัวมาพอดู”
ทั้งสุ้มเสียง น้ำเสียงแทบไม่ต่างอันใดจากมั่วสือเชียนตัวจริงเลยแม้แต่น้อย!
สัญชาตญาณระแวดระวังที่แล่นปราดไปทั่วทั้งร่างของฉู่หลิวเยว่พุ่งสู่ระดับสูงสุด!
…หากดูจากมุมมองปกติ นี่ก็เท่ากับประมือกับมั่วสือเชียนเลยน่ะซี!
พลังของมั่วสือเชียนเหนือกว่าอี้เหวินเทาอย่างเห็นได้ชัด
คิดจะเอาชนะเขา… ยากเย็นราวกับทะยานสู่ฟ้า!
เพียงแต่ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้คาดหวังว่าครานี้จะต้องสู้ชนะ
สิ่งที่นางต้องทำในตอนนี้มีเพียงแค่ยื้อเวลาเอาไว้เท่านั้น!
ฟึ่บ!
ยามเห็นภาพฉากนี้ แววตาของมั่วสือเชียนพลันมีประกายแปลกประหลาดใจเคลื่อนวาบผ่านในท้ายที่สุด
เขารู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้หนานอีฝานสิ้นชีวิตที่ท่าเรือดอกท้อ ทั้งยังรู้ด้วยว่าภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยตกอยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่ กลายเป็นสมบัติของนางไปแล้วเรียบร้อย
แต่ก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะกลายเป็นเจ้าของภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย ในระยะเวลาพันปี ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยไม่เคยเผยให้เห็นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของมันมาก่อน
ดังนั้นแม้แต่มั่วสือเชียนเองก็ได้เห็นภาพฉากนี้ครั้งแรกเช่นเดียวกัน
“ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อย… เจ้าใช้ได้คล่องมือทีเดียว!”
แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะบอกว่าภายในใจของเขามิมีแรงกระเพื่อมเลยแม้แต่น้อย
ตอนแรกเขามีโอกาสจะได้สิ่งนี้มาครองแล้ว
ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาก็เหมือนคนทั่วไป คิดว่าภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยเป็นเพียงสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้หลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น จึงไม่ได้สนใจเท่าไรนัก
บัดนี้พอมาคิดดูแล้ว…
ทว่ามั่วสือเชียนเองก็รู้ว่าสมบัติระดับนี้แท้จริงแล้วล้วนแต่มีจิตวิญญาณ
มิเช่นนั้นคงไม่อดทนรออยู่เป็นเวลานานถึงเพียงนี้ กว่าจะมาสำแดงพลังที่แท้จริงภายในมือของฉู่หลิวเยว่
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มเย็น
“ชมเกินไปแล้ว!”
พูดจบ ความคิดของนางพลันกู่ร้อง ค่ายกลเหล่านั้นก็ทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนเข้าโอบล้อมตัวมั่วสือเชียนเอาไว้!
…
อีกฟากหนึ่ง เชียงหว่านโจวเองก็ต่อสู้อยู่กับร่างศักดิ์สิทธิ์พันเงาของมั่วสือเชียนอยู่เช่นกัน
หากพูดตามความเป็นจริงแล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงอย่างเชียงหว่านโจวเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมั่วสือเชียนอย่างแน่นอน
สำหรับข้อนี้ กระทั่งตัวเชียงหว่านโจวเองก็ยอมรับเช่นกัน
ดังนั้น ทันทีที่คนทั้งสองเริ่มเข้าประมือกัน เชียงหว่านโจวก็คิดเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่มีทางประมือซึ่งหน้ากับมั่วสือเชียนเป็นอันขาด!
เมื่อครู่ยามสถานการณ์ตกสู่ความวุ่นวาย มั่วสือเชียนหยิบเอากระบี่เทพเมฆาสำริดไปโยนเล่นตามใจ เขาที่มือไวตาดีจึงรีบชิงกระบี่กลับมา
ตอนนี้เชียงหว่านโจวจึงกุมกระบี่เทพเมฆาสำริดไว้ ตัดสินใจเลือกว่าจะเข้าโจมตีจากทางด้านข้างเท่านั้น
แม้พลังของเขาจะสู้มั่วสือเชียนไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีดีที่ฝีเท้าคล่องแคล่วว่องไว
ทุกครั้งที่มั่วสือเชียนตัดสินใจลงมือโจมตี เชียงหว่านโจวก็จะหลบหลีกไปก่อนก้าวหนึ่ง
คนทั้งสองดำดิ่งสู่สถานการณ์รบอันน่าเป็นห่วงยิ่ง!
…
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปไม่มีหยุด
ค่ายกลสีทองปิดผนึกเอาไว้หนาแน่น ส่วนด้านในเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้างนั้น คนด้านนอกมิอาจสอดแนมได้เลยแม้แต่น้อย
กระทั่งเสียงก็ไม่มีเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
บรรดาฝูงชนที่กำลังรอก็ค่อยๆ หมดความอดทนจนอยู่ไม่สุขกันทีละน้อย
“ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างใดแล้วบ้าง… เจ้าสำนักประมือกับพวกมันสามคนจะลำบากแค่ไหน!”
“นั่นก็ไม่แน่ เจ้าสำนักเพิ่งออกจากปิดด่านเก็บตัว พลังกล้าแกร่งเพิ่มขึ้นมาก อาจไม่แพ้ให้พวกมันก็ได้!”
“ที่ว่ามาก็ไม่ผิด อีกอย่างพวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเจ้าสำนักกำลังฝึกกระบวนท่าร่างศักดิ์สิทธิ์พันเงา! ต่อให้สามคนร่วมมือกันล้อมโจมตี ก็ไม่มีทางได้เปรียบเจ้าสำนักไปได้!”