ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2030 ความเย็น
ตอนที่ 2030 ความเย็น
………………..
“ใช้วิธีการประเภทนี้ ขืนบังคับปล้นชิงพลังของผู้อื่น สามารถเพิ่มพูนความเร็วในการฝึกตนได้อย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังสามารถทะลวงแต่ละระดับได้สำเร็จภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ สุดขีด เทียบกับวิธีฝึกยุทธ์ทั่วไปแล้ว วิธีการเช่นนี้นับได้ว่าเป็นทางลัดโดยสมบูรณ์ นี่ก็เป็นวิธีการประจำของถ้ำปีศาจทมิฬ”
ผู้อาวุโสลำดับห้าส่ายศีรษะ
“วิธีนี้ ในตอนแรกมีเพียงพวกมั่วเหยาไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้ คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้ พวกเขาทั้งสำนัก ล้วนแทรกเข้าไปคลุกโคลนตมแห่งความละโมบนี้ทั้งหมด”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในฉับพลัน
นี่ก็คลี่คลายความสงสัยก่อนหน้านี้ของนาง
ใช้วิธีการเช่นนี้ฝึกตน ผู้แข็งแกร่งของถ้ำปีศาจทมิฬจึงได้ปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว แต่เพราะเดิมทีก็ไม่ใช่การอาศัยการฝึกตนที่แท้จริงของตนเอง พลังที่ได้มาก็กระดำกระด่างปนเป ความสามารถในการต่อสู้ก็สุดจะอ่อนแอ
เส้นทางการฝึกตนนี้ ไหนเลยจะมีทางลัดกัน
เพื่อที่จะขยายอำนาจของตนเอง ประมุขถ้ำปีศาจทมิฬสั่งให้ทุกคนใช้วิธีการฝึกตนประเภทนี้ แม้ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะสามารถแผ่ขยายสำนักออกไปได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่ใช่วิธีการที่ดี
ก็เทียบกับในวันนี้ ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาไม่น้อย แต่ผู้ที่สามารถสู้ได้จริงๆ กลับมีไม่กี่คน
เมื่อพบเจอกับผู้ที่เก่งกาจ ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นขบวนโดยพลัน
เป็นเพียงเปลือกนอกอันหนึ่งก็เท่านั้น
“คนที่ด้านนอกเหล่านั้น พวกเจ้าคิดจะจัดการอย่างใด”
ผู้อาวุโสลำดับห้าเอ่ยถาม
ในตอนที่มั่วสือเชียนหนีไปก็สังหารไปแล้วกองหนึ่ง แต่เวลานี้ที่ด้านนอกก็ยังมีอีกหลายร้อยคนเลย
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังหรงซิว
หรงซิวยกริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย
หลังจากพวกฉู่หลิวเยว่เข้าไปในโถงตำหนักนั่น ผู้คนทั้งหมดก็รวมกลุ่มกัน
เหนือซากปรักหักพังที่แทบจะถูกทำให้ราบเป็นหน้ากลอง เปลวเพลิงที่ทองชาดสายหนึ่งเรืองรองแผดเผา ราวกับกำแพงผนังผืนหนึ่งอย่างใดอย่างนั้น แยกคนออกมาเป็นสองกลุ่ม
ฝั่งหนึ่งคือพวกเฮ่อจื่อจี้ที่มาเข้าร่วมการทดสอบยุทธ์ อีกฝั่งหนึ่งกลับเป็นผู้เหลือรอดที่พ่ายแพ้ในสนามรบของถ้ำปีศาจทมิฬ เวลานี้พวกเขาล้วนถูกขังอยู่ในกรงโปร่งแสง
ถวนจื่อและเชียงหว่านโจวกำลังรับหน้าที่เฝ้าดู
เชียงหว่านโจวกอดกระบี่ยืนตรง
บนร่างเขาอาบย้อมไปด้วยรอยเลือด มองดูแล้วค่อนข้างจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
แต่เขาก็ยังยืนตัวตรงแน่วอยู่เช่นนั้น ราวกับจะไม่โค้งงอตลอดกาล และไม่ถูกพลังใดกำราบ
บนใบหน้าอันงามสง่าของเขา ความเย็นชาเฉยเมยทั่วทั้งใบ ไม่มีอารมณ์อื่นใด
เวลานี้ก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว
แสงเรืองรองตกกระทบลงบนร่างเขา ผมสั้นสีทองอันอ่อนนุ่มพลิ้วไหวไปตามลม ดุจภาพวาดอย่างใดอย่างนั้น
ทันใดนั้น เชียงหว่านโจวก็รู้สึกว่ามีมือเล็กๆ ข้างหนึ่งกำลังดึงอาภรณ์ของตนเอาไว้
“เสี่ยวโจวๆ”
เขาก้มหน้า
ถวนจื่อกำลังเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“มีเรื่องอันใด”
เชียงหว่านโจวเดิมทีไม่ใช่คนคิดอยากจะพูดมากนัก แต่เมื่อนึกถึงว่าถวนจื่อก็คือสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของฉู่หลิวเยว่ จึงเปิดปาก
น้ำเสียงชาอย่างในอดีต
แต่ถวนจื่อก็ไม่ใช่ว่าจะรู้จักเขาวันแรก จึงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้
นางฉีกยิ้มคราหนึ่ง ดวงตากลมโตราวกับองุ่นดำ คล้ายว่ากำลังพร่างประกาย แพรวพราวสุกใส
“เสี่ยวโจว เจ้าบอกข้าหน่อย เหตุใดเจ้าถึงฟื้นฟูได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า”
ก็เพราะเหตุผลนี้ ถวนจื่อถึงได้ตัดสินใจ เข้ามารบกวน สอบถามให้ชัดเจน
“เจ้าอยากถามแค่นี้หรือ”
เชียงหว่านโจวคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
ถวนจื่อรีบร้อนพยักหน้า
นางประหลาดใจจริงๆ นี่นา!
ต้องรู้ก่อนว่า ก่อนที่เชียงหว่านโจวประมือกับมั่วสือเชียน ก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยอยู่แล้ว
บาดแผลภายนอกและภายในล้วนค่อนข้างจะสาหัส
แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปชั่วยามหนึ่งเอง เขาถึงกับดีขึ้นมากแล้ว!
ถวนจื่อเป็นหงส์ทองคำ อีกทั้งร่างก็มีสายเลือดบริสุทธิ์ กายเนื้อก็ทนทานถึงที่สุด พลังในการฟื้นฟูเรียกได้ว่าสะท้านสะเทือนแผ่นดิน
ผู้ที่สามารถเทียบเคียงได้ใต้หล้านี้ มีน้อยนิดจริงๆ
แต่ เชียงหว่านโจวนับได้เป็นหนึ่งในนั้น
ดังนั้นนางถึงได้ประหลาดใจเป็นพิเศษ
เชียงหว่านโจวมองดูจากภายนอกแล้ว ล้วนเป็นคนผอมแห้งแรงน้อยมาโดยตลอด เหตุใดถึง…
“… หลังจากข้าทะลวงระดับเหนือเทพ ก็เป็นเช่นนี้แล้ว”
เชียงหว่านโจวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ
ถวนจื่อตะลึงงัน
“เป็นเช่นนี้หรือ”
“เป็นเช่นนี้”
การตอบกลับของเชียงหว่านโจวจืดชืดเป็นอย่างมาก อีกทั้งมองดูแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีจะอธิบายต่อ
ถวนจื่อจึงดึงเสื้อเขาเบาๆ อีกครั้ง ยังคงเอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้
“เช่น เช่นนั้นเป็นเพราะร่างศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเก่งกาจมากใช่หรือไม่ เจ้า…”
นางอ้าปากพะงาบ ขณะเกาศีรษะเล็กน้อย
“ไม่มีร่างศักดิ์สิทธิ์หรือ เช่นนั้น…ไม่น่าจะนะ!”
เชียงหว่านโจวไม่ใช่อสูรศักดิ์สิทธิ์ อ้างอิงตามเหตุผลแล้วไม่อาจฟื้นฟูได้รวดเร็วถึงเพียงนั้นหรอก!
อีกทั้ง ความสามารถระดับเหนือเทพของเขา ราวกับว่าก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก…
ถวนจื่อเงยหน้าอีกครั้ง จ้องมองเขาอยู่เนิ่นนานครู่หนึ่ง ร้อยความคิดไม่อาจแก้ไข
เชียงหว่านโจวสีหน้าเรียบนิ่ง และไม่ได้พูดอันใดอีก
เขาไม่มีอันใดจะพูดจริงๆ
เพราะที่เขาเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่ก็คือความจริง
อันที่จริงปัญหาเกี่ยวกับร่างกายตนเองนี้ เขาก็ไม่ใช่ว่าจะสัมผัสไม่ได้
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาคำนึงถึงแต่ฉู่หลิวเยว่มาโดยตลอด จึงไม่ได้ไปคิดมาก
วาจาของถวนจื่อในเวลานี้ กลับเตือนสติเขา
แต่เขาก็ไม่มีคำตอบ
“เอ๊ะ!”
จู่ๆ ถวนจื่อก็ส่งเสียงตกตะลึงเบาๆ คราหนึ่ง
“มือของเจ้ามีน้ำแข็งเกาะแล้ว”
เชียงหว่านโจวก้มหน้าลงมอง ผลคือเห็นว่าบนมือเล็กๆ ของนาง มีชั้นน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งจับตัวขึ้น
คิ้วเขาพลันขมวดมุ่น
ถวนจื่อเองก็เงยหน้า มองเขาอย่างตกตะลึง
เมื่อครู่นาง… เพียงแค่ดึงเสื้อเขาเบาๆ เท่านั้นเองนะ!
อีกทั้ง บนร่างของเขาเองก็ไม่มีน้ำแข็ง!
เหตุใด…
เปลวเพลิงสีทองชาดสายหนึ่งพลันแผดเผาอย่างรวดเร็ว ชั้นน้ำแข็งบางๆ พลันหลอมละลายอย่างรวดเร็ว
ปราณเย็นเยียบนี้สำหรับถวนจื่อแล้วไม่อาจสร้างภัยคุกคามได้ แต่… ร่างหงส์ทองคำเดิมทีก็ยังนับว่าเป็นตัวตนของพลังหยางบริสุทธิ์ถึงที่สุด ปราณเย็นเยียบโดยทั่วไป ไม่อาจส่งผลให้เกิดน้ำแข็งเกาะรอบกายนางได้เลย!
ถวนจื่อจู่ๆ ก็นึกไปถึงอันใดบางอย่าง พลันเบิกตาโพลงเล็กน้อย
“ความเย็นภายในร่างเจ้า…”
วาจายังไม่ทันจบ เสียงแหวกอากาศก็ลอยมา
เป็นฉู่หลิวเยว่และหรงซิวกลับมาแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของถวนจื่อและเชียงหว่านโจว ฉู่หลิวเยว่ก็ประหลาดใจอยู่บ้าง
“เกิดอันใดขึ้น พวกเจ้ากำลังคุยอันใดกัน”