ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2031 จงรักภักดี
เชียงหว่านโจวเอ่ย
“ไม่มีอันใด”
ถวนจื่อมุ่ยปาก แล้วก็กลืนวาจาที่เหลือลงไป
นางเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง มองออกว่าเชียงหว่านโจวคล้ายจะไม่อยากสนทนาเรื่องนี้เพิ่มอีก จึงไม่ได้คิดจะถามต่อให้มากความ
ถึงอย่างใดก็ยังมีเวลาและโอกาสที่จะรู้ในภายหลัง
“อาเยว่!”
ถวนจื่อโผเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่อย่างยินดีปรีดา
อายุของนางยังน้อยอยู่ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยลักษณะของเด็กอยู่หลายส่วนไม่มากก็น้อย พื้นที่ในหัวใจนอกจากฉู่หลิวเยว่แล้ว ก็ใส่คนอื่นเอาไว้ไม่ได้แล้ว
เวลานี้พอเห็นฉู่หลิวเยว่ ก็พลันโยนเรื่องราวและผู้คนอื่นๆ ทิ้งเอาไว้ที่ด้านหลังแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้า แล้วพลันฉีกยิ้มพลางลูบศีรษะนางเล็กน้อย
“อาเยว่ พวกเราจะไปทะเลทรายจันทราสีชาดกันเมื่อใดหรือ”
ถวนจื่อเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
เรื่องของที่นี่ก็นับว่ามาถึงตอนจบแล้ว พวกเขาควรจะจากไปในไม่ช้านี้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“พวกเรากลับไปที่ท่าเรือดอกท้อก่อน รอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้วค่อยไป”
“หา อ้อ…”
ถวนจื่อประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดมาก
ไม่ว่าจะไปที่ใด สำหรับนางแล้วก็ล้วนไม่แตกต่างอันใด
ถึงอย่างใดนางก็ต้องการเพียงอาเยว่ก็พอแล้ว!
เชียงหว่านโจวทำความเคารพ
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองเขาปราดหนึ่ง ภายในแววตาวาบประกายอารมณ์ ‘เป็นเช่นนี้ดังคาด’ สายบางสายหนึ่งพาดผ่าน
ก่อนหน้านี้นางก็พบว่าพลังในการฟื้นฟูของเชียงหว่านโจวนั้นทำให้คนตะลึงงันเป็นอย่างมาก นี่ยังผ่านไปไม่นานนัก ปราณบนร่างเขา ก็ใกล้จะเป็นเหมือนตอนแรกเริ่มแล้ว
นางกดความคิดชุดนี้เอาไว้ ดวงตาเคลื่อนขยับเล็กน้อย มองไปยังผู้คนที่ถูกขังอยู่ในกรงโปร่งแสงนั่น
และคนเหล่านั้น เวลานี้ก็ล้วนมองมายังนาง
หวาดกลัว สิ้นหวัง ไม่สบายใจ…
สีหน้าแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน แต่ชัดแจ้งว่ามีความหวั่นเกรงและหวาดกลัวอย่างล้ำลึกต่อการปรากฏตัวขึ้นอีกคราของฉู่หลิวเยว่และหรงซิว
เรื่องราวเหล่านั้นที่ประสบพบเจอไปก่อนหน้านี้ เวลานี้ทุกผู้คนล้วนเข้าใจแล้วว่า ทั้งสองคนนี้ คือคนที่ไม่ควรจะไปยั่วยุมากที่สุดในใต้หล้าจริงๆ!
ไม่เพียงแต่ความสามารถของตนจะเหนือสามัญ แต่ที่พึ่งเบื้องหลังก็ยังไม่ธรรมดา
เมื่อคิดถึงเรื่องราวอันอลหม่านเหล่านั้นที่แพร่กระจายไปในอาณาจักรเสิ่นซวี่ก่อนหน้านี้อีกครา…
จะไม่ทำให้คนเกิดความไม่สบายใจได้อย่างใด
ยังมีคนมองไปยังด้านหลังของคนทั้งสอง ไม่มีเงาร่างของผู้อาวุโสลำดับห้า
ถึงอย่างใดเคล็ดวิชาเสียงกระทบแก้วก็เป็นเขาทิ้งเอาไว้ให้
หากเขาไม่ออกหน้า เช่นนั้นพวกเขานี้…
“รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงเบา
เสียงของผู้อาวุโสลำดับห้าลอยมาในฉับพลัน
“เรื่องเล็กน้อย รบกวนอันใดกัน”
วาจาเพิ่งจะจบ กรงโปร่งแสงนั่นจู่ๆ ก็เริ่มรวบเข้าหากัน!
มีคนตระหนักได้ว่าไม่ถูกต้อง บนใบหน้าวาบปรากฏความหวาดกลัวล้ำลึก
ต่อให้พวกเขาจะผิดหวังในถ้ำปีศาจทมิฬและตัวมั่วสือเชียนถึงที่สุด แต่หากจะบอกว่าไม่มีความคิดที่ต้องการจะมีชีวิตรอดต่อไปแม้เพียงครึ่งหนึ่งจริงๆ อยู่เลยละก็ ย่อมเป็นเรื่องโกหก
เมื่อความเป็นตายเข้าประชิดตรงหน้า ย่อมไม่มีใครจะสามารถใจเย็นอยู่ได้
หลังจากเสียงนี้ ยังไม่ทันได้ตะโกนออกจากปากจนจบประโยค ก็พลันหยุดลงในทันที
ส่วนเงาร่างของคนคนนั้น ก็หายไปอยู่ภายในเส้นสายโปร่งแสงที่ซ้อนทับพัวพันเข้าด้วยกันนั่นโดยสมบูรณ์
ผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์นี้ ไม่ได้มีแค่คนเดียว
ท่ามกลางเคล็ดวิชาเสียงกระทบแก้ว กักขังคนทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ภายในถ้ำปีศาจทมิฬเอาไว้
เวลานี้ ภายใต้การควบคุมของผู้อาวุโสลำดับห้า ก็ประหัตประหารพวกเขาสิ้นด้วยเคล็ดวิชาเสียงกระทบแก้ว พวกเขาไม่มีกำลังในการต้านทานเลย!
คนส่วนใหญ่ไม่มีแม้แต่โอกาสในการส่งเสียง วิญญาณก็แหลกสลายแล้ว
เหนือพื้นดิน มีสีโลหิตแผ่ขยาย แล้วสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
กรงโปร่งแสงนั่นยิ่งมายิ่งเล็ก หลังจากเวลาครึ่งเค่อ ในที่สุดก็เปลี่ยนกลับไปเป็นขนาดเท่าฝ่ามือใหม่อีกครั้ง
ความเงียบสงัดทั่วทั้งผืน
พวกเฮ่อจื่อจี้ที่อยู่ด้านข้าง ห่างจากฝั่งนี้แค่เพียงหนึ่งกำแพงไฟกั้นผืนหนึ่ง
ทุกคนมองภาพฉากนี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง นิ่งเงียบไร้วาจา
อันที่จริงคนส่วนมากล้วนตะลึงงันแล้ว
ในตอนก่อนที่มั่วสือเชียนจะหลบหนี ก็ใช้ชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชานับไม่ถ้วนเสริมกำลังให้ตนเอง วิธีการแสนอำมหิต เป็นภาพฉากอันน่าเวทนา
เทียบกันแล้ว ความตายอันไร้สุ้มไร้เสียงท่ามกลางเคล็ดวิชาเสียงกระทบแก้วนี้ กลับยังน่ามองกว่าเล็กน้อย
หลังจากเคยเห็นภาพฉากที่เป็นดั่งห้วงอเวจีมาแล้ว เมื่อได้มาเห็นภาพฉากอื่นๆ เช่นนี้ จิตใจก็ยอมรับได้อย่างง่ายดายยิ่งแล้ว
หรงซิวยกข้อมือขึ้นแผ่วเบา เคล็ดวิชาเสียงกระทบแก้วนั่นก็ทะยานเข้าไปในแขนเสื้อเขา
เวลานี้ ผู้อาวุโสลำดับห้าก็ไปสิงสถิตยังอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งใหม่อีกครั้งแล้ว
และในขณะนี้ ของชิ้นนั้นก็อยู่บนกายของหรงซิว
ดังนั้น ยามที่ผู้อาวุโสลำดับห้าอัญเชิญเคล็ดวิชาเสียงกระทบแก้วนี้กลับไป ก็ย่อมผ่านมือของหรงซิว
มีหลายคนที่มองตามเคล็ดวิชาเสียงกระทบแก้วนั้นไปตามจิตใต้สำนึก แต่เมื่อสายตาเพิ่งจะได้สัมผัสกับเงาร่างอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะสายนั้น ก็พลันเร่งรีบเก็บสายตากลับ
แม้แต่ใบหน้าก็ล้วนไม่กล้าเผชิญโดยตรง
บุรุษผู้นี้…สูงศักดิ์เป็นเอก เย้ยหยันใต้หล้า
แม้จะเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามแต่ใจ ก็ยังคงแผ่ความสูงศักดิ์และหยิ่งผยองในกระดูกออกมา
“สถานที่เล็กๆ แห่งนี้ เป็นถ้ำปีศาจทมิฬใช้ลูกไม้มากมายสร้างขึ้นมา เวลานี้กระจกโลหิตสวรรค์พังทลาย มั่วสือเชียนหลบหนี คนของถ้ำปีศาจทมิฬดับสูญ ที่นี่ไม่มีการค้ำจุนใดๆ อีกแล้ว ไม่นานก็จะล่มสลาย พวกเจ้ารีบแยกไปตามทางของตนเองก็พอ”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ย
ในตำหนักใหญ่นั่นเมื่อครู่ หรงซิวและนางร่วมกันลงมือ ทำลายแผนผังแบบจำลองทรายนั่นจนสิ้นซากแล้ว
ที่นี่… อีกไม่นานก็จะกลายเป็นซากปรักหักพัง กระทั่งไม่อาจดำรงอยู่ด้วยตนเองได้อีก
ได้ยินวาจานี้ ทุกคนต่างมองหน้าสบตากัน
อันที่จริงผลลัพธ์นี้พวกเขาก็ไม่ใช่ว่าคาดเดาไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินเข้าจริงๆ อารมณ์ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะวุ่นวายอยู่บ้าง
ถึงอย่างใดเมื่อแรกเริ่มพวกเขาก็ล้วนมาอย่างภูมิใจในความสำเร็จ
เดิมคิดว่าเมื่อผ่านการทดสอบยุทธ์ ก็สามารถเข้ามาในอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้ และได้รับโอกาสในการฝึกตนที่ดียิ่งกว่านี้
ผู้ใดจะรู้… สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะจบลงเช่นนี้เล่า
ฉู่หลิวเยว่เชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“เขตแดนฝั่งนั้นในเวลานี้เปราะบางอย่างยิ่ง พวกเจ้าสามารถจากไปได้เลย”
“เดินทางปลอดภัย”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ย
หรงซิวพยักหน้า ดวงตาหงส์ล้ำลึก
“ข้าไปครู่เดียวก็กลับ”
มุมปากฉู่หลิวเยว่โค้งขึ้นเล็กน้อย
อันที่จริงด้วยความเร็วของหรงซิว จากที่นี่ไปทะเลทรายจันทราสีชาด ก็ใช้เวลาไม่นานมากเกินไปจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของเขาก็ล้ำเลิศ ยิ่งไม่มีอันใดน่ากังวลแล้ว
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะรอท่านที่ท่าเรือดอกท้อ”
แววตาของหรงซิววาวโรจน์เล็กน้อย แล้วเอ่ย
“ถึงอย่างใดเรื่องฝั่งนั้นก็ไม่เร่งด่วน ให้สามีไปส่งเยว่เออร์ก่อนแล้วกัน”
แม้จะรู้ว่าความสามารถของฉู่หลิวเยว่ในเวลานี้จะไม่อ่อนแอ แต่ในใจเขาก็ยังไม่วางใจ
มีเพียงส่งนางกลับด้วยตัวเองเท่านั้น หัวใจดวงนี้ของเขาถึงจะสงบลงมาได้
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจความคิดในใจเขา ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย
“ตกลง ครั้งนี้พวกเรากลับไปจากประตูแดนฝั่งนี้กัน”
ประตูแดนที่นางพูด ย่อมเป็นประตูแดนบานนั้นที่อยู่ด้านหลังกลุ่มเขาของถ้ำปีศาจทมิฬ
ตอนที่พวกเขามา พลังภายในประตูแดนเกิดการปั่นป่วน ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของช่องว่างมิติ สุดท้ายก็ส่งพวกเขาไปยังนอกเมืองอวิ๋นโจว
เวลานี้ไปอีกครา ย่อมไม่สามารถหาทางกลับได้แน่นอน
วิธีที่ดีที่สุด ยังเป็นการกลับไปจากประตูแดนนี้ก่อน
หรงซิวพยักหน้า
หลังจากทั้งสองปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พลันออกเดินทาง
ทว่า พวกเขาเพิ่งจะหันกาย ยังไม่ทันได้แม้แต่จะย่ำเท้าออกสักก้าวหนึ่ง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเสียงหนึ่งที่ด้านหลัง
“ทั้งสองท่านโปรดรอก่อน”
เท้าของฉู่หลิวเยว่พลันชะงักงัน หันหน้ากลับไปมอง
ผู้พูด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเฮ่อจื่อจี้
“ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ”
เฮ่อจื่อจี้สูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง คล้ายว่ายังมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง จากนั้นก็คาดไม่ถึงว่าจะคุกเข่าลงในทันที
“ชีวิตนี้ของเฮ่อจื่อจี้และน้องสาว เป็นหนี้บุญคุณพระโอรสและองค์หญิงใหญ่ช่วยเอาไว้! หากทั้งสองท่านไม่รังเกียจ ต่อแต่นี้… เฮ่อจื่อจี้ปรารถนาจะติดตามทั้งสองท่าน ยอมเป็นม้าเป็นสุนัขรับใช้ท่าน!”
………………..