ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2032 เจ้าไม่ต้องเข้าไป
ตอนที่ 2032 เจ้าไม่ต้องเข้าไป
………………..
“เจ้า…”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป นางยังไม่ทันได้พูดอันใดออกมา เฮ่อจื่อหลานที่อยู่ด้านข้างก็คุกเข่าลงตามด้วยเช่นกัน
“สิ่งที่พี่ชายพูด จื่อหลานก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!”
ทั้งสองคนคุกเข่าลงด้วยใบหน้าจริงจัง น้ำเสียงเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ
ฉู่หลิวเยว่สามารถมองออกว่า พวกเขาทั้งสองคนคิดเช่นนั้นจริงๆ
แต่…
“แต่มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พวกข้าก็ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือพวกเจ้าเลย พวกเจ้าไม่จำเป็นจะต้องจริงจังเกินไปนัก”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมา แล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
แต่เฮ่อจื่อจี้และน้องสาวมีท่าทีหนักแน่น
“สำหรับองค์หญิงแล้วอาจจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ท่านได้ช่วยชีวิตของพวกเราเอาไว้ นั่นก็เป็นความจริง! พระคุณของการช่วยชีวิต เดิมทีควรจะตอบแทนให้มากดุจสายธาร!”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“…หากพูดไปแล้ว ฝีมือของพวกเราก็อ่อนด้อย เดิมทีก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะติดตามพวกท่าน แต่ความซาบซึ้งใจนี้เป็นของแท้แน่นอน! หลังจากนี้มีอันใดให้พวกเราทำ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกเราสองพี่น้องก็จะไม่เกี่ยง!”
เมื่อพูดจบเขาก็โขกศีรษะลงพื้น
เดิมทีเฮ่อจื่อหลานก็เป็นคนช่างพูด แต่ในตอนนี้นางกลับพูดอันใดไม่ออกสักคำ หลังจากลังเลอยู่สักพัก นางก็โค้งคำนับตามเฮ่อจื่อจี้
ในตอนแรกนางยังไม่คิดอันใดด้วยซ้ำ แต่หลังจากครุ่นคิดแล้วก็พบว่า ระหว่างทางมานี้พวกเขาได้เจอกับเรื่องยุ่งยากมากมาย หากไม่มีฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ เกรงว่าพวกเขาสองพี่น้องคงจะตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว!
เพียงแค่คำขอบคุณเป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว
พวกเขารู้ตัวเองดี
ดูจากคนรอบกายของหรงซิวและฉู่หลิวเยว่สิ
ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงคนสนับสนุนคนอื่นๆ เพียงแค่ผู้ติดตามอย่างเชียงหว่านโจวก็อยู่ในระดับเทพขั้นสูงแล้ว!
ส่วนคนอย่างพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าใกล้อีกฝ่ายด้วยซ้ำ…
เหตุผลที่พวกเขาพูดอย่างนี้ขึ้นมา เพราะพวกเขาไม่ได้มีเรื่องใดแอบแฝง แต่ต้องการแสดงคำขอบคุณและคำชื่นชมเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าพวกเขาจริงจังขนาดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ในตอนแรกนางก็ยินดีที่จะเดินทางพร้อมกับเฮ่อจื่อจี้และคนอื่นๆ เพียงเพราะต้องการจะแฝงตัว และต้องการจะทดสอบว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
ส่วนการกระทำหลังจากนั้น…
ความจริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่ต้องการกำจัดถ้ำปีศาจทมิฬ ซึ่งการกระทำเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ทุกคนแยกย้าย…”
ฉู่หลิวเยว่ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ด้านหน้าก็คุกเข่าลงพร้อมกันทันที!
“พี่เฮ่อพูดได้ถูกต้อง! ความจริงแล้วไม่ใช่แค่พวกเขาสองพี่น้อง แต่ข้าเองก็ได้รับความเมตตาจากโอรสสวรรค์และองค์หญิงถึงสามารถมีชีวิตรอดมาได้! หากพูดถึงเรื่องติดหนี้บุญคุณ ข้าเองก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้!”
“ถูกต้อง! หลังจากนี้เป็นต้นไป หากท่านทั้งสองมีคำสั่งอันใด ข้าจะทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว!”
“ฝีมือของข้าอ่อนด้อยไม่สามารถเปรียบเทียบกับใต้เท้าเชียงได้ มีเพียงความเลือดร้อนและชีวิตนี้ที่สามารถชดเชยให้ได้! หวังว่าโอรสสวรรค์และองค์หญิงจะไม่รังเกียจ!”
…
ทุกคนพูดต่อกันทีละประโยค แต่ทุกคำที่พูดนั้นล้วนออกมาจากใจ
ในตอนนั้นกลุ่มคนรู้สึกฮึกเหิมขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป และหันมองทางหรงซิวเล็กน้อย
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้…
เมื่อได้ฟังคำพูดของพวกเขา หัวใจที่เคยเงียบสงบไร้อารมณ์ของนางก็ทำให้เกิดคลื่นสาดซัดขึ้นมา
ต่อให้จะยื่นมือช่วยเหลือคนเป็นครั้งคราว แต่มันล้วนอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษแบบนี้
นางจึงไม่ค่อยเก็บเรื่องราวเหล่านี้มาใส่ใจ
แต่ในตอนนี้หัวใจของนางกลับมีคลื่นอารมณ์สาดซัด
ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและกระตือรือร้นจ้องมองมาทางนาง
พวกเขารู้สึกซาบซึ้งจากใจจริง
“ให้พวกเขาติดตามพวกเรากลับไปที่ท่าเรือดอกท้อด้วยก็ดีนะ”
หรงซิวพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
“อันใดนะ?”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจเล็กน้อย
แต่เฮ่อจื่อจี้และคนอื่นๆ ที่ได้ยินดังนั้นก็ล้วนรู้สึกตกตะลึง แล้วเงียบเสียงไปทันทีโดยไม่รู้ตัว
มุมปากของหรงซิวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“เดิมทีที่ท่าเรือดอกท้อก็มีข้อดีอยู่สองส่วน หนึ่งสามารถเชื่อมต่อเข้าออกอาณาจักรเสิ่นซวี่ อีกหนึ่งคือ ไม่เพียงแต่จะสามารถรับผู้แข็งแกร่งจากภายนอก แต่ยังสามารถต้านทานอันตรายจากในพื้นที่ด้วย”
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม
หากสามารถพาพวกเขากลับท่าเรือดอกท้อได้ แล้วให้พวกเขาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่น ความแข็งแกร่งของคนในจำนวนนั้นจะต้องเพิ่มสูงขึ้นอีกขั้นแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ก็มีความจงรักภักดีต่อฉู่หลิวเยว่มาก คุ้มค่าแก่การไว้ใจ
“การพาพวกเขาไปท่าเรือดอกท้อ ใช่ว่าจะเป็นความคิดที่แย่”
นี่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่สักครู่
สิ่งที่หรงซิวพูดนั้นสมเหตุสมผลมาก
“เช่นนั้น… ก็ตกลงตามนี้?”
นางตัดสินใจ แล้วกวาดสายตามองทุกคนพร้อมพูดว่า
“ได้! เช่นนั้นพวกเจ้าก็ตามข้าไปที่ท่าเรือดอกท้อเถอะ!”
…
คนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงที่หน้าม่านพลัง
เมื่อเห็นม่านแสงที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ใบหน้าของทุกคนก็มีความตื่นตะลึงและยินดีอย่างปิดบังไม่มิด
ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็คือเป้าหมายในการเดินทางของพวกเขาครั้งนี้
ด้านหลังประตูบานนี้ก็คือ อาณาจักรเสิ่นซวี่!
โลกของผู้บำเพ็ญเพียร มีใครไม่อยากเข้าไปด้านใน แล้วกลายเป็นผู้แข็งแกร่งบ้าง?
“อยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่หันมองทางหรงซิว แล้วพูดขึ้นเบาๆ
หรงซิวพยักหน้า แล้วหันไปมองทางประตูบานนั้น
“บนม่านพลังบานนี้ไม่มีสัญลักษณ์ น่าจะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้ครอบครอง ที่ถ้ำปีศาจทมิฬเลือกที่นี่ ก็หมายความว่าพวกเขาพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว”
เพื่อปิดบังหลอกตาคนอื่น พวกเขาจึงไม่ได้ประทับสัญลักษณ์ถ้ำปีศาจทมิฬเอาไว้บนบานม่านพลัง
เปรี้ยง!
เสียงดังกึกก้องกัมปนาท
ทุกคนหันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง ทันใดนั้นก็เห็นว่าภูเขาลูกหนึ่งพังทลายลงมา!
เศษหินกลิ้งหล่นลงมาแล้วกลายเป็นผุยผง
เมื่อลมพัดขึ้น เศษทุกอย่างก็พัดกระจาย
ม่านพลังสีเงินที่อยู่ในระยะไกลเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
“ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะพังทลายลงแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นเสียงเบา
จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปมองทางหรงซิว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเดินทางออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ เจ้า… เดินทางปลอดภัยนะ หากได้เจอกับพี่เป่าก็ช่วยทักทายเขาแทนข้าด้วย”
เมื่อพูดจบ นางก็หมุนตัวก้าวข้ามไปในม่านพลัง!
ภายในม่านพลังบานนั้นก็เหมือนกับม่านพลังทั่วไป ไม่ได้มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเหมือนอย่างม่านพลังของท่าเรือดอกท้อ!
หลังจากฉู่หลิวเยว่เข้าไปด้านในแล้ว คนอื่นๆ ก็ทยอยติดตามไปทันที
หลังจากผ่านไปสักพัก เงาร่างของพวกเขาก็หายไปจากม่านพลังนั้น
ในตอนนั้นหรงซิวถึงจะถอนสายตาออกไป
เขาหันศีรษะกลับมามองพื้นที่ที่กำลังจะพังทลาย
“ผู้อาวุโสห้า ข้าจะส่งท่านกลับไป”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิมอย่างรวดเร็ว!
…
ถ้ำปีศาจทมิฬถูกทำลาย สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่เมืองร้าง
หลังจากหรงซิวออกจากเมืองแล้ว เขาก็หยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเลือกทิศทางหนึ่ง
ผู้อาวุโสลำดับห้ารู้ว่าจะเดินทางไปยังทะเลทรายจันทราสีชาดอย่างใด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องกังวล
ความเร็วของหรงซิวสูงมาก
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงแดนภังคะแล้ว
ทันทีที่เหยียบเท้าก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ หรงซิวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมมองตรงไปด้านหน้า
นี่คือจุดตัดทั้งสามดินแดนของแดนภังคะ
ตอนนี้ทะเลสาบกระจกและป่าหมอกมายาล้วนสงบสุขเป็นอย่างมาก
มีเพียงทะเลทรายจันทราสีชาดที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดวงจันทร์สีเลือดลอยเด่นอยู่กลางนภา
แสงสีแดงปกคลุมทุกสรรพสิ่ง
เสียงของผู้อาวุโสลำดับห้าดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
“หรงซิว เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไป”