ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2042 ข้อได้เปรียบ / ตอนที่ 2043 พร้อมกัน
ตอนที่ 2042 ข้อได้เปรียบ / ตอนที่ 2043 พร้อมกัน
………………..
ตอนที่ 2042 ข้อได้เปรียบ
พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของฉู่หลิวเยว่พลันอ่อนลง
“อืม”
ครานี้องค์ไท่จู่มิอยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต จึงบอกไว้แต่แรกแล้วว่าไม่ต้องส่ง ก่อนปลีกตัวจากไปพร้อมกับผู้อื่น
“สุสานของถังเคอดึงดูดความสนใจขององค์ไท่จู่ได้ชะงักนัก ไม่สิ ต้องพูดว่าสำหรับช่างหลอมอาวุธแล้ว แต่ละคนต่างก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น”
นับตั้งแต่ถังเคอและท่านซูเป็นต้นมา ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ก็ไม่มีผู้ใดตีหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้สำเร็จอีก
บรรดาผู้คนนับไม่ถ้วนต่างทุ่มเทลงแรงทั้งกายและใจเพื่อการนี้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็มิอาจทลายขีดจำกัดตรงนั้นไปได้
บัดนี้โอกาสมาเทียบท่าเชิญถึงที่ บางทีภายในสุสานของถังเคออาจซ่อนความลับและโอกาสในการตีหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ใครบ้างจะไม่อยากได้?
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่พลันนึกอันใดบางอย่างออก นางตวัดสายตาหันไปจ้องหรงซิว
เกือบลืมไปเลย หรงซิวเองก็เป็นช่างหลอมอาวุธเหมือนกัน!
ทั้งยังเป็นช่างหลอมอาวุธจำพวกมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ความสามารถกล้าแกร่งเสียด้วย!
นี่เขาไม่มีความคิดอยากไปสุสานเลยอย่างนั้นหรือ?
“แล้ว… เจ้าเองก็จะไปด้วยใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
หรงซิวส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ไม่ ข้าอยากให้เจ้าไปต่างหาก”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“เหตุใดกัน?”
แม้ตัวนางเองก็เป็นช่างหลอมอาวุธ แต่ความจริงนางไม่ได้มีความสนใจในด้านนี้เป็นพิเศษ
นางพึมพำกับตัวเองอย่างลังเลอยู่พักหนึ่ง
“พรสวรรค์และความสามารถในการเป็นช่างหลอมอาวุธของข้าสู้เจ้าไม่ได้ หากจำเป็นต้องไป เป็นเจ้าคงจะเหมาะสมกว่ากระมัง?”
หากหรงซิวไป บางทีอาจจะพอจับแกวอันใดได้บ้าง
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าคนที่ไปลุ่มน้ำชิงกู่ครานี้ล้วนแต่เป็นช่างหลอมอาวุธระดับแนวหน้าในใต้หล้าทั้งนั้น!
แม้แต่องค์ไท่จู่ก็ยังมิอาจทำความเข้าใจได้เต็มที่ ไม่ต้องพูดถึงนางเลยด้วยซ้ำ
ผลประโยชน์ข้อนี้ดึงดูดใจมากโดยแท้ แต่นางก็ไม่คิดจะกระโจนร่วมแผนการอันจืดชืดนี้แต่แรกอยู่แล้ว
ริมฝีปากบางแดงระเรื่อของหรงซิวหยักยกขึ้นน้อยๆ เผยรอยยิ้มแฝงความนัยลึกล้ำ
“ไม่ มิมีผู้ใดที่เหมาะสมไปกว่าเจ้าแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยสีหน้างุนงง
หรงซิวเลิกคิ้วพลางกล่าว
“อย่าลืมว่าในมือเจ้ามีสมบัติศักดิ์สิทธิ์สามชิ้น อีกอย่าง สมบัติทั้งหมดนั่นล้วนแต่ทำขึ้นด้วยมือของท่านซูทั้งนั้น”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงไปพักหนึ่งราวกับเข้าใจอันใดบางอย่าง ทว่าก็เหมือนจะไม่เข้าใจนัก
“เจ้าจะบอกว่า… ถ้าใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นแล้ว ก็อาจจะเปิดสุสานของถังเคอได้? แต่นั่นมันสุสานของถังเคอ ไม่ใช่…”
ทันใดนั้นเสียงของนางก็ชะงักไป ในแววตาปรากฏความรู้สึกเหลือเชื่ออยู่หลายส่วน
หรงซิวหัวเราะ
“ปีนั้นเป็นช่วงเฟื่องฟูของถังเคอ แม้จะไม่ได้ชนะการต่อสู้ครานั้น แต่ก็ไม่ได้แพ้ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขามากนัก ทว่าหลังการต่อสู้ ท่านซูกลับหายตัวไป ไม่นานหลังจากนั้น ถังเคอก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย”
“เจ้าหมายความว่าบางทีการหายตัวไปในครานั้นของถังเคออาจมีความเกี่ยวข้องกับท่านซูผู้นั้น?”
“เป็นเพียงการคาดเดา แต่ท่านซูเป็นคู่ปรับตลอดกาลของถังเคอ อีกทั้งตัวเจ้ายังมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของท่านซูอยู่สามชิ้น จะมีโอกาสตรวจสอบเจออันใดบ้างก็มิอาจรู้ได้”
คำพูดของหรงซิวทำให้ฉู่หลิวเยว่จมดิ่งสู่ห้วงความคิด
ต้องบอกว่าคำพูดพวกนั้นมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อยจริงๆ
เดิมทีนางยังไม่ได้เฉลียวใจ แต่พอหรงซิวพูดเช่นนี้ นางก็เริ่มรู้สึกคล้อยตามขึ้นมาบ้างแล้ว
อย่างใดเสียนั่นก็คือสุสานของถังเคอเทียวหนา…
“อีกอย่าง มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าอาจยังไม่รู้”
หรงซิวชะงักไปครู่หนึ่ง
“การต่อสู้ระหว่างถังเคอและท่านซูในปีนั้นเกิดขึ้นที่ท่าเรือดอกท้อด้วย”
“จริงหรือ!?”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับได้สติมาในทันที ก่อนหันมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจระคนเหลือเชื่ออยู่หลายส่วน
“คนที่รู้เรื่องนี้มีอยู่น้อยนิด เพราะในการต่อสู้ครานั้น สถานที่ที่พวกเขานัดแนะกันเป็นความลับอย่างมาก นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นรู้อีก แต่ตอนนั้นมีผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดบางคนที่สัมผัสได้ว่าท่าเรือดอกท้อเกิดการเคลื่อนไหวบางอย่างเลยคาดเดาอยู่ในใจ หลังจบการต่อสู้ สภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญตนของท่าเรือดอกท้อเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เพราะแบบนี้พวกเขาจึงมั่นใจในข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้”
“เพียงแต่ตอนนั้นถังเคอชื่อเสียงโด่งดังขจรไกล ทุกคนกังวลว่าหากข่าวเล็ดลอดออกไปจะส่งผลร้ายต่อเขา จึงพร้อมใจกันปิดบังเรื่องราวนี้เอาไว้ ที่หลายปีมานี้มีตระกูลชั้นสูงบางส่วนหมายตาชิงท่าเรือดอกท้อส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุผลข้อนี้”
ขอแค่พวกเขาไม่พูด คนนอกก็มิอาจรู้ได้
อย่างใดเสียท่าเรือดอกท้อเองก็มีความน่าสนใจมากพอแล้ว
“มิน่าเล่า…”
ฉู่หลิวเยว่ปะติดปะต่อได้อย่างชัดเจน
“เช่นนั้นในเมื่อพูดเช่นนี้…”
โล่ผสานนภาจะมีความเกี่ยวข้องอันใดกับสองคนนั้นบ้างหรือไม่หนอ?
ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“เช่นนั้น… ก็ลองไปดูเสียหน่อยแล้วกัน!”
…
สามวันถัดมา นางแทบจะหมกตัวฟื้นฟูร่างกายอยู่ในห้อง ปรับสภาพร่างกายของตัวเองให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด หลังจากสะสางเรื่องราวมากมายภายในท่าเรือดอกท้อจนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ตัดสินใจว่าได้เวลาออกเดินทางเสียที
แน่นอนว่าหรงซิวย่อมร่วมทางไปด้วย
คนที่เดินทางไปพร้อมกับพวกเขายังมีเยี่ยนชิงและเชียงหว่านโจว
เยี่ยนชิงคือคนสนิทของหรงซิว ร่วมเดินทางไปด้วยย่อมไม่มีปัญหาอันใด
แต่ปัญหามันอยู่ที่… เชียงหว่านโจวต่างหาก
“ที่นายท่านพาเชียงหว่านโจวไปด้วยในการเดินทางครานี้ เป็นเพราะมีแผนการอื่นหรือ?”
ภายในห้องพัก ฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ เบื้องหน้ามีสมุดบัญชีเล่มหนึ่งวางไว้
กลิ่นน้ำหมึกจางๆ ที่ลอยมาแตะจมูกมาจากซานซานกำลังคัดลอกบัญชีให้อย่างขยันขันแข็ง
นางกวาดตามองคราหนึ่ง จดจำรายละเอียดทุกอย่างลงในใจอย่างแจ่มแจ้ง
ซานซานนับว่าเป็นมือดีในด้านหาเงินและทำบัญชีโดยแท้
แค่รายรับในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะใช้เลี้ยงดูท่าเรือดอกท้อได้ทั้งหมดโดยเหลือกำไรบานเบอะด้วยซ้ำ
นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนปิดสมุดบัญชี ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินอีที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ที่จริงก็ไม่ได้ซับซ้อนปานนั้น ถึงเสี่ยวโจวจะเพิ่งบุกทะลวงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงมาได้ไม่นาน แต่พลังกายแต่เดิมแข็งแกร่งอย่างมาก ข้อนี้เจ้าก็คงมองออก อีกอย่าง เมื่อก่อนเขาติดตามข้าอยู่ตลอด ความสามารถแต่ละด้านทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
สองมือของเฉินอีประสานกันเป็นเชิงคารวะ
“ในเมื่อนายท่านตรึกตรองดีแล้ว ข้าน้อยย่อมทำตาม”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“ข้ารู้ ตอนแรกเจ้าคิดว่าข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน แต่ที่ข้าไปครั้งนี้คงเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย ท่าเรือดอกท้อฟากนี้ต้องมีคนคอยดูแล หลังจากข้าจากไปแล้ว เรื่องทั้งหมดที่นี่ต้องมอบให้เจ้าจัดการแล้ว”
สีหน้าของเฉินอีอ่อนลงทันควัน
“นายท่านวางใจเถิด ข้าน้อยย่อมต้องทำให้ดีที่สุด”
อย่างน้อยมารายงานกันก่อนก็ยังดี
อีกทั้งคนพวกนี้ต้องยกให้เฉินอีจัดการนั่นแหละถึงจะเหมาะสมที่สุด
เฉินอีพยักหน้ารับ
“ข้าย่อมไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ขอให้นายท่านกลับมาจากเดินทางครั้งนี้อย่างปลอดภัย”
ริมฝีปากแดงระเรื่อของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้นน้อยๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว”
…
ณ ลุ่มน้ำชิงกู่
บนที่รกร้างกว้างใหญ่ไพศาลมีก้อนหินขนาดมหึมานับไม่ถ้วนเรียงรายกันแน่นขนัดไม่เป็นระเบียบ ยามมองจากที่ไกลๆ ดูราวกับภูเขาลูกน้อยๆ ที่ตั้งตรงตระหง่าน
เป็นป่าหินนั่นเอง
ส่วนตระกูลเว่ยก็ตั้งอยู่หลังป่าหินที่ว่า
มีข่าวเล่าลือกันว่าป่าหินนี้เหมือนเขาวงกตสลับซับซ้อนก็มิปาน ยากจะเดินผ่านออกไปได้
กระทั่งคนตระกูลเว่ยเองยังต้องทะยานบินไปจากบนฟ้าทุกครั้ง น้อยมากที่จะเดินผ่านป่าหินนี้ไป
ทว่าในตอนนั้นเอง ด้านนอกป่าหินที่เงียบเหงากลับมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน
อีกทั้งลมปราณของแต่ละคนต่างก็ดุดันแข็งกร้าว ด้วยทุกคนเป็นผู้แข็งแกร่งเช่นเดียวกันหมด!
เพราะในข่าวลือบอกว่า สุสานของถังเคอ…ตั้งอยู่ที่นี่!
ตอนที่ 2043 พร้อมกัน
บรรดาช่างหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรเสิ่นซวี่ต่างรุดมาที่นี่กันถ้วนหน้า
วันนี้เป็นวันที่ตระกูลเว่ยตกลงว่าจะให้ทุกคนเข้าสู่ป่าหินพร้อมกัน
“ใช่แล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงมุมนั่นไง!”
“คนผู้นี้เป็นผู้มีฝีมือโดดเด่นในบรรดาช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์เชียวหนา! มีเขาอยู่ เกรงว่าการแย่งชิงครานี้จะต้องดุเดือดมากแน่ๆ…”
“นั่นก็เดาได้อยู่แล้วมิใช่หรือไร? นอกจากเขาแล้ว ครั้งนี้ยังมีช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ที่ไม่ข้องเกี่ยวกับกิจของใต้หล้ามาหลายปีมาร่วมด้วยอีกตั้งเยอะ!”
“งั้น… งั้นแบบนี้พวกเราก็ไม่มีหวังเลยไม่ใช่หรือไร?”
“ก็ไม่แน่หรอก! ยังไม่ถึงช่วงสุดท้าย ก็ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าใครจะได้เป็นคนที่ยิ้มถึงตอนจบใช่หรือไม่เล่า? พูดอีกอย่างก็คือ คนพวกนี้น่ะเก่งมันก็เก่ง แต่ครั้งนี้สุสานที่ต้องเปิดน่ะมันของถังเคอเทียวหนา ในนี้มีใครคู่ควรบ้างล่ะ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะแพ้หรือชนะ ข้าว่าโชคน่ะสำคัญกว่าเยอะทีเดียว!”
“ที่พูดก็ถูก…”
บรรดาฝูงชนแบ่งออกเป็นกลุ่มสามคนห้าคนพลางทยอยวิจารณ์กันอย่างออกรส
แม้ตระกูลเว่ยจะไม่ได้กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมที่แน่นอน แต่คนส่วนใหญ่ต่างเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องถาม จึงเลือกคนร่วมเดินทางมาเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น
บางคนเดินทางมาตัวคนเดียวก็มี
เรื่องแบบนี้มิได้เกี่ยวกับพละกำลังไปเสียทั้งหมด
ต่อให้พาคนมาเยอะแยะ ก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์อันใด
มิสู้เดินทางมาแบบตัวเบา จะได้สะดวกสบายขึ้นมาบ้าง
“ลูกพี่ซั่งกวน ท่านหายตัวไปนานขนาดนี้ พอออกมาคราวนี้ก็ยังอุตส่าห์เป็นจุดสนใจของคนได้หนา!”
คนบางส่วนที่ร่วมทางมาด้วยเอ่ยหยอกล้อ
“นั่นสิ! ตั้งแต่พวกเรามาถึงนี่ คนพวกนั้นก็ดูจะวิจารณ์ท่านไม่หยุดปากเลย”
“ฮ่าฮ่า! ลูกพี่ซั่งกวนยังคงเนื้อหอมไม่เปลี่ยน! หากมิใช่เพราะครั้งนี้คือการแข่งขัน เกรงว่าต้องมีคนจำนวนไม่น้อยมาขอผูกมิตรด้วยเป็นแน่!”
บัดนี้ในอาณาจักรเสิ่นซวี่มีใครบ้างไม่เคยได้ยินถึงชื่อเสียงเรียงนามของท่าเรือดอกท้อ?
นามซั่งกวนเยว่คำนี้ต่างแผ่ขยายไปทั่ว ชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายยิ่ง!
เขาที่เป็นองค์ไท่จู่ของแม่หนูเยว่เออร์ย่อมไม่พ้นตกเป็นจุดสนใจของคนไปด้วย
ช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ในที่แห่งนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ผู้ที่มีความสามารถเทียบเคียงกับข้าก็ใช่ว่าจะไม่มี
เหตุใดความสนใจของบรรดาฝูงชนถึงตกอยู่ที่เขาคนเดียว ไม่ต้องบอกก็รู้ได้
“เฮอะ พูดแบบนั้นก็ไม่ผิด ท่านนี่นะ นับว่าได้ผลพลอยได้จากแม่หนูเยว่เออร์จริงๆ!”
สีหน้าของซั่งกวนจิ้งพลันฉาบด้วยความภาคภูมิใจอย่างไม่คิดปิดบัง
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
เยว่เออร์ของพวกเขาย่อมดีที่สุด!
ทันใดนั้นก็มีไอเย็นเยียบสายหนึ่งแผ่พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง!
เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนหันไปดู ทว่าทุกอย่างยังคงเป็นปกติ
คนเหล่านั้นต่างพากันตื่นตกใจ
“ลูกพี่ซั่งกวน มองอันใดหรือ?”
ซั่งกวนจิ้งคลายปมที่หว่างคิ้ว ทว่าแววตายังคงฉาบด้วยความเย็นเยียบระคนดุดัน
“ไม่มีอันใด”
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสายตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่งจ้องเขาอยู่ในที่ลับ!
ในตอนนั้นเอง สุ้มเสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น!
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ทยอยเงียบลง ทุกคนพากันเงยศีรษะมองเป็นตาเดียว
“คนของตระกูลเว่ย”
เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่ปักบริเวณอกขวาบนชุดคลุมของพวกเขา ซั่งกวนจิ้งก็รู้ตัวตนของพวกเขาได้ในทันที
เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากนั้นคนเหล่านี้ก็บินข้ามป่าหิน ก่อนทะยานลงมายังเบื้องหน้าของทุกคน
ผู้ที่ก้าวออกมาด้านหน้าคือบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมชุดคลุมยาว ท่าทีวางตัวของเขาสง่างามและองอาจอย่างยิ่ง
“ข้าน้อยคือประมุขตระกูลเว่ย เว่ยเจ๋อ ขอคารวะทุกท่าน!”
บรรดาฝูงชนเองก็ทยอยคำนับเขาอย่างสุภาพ
สุดท้ายแล้วป่าหินแห่งลุ่มน้ำชิงกู่แห่งนี้ก็เป็นอาณาเขตของตระกูลเว่ย อย่างใดก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง
เว่ยเจ๋อเอ่ยทักทายทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็หันมาประสานมือคารวะซั่งกวนจิ้ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจอยู่หลายส่วน
“เอ๋? ผู้อาวุโสซั่งกวน ซั่งกวนเยว่กับหรงซิวมิได้เดินทางมาพร้อมท่านหรือ?”
………………..