ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2045 สุ้มเสียง
ตอนที่ 2045 สุ้มเสียง
………………..
ซั่งกวนจิ้งกวาดสายตามองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ห่วงประตูสัมฤทธิ์อันนั้นเป็นงานที่สร้างขึ้นมาด้วยฝีมือประณีตบรรจง เนื้อสัมผัสของมันดูคุณภาพดีมีราคา
แม้จะขึ้นรอยสนิมแล้ว แต่ก็ยังพอมองออกได้เลือนรางว่าด้านบนห่วงประตูแกะสลักลวดลายเอาไว้อย่างละเอียดลออ
เหตุใดถึงได้มีห่วงประตูเช่นนี้ติดอยู่บนก้อนหินได้?
เว่ยเจ๋อชี้ไปทางห่วงประตูสัมฤทธิ์อันนั้นพลางกล่าวว่า
“ทุกท่านคงได้เห็นแล้วว่าหินก้อนนี้ค่อนข้างแตกต่างจากหินก้อนอื่นในป่าหิน พวกเราคาดเดาไว้ว่ามีความเป็นไปได้สูง… ที่มันจะเป็นประตูบานหนึ่ง! ทั้งยังเป็นไปได้ว่าเป็นประตูที่เปิดเข้าสู่สุสานของถังเคอด้วย!”
กลุ่มผู้คนส่งเสียงโหวกเหวกกระหึ่มดังขึ้นมาทันใด
คำพูดของเว่ยเจ๋อทำให้พวกเขาทั้งหมดสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ข้อคาดเดาที่ว่านี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
แม้เจ้าหินก้อนยักษ์ที่ฉาบด้วยสีแดงชาดทั้งก้อนจะดูแล้วประหลาดพิกล ทั้งยังดูไม่เหมือนประตูเลยแม้แต่น้อย แต่ห่วงประตูสัมฤทธิ์ด้านบนอันนั้นต่างหากที่ดูแปลกประหลาดเสียยิ่งกว่า
ชวนให้รู้สึกคิดมากอย่างเสียไม่ได้
“ประมุขเว่ย ขอบังอาจถามท่านหน่อยว่า ก่อนหน้านี้พวกท่านเคยลองหาทางเข้าไปแล้วหรือ?”
ใครบางคนเอ่ยถามขึ้นมา
สีหน้าของเว่ยเจ๋อแข็งทื่อขึ้นมาหลายส่วน เขาผงกศีรษะรับ
“ไม่ขอปิดบัง พวกเราลองใช้ทุกหนทางแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็จนปัญญาจะเปิดออก อีกอย่าง บนห่วงประตูสัมฤทธิ์มีผนึกป้องกันที่แข็งแกร่งมากชั้นหนึ่ง ทันทีที่เข้าใกล้ จะกระตุ้นให้กระแสพลังอันน่ากลัวพุ่งเข้าโจมตี เพราะเหตุนี้นี่เอง ตระกูลเว่ยของข้าจึงเกิดความสูญเสียใหญ่หลวง…”
ตอนนั้นพวกเขายังไม่มีประสบการณ์ ไหนเลยจะคิดไปถึงว่าห่วงประตูอันจิ๋วจะอันตรายถึงเพียงนี้?
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ คนจำนวนมากต่างสบสายตากันอย่างจนปัญญา
ส่วนบนตัวห่วงประตูเองก็ไม่มีแม้กระทั่งกระแสความผันผวนของพลังที่แผ่ออกมา
ยามได้ยินประโยคนั้น เว่ยเจ๋อก็หยักยกมุมปากขึ้นมาโดยมิได้ยิ้ม
“ข้า เว่ยเจ๋อ พูดไว้แล้วตรงนี้ หากทุกท่านมีใครไม่เชื่อ ก็เชิญก้าวขึ้นไปลองทดสอบดูด้วยตนเอง!”
พูดจบ เขาก็เดินหลบไปข้างๆ เปิดตำแหน่งนั้นให้โล่งว่างเอาไว้
ราวกับจะให้บรรดาผู้คนเข้าไปลองทดสอบด้วยตัวเองจริงๆ
หลังจากตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ในที่สุดก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินก้าวมายังด้านหน้า
“ฮ่าฮ่า! คำพูดของประมุขเว่ยช่างชวนให้รู้สึกสงสัยโดยแท้หนา! ข้าขอดูหน่อยสิว่าของสิ่งนี้มีกลเม็ดเด็ดพรายอันใดกันแน่!”
เป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่มีดวงหน้าดูแล้วเจนโลก ทว่าดวงตาทั้งสองกลับสว่างเรืองรอง ทอประกายทรงพลังและแผ่ความองอาจออกมา
ซั่งกวนจิ้งไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ดูจากลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวเขาแล้ว คงเป็นช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์สักคนหนึ่ง
เว่ยเจ๋อหัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง
“เชิญท่าน…“
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ผู้อาวุโสผู้นั้นเป็นตาเดียว
เขามุ่งหน้าตรงไปยังหินยักษ์สีแดงชาดก้อนนั้น
เมื่อระยะห่างระหว่างเขาและหินที่อยู่ด้านหน้าเหลือเพียงก้าวเดียว เขาก็หยุดฝีเท้าลงในที่สุด
เดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้น
เขาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“นี่แปลว่าข้ากับผู้อาวุโสถังเคอมีวาสนา…“
ระหว่างที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไปดึงห่วงประตูสำริด
หึ่ง!
เสียงกัมปนาทอันน่าหวาดหวั่นดังก้องขึ้นมาในทันใด!
ในเวลาเดียวกันนั่นเอง เปลวเพลิงสีชาดสายหนึ่งที่โผล่ออกมาจากที่ใดมิทราบได้เข้าห่อหุ้มร่างของผู้อาวุโสท่านนั้นโดยทันที!
เสียงกรีดร้องอย่างตื่นตกใจดังอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็หยุดเงียบไป
ร่างของผู้อาวุโสท่านนั้นเริ่มสูญสลายหายภายใต้กองเพลิงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
มิรอให้บรรดาฝูงชนได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เปลวเพลิงสายนั้นก็มอดดับลงไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนผู้อาวุโสท่านนั้นก็สลายไปแบบไร้เถ้าถ่าน นอกจากคราบเลือดบางหยดที่สาดกระจายบนพื้นแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยอื่นใดอีก
ภายในอากาศยังคงมีกลิ่นไหม้บางส่วนที่ยังลอยอบอวล ชวนให้ฉุนจมูกอย่างยิ่ง
เว่ยเจ๋อลอบแค่นหัวเราะเย็นเยียบ เขากวาดตามองโดยรอบเร็วๆ คราหนึ่ง
แทบทุกคนล้วนถูกภาพฉากนี้ทำให้ตกตะลึงอย่างถึงที่สุดจนแทบดึงสติกลับมาไม่ได้
ช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ก็สูญสลายไป… ทั้งแบบนี้เลยหรือ!?
“ตระกูลเว่ยของข้าสูญเสียคนไปจำนวนมหาศาล เหตุใดก่อนหน้านี้ทุกท่านถึงไม่ได้สนใจสังเกตกันบ้างหนอ…”
เว่ยเจ๋อส่ายศีรษะ ดวงหน้าเผยแววเจ็บปวดรวดร้าวออกมาให้เห็นอยู่หลายส่วน
“ตอนนี้ทุกท่านคงเชื่อได้แล้วกระมังว่าทั้งหมดที่ข้าพูดไปเป็นความจริง?”
ทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบกริบ
ทุกคนพากันหันไปมองห่วงประตูสัมฤทธิ์อันนั้นอีกรอบ แววตาที่ทอประกายสงสัยใคร่รู้และตื่นเต้นในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกและระแวงสุดใจ!
นี่มัน… คือสิ่งใดกันแน่!?
…
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ความว่างเปล่าภายนอกป่าหินพลันสั่นไหว
จากนั้น ม้วนภาพสีแดงอันหนึ่งพลันปรากฏออกมา
เงาร่างจำนวนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากม้วนภาพที่ว่า
เป็นกลุ่มของฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวนั่นเอง
ฉู่หลิวเยว่เงื้อข้อมือขึ้นมาเล็กน้อย ม้วนภาพอันนั้นก็รวบเก็บอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบินกลับมาหาเงื้อมือของนาง
หรงซิวกวาดตามองโดยรอบคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า
“พวกเขาคงเข้าไปกันแล้ว แต่ดูท่าคงจะเข้าไปได้ไม่นานนัก”
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าแผ่วเบา
นางเองก็รู้สึกได้ว่าที่นี่เหมือนจะยังมีร่องรอยลมปราณขององค์ไท่จู่อยู่ด้วย
“สุสานของถังเคออยู่ข้างในนี้หรือ?”
นางจัดการเก็บภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยให้เรียบร้อย ก่อนตวัดสายตาไปมองป่าหินอยู่เบื้องหน้า
ด้านนอกนี้ไม่มีสิ่งจำพวกค่ายกล ราวกับว่า… สามารถเข้าไปได้ตามใจชอบอย่างใดอย่างนั้น?
“ที่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลเว่ย แต่พวกเขาไม่ส่งคนมาเฝ้ายามอย่างนั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
มุมปากของหรงซิวยกขึ้น
“การทำเช่นนี้มีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นก็คือที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยเฝ้า ต่อให้มีคนเฝ้าที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์และความหมายอันใด”
ด้านในนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะมีสุสานของถังเคอซ่อนอยู่ สถานที่ที่นับว่าเป็นขุมทรัพย์เก็บสมบัติล้ำค่าเหลือคณานับ
คนตระกูลเว่ยคงไม่ได้ใจกว้างมากพอที่จะไม่สนใจและไม่ไต่ถามถึงที่นี่แน่
คำพูดของหรงซิวมีเหตุผลอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะ
“เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปดูข้างในกันเถอะ!”
นางเอ่ยพลางสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า
ทันทีที่เดินมาถึงบริเวณชายขอบ ฝีเท้าของนางพลันหยุดชะงัก
หรงซิวเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เป็นอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เสสายตามองไปทางหรงซิว
“หรงซิว เมื่อครู่เจ้า… ได้ยินเสียงอันใดบางอย่างหรือไม่?”