ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2047 ง้าวว่านเฟิง
ตอนที่ 2047 ง้าวว่านเฟิง
………………..
ยามได้ยินองค์ไท่จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยม ฟังดูราวกับปลอดภัยไร้กังวล ใจของฉู่หลิวเยว่จึงสงบลงได้
จากคำพูดของพวกเขา ดูท่าว่าคงเจอปัญหาเข้า ทั้งยังมีคนบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย
“ฮึ ผู้อาวุโสซั่งกวนพูดจาได้ง่ายดี! พวกเราอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้แล้ว วิธีการอันใดที่มีก็ใช้ไปจนหมด! แต่จนแล้วจนรอด สุสานของถังเคอก็ไม่เผยสัญญาณอันใดออกมาให้เห็น! แล้วนี่จะให้เราทำอย่างใด?”
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นมาอย่างหมดความอดทน ในน้ำเสียงนั้นฟังดูจีบปากจีบคอพิกลนัก
“ท่านเป็นผู้อาวุโสคนเก่าแก่ ในปีนั้นทรงพลังถึงขั้นเรียกลมเรียกฝนมาได้ บัดนี้ผ่านไปหมื่นปี บางทีพละกำลังของท่านอาจมีความก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง! ไม่สู้ท่านลองคิดหาวิธีมาสักอย่างดูหรือไม่? เชื่อว่าผู้อาวุโสซั่งกวนไม่มีทางทำให้พวกเราผิดหวังแน่!”
แววตาของฉู่หลิวเยว่พลันเย็นเยียบลง
คำพูดนี้มีเจตนาหมายบีบบังคับอยู่หลายส่วน
แต่พอลองตีความหมายแล้ว สุสานของถังเคอดูเหมือนจะอยู่ใกล้แถวนี้เลยหนา?
ซั่งกวนจิ้งหัวเราะชึ้นมาคำรบหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ช้าไม่เร็วว่า
“ทุกท่านประเมินข้าสูงไปแล้ว ตัวข้าเพิ่งจะฟื้นคืนชีวิตมาเสียด้วยซ้ำ คนเฒ่าชราภาพอย่างข้าจะไปเทียบเคียงกับทุกท่านที่ยังคงหนุ่มแน่นได้อย่างใดกัน?”
คนผู้นั้นเอ่ยเป็นเชิงเร่งเร้าต่อว่า
“เหตุใดผู้อาวุโสซั่งกวนต้องถ่อมตัวถึงขนาดนี้ด้วย? มีใครไม่รู้บ้างว่าครานั้นท่านสู้กับมังกรเก้าตัวด้วยตัวคนเดียว ทั้งได้รับชัยชนะมาด้วย! ส่วนอนุชนของท่านอย่างซั่งกวนเยว่ ตอนนี้ก็กลายเป็นนายท่านเยว่แห่งท่าเรือดอกท้อไปเสียแล้ว ได้ฝึกปรืออยู่ในสถานที่เช่นท่าเรือดอกท้อ ผู้อาวุโสซั่งกวนคงจะล้ำหน้าพวกเราไปเยอะอยู่กระมัง? บัดนี้ตั้งแต่มาที่นี่จนถึงตอนนี้ท่านยังไม่ได้ลงมือเลยสักรอบ คงมิใช่ว่า… เพราะท่านมีท่าเรือดอกท้ออยู่แล้ว บัดนี้จึงดูหมิ่นดูแคลนแม้กระทั่งสุสานของถังเคออย่างนั้นหรือ?”
คำพูดเช่นนี้นับว่ากำลังก่อความเกลียดชังอยู่โดยแท้
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่มีคนตั้งเท่าไรที่ละโมบหมายตาในท่าเรือดอกท้อ?
บัดนี้ท่าเรือดอกท้อตกอยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่ แม้จะเป็นเพราะจุดจบอันน่าอนาถของอี้เหวินเทาที่ทำให้บรรดาฝูงชนไม่กล้าคิดโลภอันใดกับท่าเรือดอกท้ออีก แต่ใจอิจฉาริษยายังคงอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ท่านพูดอันใดออกมากันใต้เท้า? หากข้าไม่สนใจสุสานของถังเคอ วันนี้จะเสียแรงมาที่นี่เหตุใดตั้งมากมาย? เหตุผลที่ข้าไม่ลงมือ… ก็เป็นเพราะข้ากลัวตายก็เท่านั้น ไหนเลยจะมีเหตุผลซับซ้อนปานนั้น!”
สิ้นคำพูด บรรดาฝูงชนพลันเงียบเสียงลงในบัดดล
ลานแห่งนั้นตกสู่ความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนทันที
แม้พวกเขาเองก็เข้าใจในเหตุผลข้อนี้ แต่ซั่งกวนจิ้งที่มีภูมิหลังเช่นนี้กลับไม่คิดเลี่ยงบาลีเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้อีก?
เขาไม่รู้สึกอับอายขายขี้หน้าคนเลยหรือไร?
เขาพูดอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้ารับไม้ถามต่อ
คนเขายอมรับเองกับปากว่ากลัวตาย! หากซักไซ้ไล่เลียงต่อ นั่นไม่เท่ากับบีบบังคับให้เขาไปตายหรือไร!?
เรื่องนี้แทบไม่มีใครไร้ยางอายพอจะทำด้วยซ้ำ
ซั่งกวนจิ้งเมินสายตาหลากหลายรูปแบบของบรรดาฝูงชนโดยรอบ เขาเอามือสางเคราก็เอ่ยทอดถอนใจว่า
“เฮ้อ มีบางเรื่องที่พวกท่านยังไม่รู้! ปีนั้นแม้ข้าจะรักษาชีวิตมาได้อย่างยากลำบาก แต่ร่างศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสภาพสาหัส จิตวิญญาณแตกสลายกระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศ หากมิใช่เพราะได้แม่หนูเยว่เออร์ของตระกูลเราช่วยเหลือเอาไว้ ข้าคงไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้แน่! ไหนเลยจะมายืนพูดคุยกับพวกท่านอยู่ที่นี่ได้? ดังนั้นแล้ว ตอนนี้ข้าน่ะรักตัวกลัวตายมาก เสียดายชีวิตอย่างที่สุด!”
บรรดาฝูงชนต่างอับจนคำพูด
พูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ผู้อื่นจะยังพูดอันใดออกมาได้อีก!?
คนเขาตายไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่อยากถูกฝังลงไปอีกรอบ ทั้งยังไม่ใช่หน้าที่อันใดที่ต้องทำด้วย
ผ่านไปพักใหญ่ทีเดียว บุรุษจอมยุแยงผู้นั้นถึงได้แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเฉยชาว่า
“พอพูดเช่นนี้แล้ว เกรงว่าท่านและสมบัติที่หลงเหลืออยู่ของผู้อาวุโสถังเคอคงไร้วาสนาต่อกันแล้ว!”
ซั่งกวนจิ้งหัวเราะเฮฮาดังเดิม
“ไม่เป็นไร! ไม่มีปัญหา! วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อร่วมสนุกเท่านั้น! พอพูดถึงเรื่องเก่าแล้ว ทุกท่านฝีมือเก่งกาจปานนี้ ต้องเปิดสุสานของถังเคอได้สำเร็จแน่! ถึงตอนนั้นหากข้าได้ยลภาพสุสานเปิดกับตา ใจก็ปลื้มปริ่มมากแล้ว!”
ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแต่พกพาความตั้งใจแน่วแน่มาเต็มเปี่ยมด้วยกันทั้งนั้น!
ลำพังแค่ตัวซั่งกวนจิ้งก็นับว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่ามากเล่ห์โดยแท้ ยามเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ย่อมไม่มีทางตกปากรับคำอยู่แล้ว!
มุมปากของหรงซิวยกขึ้นน้อยๆ พลางมองไปทางฉู่หลิวเยว่
“นิสัยนี้ของเจ้าเหมือนกับผู้อาวุโสซั่งกวนมากทีเดียว…”
ฉู่หลิวเยว่นวดสันจมูกพลางแค่นเสียงออกมาแผ่วเบา ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
บางครั้งหนังหน้าก็ต้องหนาทน! ความคิดต้องแล่นปราดว่องไว!
ยอมเป็นฝ่ายฝังผู้อื่น แต่ไม่ยอมถูกผู้อื่นฝัง!
เว่ยเจ๋อเบนสายตามองรอบๆ สุดท้ายก็ต้องรับบทเป็นคนสงบศึก
“ที่ผู้อาวุโสซั่งกวนพูดมาก็มีเหตุผล เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือต้องหาทางเปิดสุสานของถังเคอให้ได้ก่อน มัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ในเมื่อมิอาจหนีไปทางด้านบนได้แล้ว เช่นนั้น… พวกเราร่วมมือกันเสียตอนนี้ บางทีอาจพอมีทางรอด!”
คำพูดนี้โน้มน้าวให้บรรดาฝูงชนเห็นด้วยได้อย่างรวดเร็ว
“ประมุขเว่ย จะอย่างใดป่าหินก็เป็นอาณาเขตของพวกท่านตระกูลเว่ย พวกท่านจะไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
ใครบางคนเอ่ยถามขึ้นมา
เว่ยเจ๋อทำท่าเหมือนจะเอ่ยอันใดบางอย่าง แต่ก็หยุดนิ่งไป
การหยุดชะงักครานึ้ดึงดูดความสนใจจากบรรดาฝูงชนทันที
“นี่… ความจริงแล้วก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นแผน เป็นเพียงแค่ข้อคาดเดาเท่านั้น”
เขาพูดพลางชี้ไปทางหินยักษ์สีแดงชาด
“ผู้อาวุโสถังเคอเป็นช่างหลอมอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า หากพยายามเข้าไปในสุสานของเขาโดยไม่ระมัดระวังย่อมยากจะทำสำเร็จ ข้าคิดว่าหากคิดจะเปิดสุสานของช่างหลอมอาวุธผู้หนึ่ง บางทีหนทางที่ดีที่สุดคืออาจจะต้อง… นำพาทัณฑ์สวรรค์เข้ามา ถึงจะพอมีความหวังขึ้นมาได้บ้าง!”
พอมาคิดดูดีๆ แล้ว คำพูดของเว่ยเจ๋อเอง… ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
“อย่างใดเสียตอนนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ไม่สู้ลองดูสักตั้ง!”
ใครบางคนตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้น คนที่เหลือเองก็ทยอยแสดงท่าทีเห็นด้วยออกมา
เว่ยเจ๋อประสานสองมือเป็นเชิงคารวะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอทดลองก่อน มิทราบว่าทุกท่านคิดเห็นอย่างใด?”
ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
หากวิธีนี้สามารถเปิดประตูสุสานได้จริง เช่นนั้นเว่ยเจ๋อก็ต้องเป็นคนแรกที่ได้เข้าไปในสุสานของถังเคอ
ผลประโยชน์ทั้งหลายแหล่คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงมากมายแล้ว
นี่เองก็เป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่คนเหล่านั้นต่างทยอยลองลงมือกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผลประโยชน์ย่อมมาก่อน เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจสำหรับผู้คนโดยแท้
แต่หลังจากประสบกับการโจมตีที่มาเป็นระลอกแล้ว บรรดาฝูงชนถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่าการลงมือก่อนนับว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
อีกทั้งจุดจบล้วนแต่เป็นร่างสลายวิญญาณมลายสูญ ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะหลบหนี
ในใจของทุกคนบังเกิดอารมณ์หวาดกลัวด้วยยากจะหลีกเลี่ยงได้
แรงดึงดูดด้านหน้านั้นรุนแรงนัก แต่ก็ต้องใช้ชีวิตแลกมามิใช่หรือไร?
เว่ยเจ๋อเป็นประมุขตระกูลเว่ย ยามนี้เขาออกปากเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เชิญประมุขเว่ย…“
เว่ยเจ๋อผงกศีรษะ เขาสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปหาหินยักษ์สีแดงชาดที่อยู่ตรงหน้าก้อนนั้น
ก่อนจะหยุดห่างจากห่วงประตูสัมฤทธิ์อันนั้นไปสามก้าว
สีหน้าของเขาแข็งค้าง คิ้วขมวดจนเป็นปม
จะพูดว่าไม่ประหม่าก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
แต่เขาย่อมมีแผนในใจอยู่แล้ว
จากนั้น ในมือของเขาพลันมีง้าวยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา!
ตัวเล่มง้าวสีดำสนิท แหลมคมหาสิ่งใดเปรียบ!
ยามเห็นง้าวยาวเล่มนั้น บรรดาฝูงชนต่างพร้อมใจกันหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล
“ง้าวว่านเฟิงรึ!?”
เหตุผลที่พวกเขาตื่นตะลึงกันถึงปานนี้ เป็นเพราะว่า… นี่เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง!