ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2053 ยอมรับเป็นเจ้านาย
ตอนที่ 2053 ยอมรับเป็นเจ้านาย
………………..
“อันใดนะ?”
ในหัวของซั่งกวนจิ้งถึงกับขาวโพลนไปชั่วขณะ
ชื่อเสียงเรียงนามของถังเคอยังมิอาจทำให้นางหวั่นไหวได้ แล้วจะมีสิ่งใดที่ดึงดูดนางได้อีกเล่า
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ข้าอยากมาดูว่า ระหว่างท่านซูผู้นั้นกับผู้อาวุโสถังเคอในปีนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ซั่งกวนจิ้งถึงกับตะลึงงันไปพักหนึ่ง จากนั้นจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าฉู่หลิวเยว่มีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในมืออยู่หลายชิ้นแล้ว
อีกทั้งสมบัติพวกนั้นล้วนแต่เป็นของท่านซูทั้งสิ้น
“หรือว่า การสั่นไหวเมื่อครู่นั่น…“
ในใจของเขาพลันเกิดข้อสันนิลฐานขึ้นมาข้อหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ เว่ยเจ๋อและเขาผลัดกันลองใช้ง้าวว่านเฟิงงัดประตูบานนั้นให้เปิดออก ผลคือเสียแรงเปล่า
เพราะแรงสั่นไหวหลังประตูบานนั้นมิได้เกิดจากง้าวว่านเฟิงแต่อย่างใด
พอแม่หนูเยว่เออร์เอ่ยเช่นนี้แล้ว…
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เอ่ยอันใดออกไป
แต่การที่ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ สำหรับซั่งกวนจิ้งก็นับได้ว่าเป็นการยอมรับโดยดุษณีแล้ว
เขาเบิกตากว้างน้อยๆ ทั้งยังคงสับสนงุนงงอยู่พักใหญ่
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
หรือว่าที่นี่จะไม่ใช่สุสานของถังเคอ แต่เป็นสุสานของท่านซูผู้นั้นแทน?
แต่ก่อนหน้านี้คนตระกูลเว่ยก็พูดมาโดยตลอดว่าที่นี่คือสุสานของถังเคอ!
หากมิใช่เพราะกุมหลักฐานอันใดไว้ พวกเขาไม่มีทางมั่นใจขนาดนี้แน่
กริ๊ก!
สุ้มเสียงแหลกละเอียดแผ่วเบาพลันดังแว่วมาจากด้านหลัง
ราวกับมีของบางอย่างแตกหัก ทว่าก็ไม่ค่อยคล้ายเท่าไรนัก
ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็เหมือนกับว่ามีกระแสพลังสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา
เพียงแต่ยังไม่ทันแผ่กระจาย ก็ถูกยับยั้งเอาไว้แล้ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ฉู่หลิวเยว่กับซั่งกวนจิ้งก็หันศีรษะกลับไปมองพร้อมกัน
“เมื่อครู่นั่นมัน… เกิดอันใดขึ้น?”
ซั่งกวนจิ้งเอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน
เขายืนอยู่ใกล้ จึงรับรู้ได้ชัดเจนว่ากระแสพลังสายนั้นแผ่ออกมาจากร่างหรงซิว
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นน้อยๆ
“ไม่มีอันใด แค่ง้าวว่านเฟิงเพิ่งยอมรับข้าเป็นเจ้านายแล้วเท่านั้น”
ซั่งกวนจิ้งถึงกับตกใจจนเสียงขาดหายอย่างหาได้ยาก “อันใดนะ!?”
ฉู่หลิวเยว่เองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
“เมื่อครู่นี้น่ะหรือ?“
หรงซิวส่งเสียงตอบรับ ”อืม” ก่อนเรียกง้าวว่านเฟิงออกมาถือไว้ในมือ
แม้บริเวณโดยรอบจะสว่างไสว แต่ยังคงมองเห็นประกายแสงบนตัวง้าวได้อย่างชัดเจน มันงดงามตระการตาเหนือชั้น ปากก็คมปลาบยิ่งกว่าสิ่งใด!
“เดิมขั้นตอนในการยอมรับเจ้านายของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ยุ่งยากอยู่มาก แต่ก่อนหน้านี้ง้าวว่านเฟิงดูดซับพลังจากทัณฑ์สวรรค์ไปแล้วไม่น้อย ขาดเพียงขั้นตอนสุดท้ายก็จะกระตุ้นให้เกิดการยอมรับเจ้านายโดยสมบูรณ์ได้ ดังนั้นมันจึงประหยัดแรงและเวลาได้มากทีเดียว”
หางคิ้วของฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้นน้อยๆ
“หากเป็นเช่นนี้ ต้องขอบคุณประมุขเว่ยให้ดีหน่อยแล้ว“
เมื่อซั่งกวนจิ้งที่ยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองได้ยินพวกเขาพูดคุยกันหน้าตาเฉยก่อนเก็บหนึ่งในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่อย่างง้าวว่านเฟิงกลับไปทั้งอย่างนั้นก็ถึงกับยืนเงียบด้วยพูดไม่ออกพักใหญ่ ทำได้แค่ตะโกนเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ในใจอย่างเดียว
สมบัติศักดิ์สิทธิ์นะ!
นั่นมันสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งเลยหนา!
ยอมรับเจ้านายกันแบบนี้เลยหรือ!?
กับเรื่องสำคัญใหญ่โตปานนี้ พวกเจ้าสองคนช่วยมีปฏิกิริยามากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่!
แบบนี้แล้วพวกเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรกัน!
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังซั่งกวนจิ้ง เห็นสีหน้าเขาดูแปลกไปหลายส่วนก็เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“องค์ไท่จู่ ท่านเป็นอันใดไป?”
ซั่งกวนจิ้งสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
“ข้า… ข้าไม่เป็นไร…”
ยามเห็นว่าท่าทีพวกเด็กๆ พูดคุยกันอย่างสบายอกสบายใจกันเป็นเช่นไร เขาก็มิอาจแสดงท่าทีน่าอับอายออกมาได้!
หรงซิวกล่าวถามว่า
“บางที… องค์ไท่จู่เองก็มีใจปรารถนาในสมบัติศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน?“
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
”ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… เช่นนั้นเอาแบบนี้ดีหรือไม่ หากหลังจากนี้พบเจอสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่น ก็ส่งมอบให้องค์ไท่จู่ก่อน?“
ซั่งกวนจิ้งแทบลื่นหัวคะมำ เขารีบยื่นมือยันเข้ากับผนังข้างกาย พยายามทรงตัวให้มั่นอย่างยากลำบาก
“แค่กแค่ก! มะ ไม่ต้อง! สมบัติล้ำค่าเช่นนั้นต้องพึ่งวาสนาคน หากไร้ซึ่งโชคที่ว่า ต่อให้ถือครองไว้ในมือก็เปล่าประโยชน์ พวกเจ้า พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า…”
ก่อนหน้านี้เว่ยเจ๋อก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?
แม้จะได้รับง้าวว่านเฟิงมา แต่ผ่านไปนานถึงขนาดนั้น ของสิ่งนี้ก็ยังไม่ยอมรับเขาเป็นเจ้าของ
…
พวกเขาพูดคุยกันโดยไม่คิดเบาเสียงแม้แต่น้อย ดังนั้นเว่ยเจ๋อที่ตามพวกเขามาจึงได้ยินคำพูดพวกนี้เข้าเช่นกัน
ทันทีที่รับรู้ว่าง้าวว่านเฟิงยอมรับหรงซิวเป็นเจ้านายแล้ว เว่ยเจ๋อพลันราวกับถูกอัสนีบาตผ่าลงกลางหัว!
นั่นมันของที่เขาได้มาอย่างยากลำบากเทียวหนา!
หนึ่งพันปีมานี้ ตระกูลเว่ยมีเพียงสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ชิ้นเดียวเท่านั้นที่อยู่ในครอบครอง!
ผลลัพธ์คือเพิ่งจะหยิบออกมาใช้ พริบตาเดียวก็ตกเป็นของผู้อื่นไปแล้ว!
“หรงซิว! เจ้าทำเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!”
ในที่สุดเว่ยเจ๋อก็แผดเสียงถามออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“เมื่อก่อนข้าเคารพสถานะโอรสสวรรค์ของเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสุภาพ แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้น่ะหรือ!?“
ทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่ไกล อีกทั้งแสงสว่างภายในทางเดินสายนี้ยังสว่างไสวเจิดจ้า จึงมองเห็นอีกฝ่ายได้ทั้งสิ้น
หรงซิวหัวเราะออกมาแผ่วเบา
“ประมุขเว่ย สมบัติศักดิ์สิทธิ์มีจิตวิญญาณ เดิมย่อมเลือกเจ้านายด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้มันอยู่ในมือท่านนานถึงเพียงนั้น ท่านก็ยังเป็นเจ้านายของมันไม่ได้ แค่นี้ก็พิสูจน์แล้วว่าระหว่างพวกท่านไร้วาสนาต่อกัน บัดนี้ง้าวว่านเฟิงเลือกข้าเป็นเจ้านายของมันแล้ว ข้าต้องปฏิเสธมันด้วยอย่างนั้นหรือ?“
เจ้า!“
เว่ยเจ๋อโมโหนัก
แต่ทุกคำพูดของหรงซิวมีเหตุผล เขาไม่มีทางโต้กลับไปได้เลยแม้แต่น้อย
หากจะโทษ คงทำได้แค่โทษตัวเขาที่อับโชคแล้ว!
เว่ยเจ๋อเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสลดใจอย่างช่วยไม่ได้
หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ เขาคงไม่หยิบของสิ่งนั้นออกมาแล้ว!
ตอนนี้ช่างโชคดีนัก สุสานของถังเคอถูกฉู่หลิวเยว่เปิดไปแล้ว ส่วนง้าวว่านเฟิงเองก็กลายเป็นของของหรงซิว!
“ประมุขเว่ย ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว โปรดเก็บแรงไว้หน่อยเถิด ใครจะรู้ว่าด้านล่างจะได้พบอันตรายใดอีก อย่างใดเสียตัวท่านก็เป็นถึงประมุขตระกูลเว่ย หากสิ้นชื่ออยู่ที่นี่ย่อมไม่ดีแน่“
เว่ยเจ๋อโมโหจนหายใจแทบไม่ออก ฉุนเฉียวจนมีสีหน้าดำหน้าแดง
สองคนนี้รู้ดียิ่งนักว่าทำอย่างใดคนถึงจะโมโหตายได้!
คนตระกูลเว่ยสองสามคนที่ตามหลังมาเอ่ยโน้มน้าวเสียงต่ำว่า
“ท่านประมุข ตอนนี้พวกเราเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าสถานการณ์ด้านล่างจะเป็นอย่างใดแน่ รอให้แน่ใจค่อยว่ากันก็ได้กระมัง?”
“นั่นซีขอรับ! อย่างใดเสียซั่งกวนเยว่ผู้นั้นก็เป็นคนเปิดประตู ไม่ว่าอย่างใดพวกเราก็ต้องเข้าใจก่อนว่าที่นี่มีลักษณะเช่นไรแน่จึงจะวางใจได้ ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร?“
หากแตกหักกับอีกฝ่ายเสียที่นี่ เช่นนั้น…ใครจะเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เว่ยเจ๋อได้ยินดังนั้น รู้ว่าที่พวกเขาพูดใช่ว่าจะไร้เหตุผล จึงทำได้แค่ยับยั้งความโกรธในจิตใจลงชั่วคราว
“บัญชีหนี้ครั้งนี้ จะช้าหรือเร็วข้าต้องมาเอาคืนแน่!“
…
ภายในทางเดินกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง
หลงเหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจและฝีเท้าของบรรดาฝูงชนเท่านั้น
แม้บริเวณรอบสี่ทิศจะยังคงสว่างไสวเช่นเดิม ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะความหวาดกลัวและวิตกกังวลอันไร้ที่มา ยิ่งลงไปลึกเท่าไร บรรยากาศจึงยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้น
คนด้านหลังต่างทยอยตามกันเข้ามาเรื่อยๆ
ฉู่หลิวเยว่ไม่ต้องเงยศีรษะก็รู้ว่าคนพวกนั้นที่อยู่ด้านนอกล้วนเข้ามาด้านในกันหมดเรียบร้อยแล้ว
หากคิดจะต่อสู้แย่งชิงอันใดกันด้านล่างนี้ก็ยิ่งทำได้ยากแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดก็เดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย
นางจดจ้องไปด้านหน้า จากนั้นก็พลันตกตะลึงจนนิ่งอึ้งอยู่กับที่