ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2065 ในอนาคต
ตอนที่ 2065 ในอนาคต
………………..
ถวนจื่อพยักหน้าระรัว
“อื้อ! อาเยว่กับฝ่าบาทบอกไม่แพ้ เช่นนั้นก็ไม่แพ้เจ้าค่ะ!”
ขณะกล่าวเช่นนั้น นางก็ถอนหายใจออกมาอีกครา
“เห้อ…แต่น่าเสียดายที่การแข่งขันในครานี้ ถวนจื่อไม่ได้ช่วยอันใดได้เลย…”
หรงซิวยิ้มบาง
“เพียงเจ้าใช้โอกาสนี้เพิ่มพูนกำลังของตัวเองได้ ก็ไม่เลวแล้ว”
เนื่องจากถวนจื่อเป็นสัตว์อสูรของฉู่หลิวเยว่ การที่มันพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นได้นั้น พูดตามหลักแล้ว ย่อมเป็นผลดีต่อฉู่หลิวเยว่
ถวนจื่อได้ฟังเช่นนั้น ก็มีแรงฮึดสู้ในทันที หมัดเล็กๆ กำแน่น ราวเตรียมพร้อม
“ฝ่าบาทพูด! ข้าจะไปฝึกฝนเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ไม่ทันสิ้นเสียง ร่างเล็กๆ สีแดงทองก็หายวับไปในทะเลสายฟ้า
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองเงียบๆ
ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว แต่จำนวนทัณฑ์สวรรค์บนฟากฟ้านั้น ดูเหมือนไม่ได้ลดลงเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกมันถูกผู้ร่วมแข่งขันกลืนกินไปมากแล้ว แครั้นเทียบกับจำนวนที่หายไปแล้ว กลับยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
เรียวตาคมกวาดมองลำแสงสีเงินเจิดจ้าด้านบน ที่สุกสกาวพราวพริ้งจนแสบตา
พวกมันคือทัณฑ์สวรรค์ที่ถังเคอสะสมมานานนับพันปี…
เปรี้ยง!
เสียงกัมปนาทดังพรั่งหรูอย่างต่อเนื่อง!
หรงซิวดึงสายตากลับมา ก่อนจะเห็นทัณฑ์สวรรค์นับไม่ถ้วนผ่าลงมาพร้อมกัน! และมุ่งตรงไปยังซั่งกวนจิ้ง!
ที่ด้านหน้าเขามีกริดหยกวิญญาณวางอยู่ และหลังจากถูกหลอมด้วยทัณฑ์สวรรค์มากมายเป็นเวลานาน ในที่สุดเค้าโครงเดิมของมันก็ขยายกลายเป็นกระบี่!
แรงกดดันอันแข็งแกร่งแผ่มาจากตัวกระบี่ และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ!
ทัณฑ์สวรรค์มากมายระดมผ่าลงมาห่าใหญ่ ค่อยๆ ขัดเกลากระบี่ด้ามนั้นทีละน้อย!
แม้แต่ร่างของซั่งกวนจิ้ง ก็ยังถูกแสงเจิดจ้าปกคลุม จนยากแก่การมองเห็น
“ในที่สุด อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของซั่งกวนจิ้วก็จะหลอมเสร็จแล้วใช่หรือไม่?”
“ท่ามกลางสามคนนี้ เขาเป็นคนเดียวที่ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์กระตุ้นทัณฑ์สวรรค์…และถ้าจำไม่ผิด ช่วงที่ผ่านมาเจ้ากริดหยกวิญญาณนี่ อาจจะกลืนกินทัณฑ์สวรรค์ไปมากกว่าพันสายแล้วกระมัง!”
“น่าทึ่งมาก…ทักษะเช่นนี้ ช่างน่าพิศวงเสียจริง!”
“หึ พวกเราที่อยู่ในสุสานนี้ จะเทียบฝีมือกับใครได้นักเชียว? สำหรับข้าแล้ว ทักษะด้านการหลอมอาวุธนั้น ข้าให้ซั่งกวนจริงเป็นที่หนึ่งในหมู่เรา! แต่สำหรับการแข่งนี้ ไม่รู้เลยว่าคนที่หัวเราะทีหลัง จะเป็นใครกันแน่?”
…
ในที่สุดการหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองของซั่งกวนจิ้ง ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
ทัณฑ์สวรรค์นับไม่ถ้วนพุ่งลงมา แล้วเสียดสีขัดเกลากระบี่เล่มยาวที่เกิดจากกริดหยกวิญญาณ
ยามนี้พลังปราณในการเขาใกล้จะหมดลงแล้ว
ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ โดยใช้ทัณฑ์สวรรค์มากเพียงนี้!
ใช่แล้ว
เจ้าสิ่งนี้คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋ออย่างไม่ต้องสงสัย!
ยิ่งไปกว่านั้น มันคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยหลอม นับตั้งแต่ใช้ชีวิตมา!
การเคลื่อนไหวอันน่าอัศจรรย์ใจนั้น ดึงดูดความสนใจของฉู่หลิวเยว่และเว่ยเจ๋อเช่นกัน
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียง
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่ทอประกายวิบวับ
นี่เป็นครั้งแรกนางได้เห็นองค์ไท่จู่หลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และมันน่าทึ่งกว่าที่คาดไว้มาก!
เว่ยเจ๋อกำหมัดแน่น จิตใจสุมไปด้วยไฟริษยา
แต่โชคดีที่เขายังมีไม้ตายอยู่
แข็งแกร่งสู้ซั่งกวนจิ้งไม่ได้ ก็ช่างมันประไร
แค่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายได้ ก็จะได้สมบัติของถังเคอมาครอบครองแล้ว!
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งจดจ้องเข้าไปในค้อนม่วงดำที่อยู่ตรงหน้า
หึ่ง!
เสียงหวีดหวิวดังอื้ออึง!
ในที่สุดซั่งกวนจิ้งก็ยื่นมืออกมา แล้วคว้ากระบี่หยกวิญญาณอู๋หยูเบื้องหน้าไว้แน่น!
ทันใดนั้น ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายไปทุกทิศทาง! จนแทบคลุมทั้งพื้นที่!
พลังอันนุ่มนวลและแข็งแกร่งสายหนึ่งเคลื่อนเข้ามาอย่างอ่อนช้อย และล้อมรอบปราณกระบี่ไว้
เสียงพูดที่แฝงไปด้วยเสียงหัวเราะของถังเคอพลันลอยแทรกขึ้นมา
“ในบรรดาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของจุนเจ๋อ เจ้าสิ่งนี้เกือบจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ขาดก็แต่การทะลวงขั้นพลังปราณ และกลายเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์! ซั่งกวนจิ้ง เจ้านี่ช่างโดดเด่นจริงๆ!”
ภายในคำพุดนั้นเปี่ยมไปด้วยการชื่นชมเยินยออย่างเปิดเผย
เพราะใต้หล้านี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ได้
ซั่งกวนจิ้งมองดูกระบี่เล่มงานในมืออย่างระมัดระวัง ในจะพลันรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา!
ครั้งนี้ที่เขาประสบความสำเร็จได้ นั่นเพราะตัวช่วยสำคัญในกระบวนการนี้ อย่างทัณฑ์สวรรค์ทั้งหมดในที่แห่งนี้!
แม้จะยังทะลวงขึ้นพลังปราณ และสรรสร้างให้มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่ซั่งกวนจิ้งพอใจมากแล้ว
เขารู้ดีว่าหากคิดจะก้าวต่อไปอีก ย่อมมิใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครคิด
นั่นเพราะหลังจากหมดยุคของถังเคอและท่านซูแล้ว ผ่านมาหมื่นปี ก็ยังไม่มีใครในอาณาจักรเสิ่นซวี่ที่สามารถหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
ในใจเขารู้ว่าถ้าอยากจะไปต่อ ต้องหยิบยืมความช่วยเหลือจากบางสิ่ง แต่สิ่งนั้นคืออะไร เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
ถ้าไม่ได้นั่งฝึกปราณที่นี้ แล้วคิดจะหลอมกระบี่เล่มนี้ ไม่รู้เลยว่าต้องเสียพลังชีวิตไปมากเพียงใด
ถังเคอหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันเป็นเพราะเจ้ามีดีต่างหาก! แล้วการแข่งนี่ เจ้าอยากเข้าร่วมต่อด้วยหรือไม่?”
ซั่งกวนจิ้งชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ พลางยิ้มบาง
“ไม่ไหวหรอก”
สุ่มเสียงรอบข้างพลันเงียบลงทันตา
ถึงจะตกใจกับการตัดสินใจของซั่งกวนจิ้ง แต่ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลอยู่
กระบี่เล่มนี้ผลาญพลังปราณของเขาไปมาก ต่อให้ฝืนทะลวงต่อไป ผลสุดท้ายอาจไม่มีความหมายเลย
หยุดไว้แค่นี้ ดีกว่าจบชีวิตที่นี้
ในช่วงสุดท้ายที่กระบี่หยกวิญญาณกลืนกินทัณฑ์สวรรค์มากมายเข้าไป ทั้งสามคนก็ยังดูไร้การเปลี่ยนแปลงใดใด จึงยังมิอาจตัดสินผู้แพ้ชนะได้
แม้ซั่งกวนจิ้งจะถอนตัวแล้วถูกปรับแพ้ เข้าก็สร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อออกมาได้ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
“ตกลง”
ถังเคอดูไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของเขา
“ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เจ้าได้กลืนกินทัณฑ์สวรรค์ไปแล้วทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยแปดเอ็ดสาย จัดเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ หากหลังจากนี้ สองคนที่เหลือเก็บทัณฑ์สวรรค์มากกว่าเจ้าไม่ได้…ผู้ชนะจะเป็นเจ้า!”
เหล่าผู้ชมล้วนตกใจกับตัวเลขที่ได้ยิน
“ในอนาคตหากมีโอกาส ก็ลองหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ดูเสีย สำหรับเจ้าแล้ว ไม่น่าเป็นไปไม่ได้”
ประโยคสุดท้ายของถังเคอ ทำเอาคนฟังตกตะลึงกันทั้งบาง
หมายความว่า…
นี่มันหมายความว่า ซั่งกวนจิ้งมีทักษะการหลอมอาวุธที่เก่งกล้าขนาดนั้นเชียวหรือ!
ซั่งกวนจิ้งเองก็ตกใจ พลันรีบก้มศีรษะลงทันที
“น้อมรับคำชี้นำของท่านขอรับ”
ทุกคนล้วนทำหน้าตาเลิกลัก พวกเราต้องมองซั่งกวนจิ้งใหม่เสียแล้ว
ในเมื่อถังเคอเอ่ยปากเอง ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่ๆ!
แม้ครั้งนี้ซั่งกวนจิ้งพ่ายแพ้ แต่เพียงสิ่งที่พวกเขาเห็นในวันนี้พรั่งพรูออกไป แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนทั้งยุทธภพตกตะลึง และสรรเสริญความเก่งกาจของเขาแล้ว…
ซั่งกวนจิ้งประสานหมัด เคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันหลังเดินไปยังทางเข้า
เมื่อเห็นเขาเดินมา ทุกคนพลันวิตกจริตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ซั่งกวน ยินดีกับเจ้าด้วย!”
ชายชราสองสามคนที่เข้ามาพร้อมกับซั่งกวนจิ้ง เคลื่อนเท้าเข้ามาเขาเป็นพวกแรก แล้วกล่าวแสดงความยินดีกับเขา
คนที่เหลือจึงรีบทำตามทันที
“ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสซั่งกวน!”
“ผู้อาวุโสเงียบหายไปหลายปี ยามนี้ได้แสดงฝีให้ประจักษ์อีกครั้ง ช่างน่าประทับใจยิ่งยวด!”
………………..