ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2069 นางจะชิงมันมาเอง!
………………..
การกระทำเช่นนี้ของเขา ทำเอาคนดูอึ้งจนพูดไม่ออก
เพราะมันฉับพลันเกินไป
ก่อนหน้านี้รอตั้งนาน ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้น เว่ยเจ๋อเองก็ดูนิ่งเงียบไม่ไหวติง
ไม่มีใครคิดว่าเขาลงมือกะทันหันเช่นนี้
“หรือเพราะถูกตามทัน เลยรีบร้อนเช่นนี้?”
หลายคนต่างคาดเดาไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งมันคือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด
โลหิตอุ่นๆ ไหลหยดลงบนค้อน และถูกดูดซับหายไปในพริบตา ไม่เหลือร่องรอยใดใด
จากนั้น ลายอักขระบนค้อนก็สว่างวาบขึ้น
ลมปราณอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งกระจายออกมา!
ทัณฑ์สวรรค์เบื้องบนแล่นริ้วราวถูกกระตุ้นด้วยพลังบางอย่าง ก่อนจะมุ่งหน้ามาทางนี้ แล้วค่อยๆ รวมตัวกันจนเกิดพายุสายฟ้าที่หมุนวนราวกับพายุงวงช้าง
โดยมีเว่ยเจ๋อเป็นศูนย์กลางพายุ!
ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือ ด้ามค้อนที่อยู่ตรงหน้าเขาเขาต่างหาก
ฉู่หลิวเยว่เองก็นำสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมาวางไว้เบื้องหน้า หากแต่รัศมีของทั้งสองคนที่ส่งไปยังคนดูนั้น แตกต่างกันลิบลับ
ทางด้านฉู่หลิวเยว่ ทุกคนสัมผัสได้ชัดเจนว่า เป็นตัวนางที่เปิดใช้งานสมบัติศักดิ์สิทธิ์และอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อเหล่านี้ และกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ให้ผ่าลงมา
แต่ด้านเว่ยเจ๋อนั้น กลับดูเหมือนว่าค้อนด้ามนั้นต่างหาก ที่เป็นตัวกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์เบื้องบน
เว่ยเจ๋อนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนมีตัวตน แต่ก็เหมือนไม่มี
สายลมกระโชก อัสนีบาตรส่งเสียงคำราม
ฉู่หลิวเยว่เองก็ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้
นางหันไปมองพลันหรี่ตาลงอย่างจับผิด
ยามนี้ท่าทีของเว่ยเจ๋อดูผิดแปลกไปมาก
ใบหน้าของเขาซีดขาว หน้าผากปรากฏเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย เลือดสีสดไหลซึมออกมาตามขอบปาก ก่อนจะถูกเขาเช็ดปาดออกอย่างรวดเร็ว
ลมปราณรอบกายเขาแผ่วเบาลงกว่าครู่ก่อนมาก
ในสายตาของคนอื่น พวกเขาคิดว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเขาระเบิดพลังแล้วผลาญมันจนหมด เพื่อเรียกทัณฑ์สวรรค์
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดเช่นนั้น
การที่เว่ยเจ๋อตกอยู่ในสภาพนี้…ไม่น่าใช่แค่เรื่องระเบิดพลังปราณแน่ๆ!
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตามามองค้อนที่อยู่ตรงหน้าเขา พลางครุ่นคิดกับตัวเอง
ไม่รู้เพราะอะไร แต่นางมักจะสัมผัสได้ตลอดว่าเว่ยเจ๋อถูกควบคุม…
“ประมุขเว่ย”
จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็อ้าปากตะโกนเรียกเขา
แต่ดูเหมือนเว่ยเจ๋อจะไม่ได้ยิน ไร้การตอบสนองจากอีกฝ่าย ดวงตาของเขาจับจ้องเพียงค้อนที่อยู่ตรงหน้า
“ประมุขเว่ยเจ้าคะ?”
ฉู่หลิวเยว่เร่งเสียงดังขึ้น
ครานี้ เว่ยเจ๋อถึงได้หันมา
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง
เว่ยเจ๋อหน้าซีดเผือดราวกับผี ไร้ซึ่งโลหิต อีกทั้งลมปราณและระดับจิตวิญญาณเองก็ต่ำลงเสียน่ากลัว
เทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว ราวกับคนละคน!
และทั้งหมดนี้เกิดจากตอนที่กรีดฝ่ามือตัวเอง แล้วทิ้งรอยเลือดลงบนค้อน
ครั้งแรกที่เขาหันศีรษะมามองนาง ดวงตาของเขามัวหมองราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา
แม้หลังจากนั้น เขาก็กลับมาเป็นปกติดังเดิมได้โดยไว เหลือเพียงความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในดวงตาของเขา แต่กระนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ยังคิดว่ามันผิดปกติอยู่ดี
“ประมุขเว่ยเจ้าคะ วลีที่ท่านกล่าวไว้กับข้าก่อนหน้านี้ ยามนี้ข้าขอคืนมันให้ท่าน แม้การแข่งขันจะสำคัญยิ่ง แต่ร่างกายของท่านสำคัญที่สุด”
ฉู่หลิวเยว่เน้นยำทีละคำ
นัยน์ตาของเว่ยเจ๋อร้อนผ่าว ราวปรากฏร่องรอยของโทสะและความขุ่นเคือง แต่เขาไม่ได้มันออกมา และทำเพียงหันศีรษะกลับไป ไม่สนใจนางอีก
ถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตน
เพียงแต่ ที่นางไม่เข้าใจก็คือ หากนางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเช่นนี้ ถังเคอผู้นั้นก็น่าจะสัมผัสได้เช่นกัน
แต่ทำไมจนถึงตอนนี้แล้ว เขาก็ยังเงียบไม่พูดไม่จา?
ทัณฑ์สวรรค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่างมุ่งหน้าไปทางเว่ยเจ๋อ!
ไม่ง่ายเลยกว่าฉู่หลิวเยว่จะตามทัน ทว่าขณะเดียวกัน เว่ยเจ๋อก็ลงมือกะทันหัน จนช่องว่างนั้นขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นสถานการณ์ในลานกว้างเปลี่ยนไปอีกครั้ง เหล่าผู้สังเกตการณ์ทุกคนต่างก็เงียบลงทันควัน แทบจะกลั้นหายใจกันอยู่แล้ว
พวกเขาเห็นแล้วว่าตอนนี้คนทั้งสอง ได้งัดเอาไพ่ตายออกมาใช้กันแล้ว ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ไม่นานก็น่าจะตัดสินได้แล้ว!
ซั่งกวนจิ้งกำหมัดแน่น
ปัญหาหลักในยามนี้คือ ไม่ใช่เรื่องที่เว่ยเจ๋อกลืนกินทัณฑ์สวรรค์ได้มากและเร็วกว่าฉู่หลิวเยว่ แต่ประเด็นคือตอนนี้เว่ยเจ๋อเริ่มแย่งทัณฑ์สวรรค์ไปต่างหาก!
สายอัสนีบาตรที่แต่เดิมพุ่งเข้าหาฉู่หลิวเยว่ ราวถูกดึงดูดด้วยพลังบางอย่างจากเว่ยเจ๋อ พวกมันวกกลับไปทางนั้น แล้วพุ่งใส่อีกฝ่ายโดยตรง
ทัณฑ์สวรรค์ทางฝั่งฉู่หลิวเยว่เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
แม้จะเผาผลาญลมปราณต่อไปได้ แต่ถ้าสู้กับเว่ยเจ๋อไม่ได้ เช่นนั้น สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม!
ไม่เพียงแต่ซั่งกวนจิ้งเท่านั้น แต่ยังมีช่างหลอมอาวุธอีกหลายคนที่กำลังเฝ้าดูการแข่งขันนี้ แล้วจับสังเกตความผิดแปลกตรงนี้ได้เช่นกัน
“ข้าไม่คิดว่าเว่ยเจ๋อจะแข่งแกร่งจนสามารถแย่งทัณฑ์สวรรค์ของซั่งกวนเยว่ทั้งหมดไปได้! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะชนะขาดลอย! และพอถึงตอนนั้น ซั่งกวนเยว่ก็จะแพ้ราบคาบ!”
“ปกติแล้วเวลาที่คนสองคนแข่งกันเรียกทัณฑ์สวรรค์ จะมีแค่ฝ่ายที่ระดับพลังปราณสูงกว่าอีกฝ่ายเท่านั้น ถึงจะเรียกแกร่งพอฉวยเอาทัณฑ์สวรรค์ไปได้ แต่พลังของเว่ยเจ๋อในด้านนี้ ไม่ได้จัดอยู่ในระดับสูงขนาดนั้น อีกทั้งซั่งกวนเยว่เองก็มีสมบัติศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้น เหตุใดมันถึงกลายเป็นแบบนี้?”
“ไม่แปลกเลยที่ก่อนหน้านี้เว่ยเจ๋อจะโอ้อวดปานนั้น ที่แท้ก็เพราะว่ามีไพ่ตายอันทรงพลังเช่นนี้…คราวนี้ ข้าคิดว่าเขาคงชนะจริงๆ แล้ว ถึงทางซั่งกวนเยว่จะมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็กลัวว่ามันจะยากเกินต่อกร!”
…
สุ่มเสียงสนทนารอบด้านลอยเข้าหู
ฉู่หลิวเยว่ดึงสายตากลับมา แล้วหลับตาลงช้าๆ
ที่พวกเขาพูดมานั้น นางเข้าใจดี
ยามนี้ ทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นล้วนไม่มาตามแรงยุของนางแล้ว
แม้แต่ขวานสุริยันมรกตอันยิ่งใหญ่และของอื่นๆ ก็ยังมีช่องโหว่อยู่
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่ได้การแน่…
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง พลันยกมือขึ้นแล้วตั้งสมาธิเรียกวัตถุทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้ากลับคืนมา
ไม่นานรอบตัวนางก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
ผุ้ชมทั้งหมดพลันเงียบเสียงไปโดยปริยาย
หรือว่านาง…จะยอมแพ้แล้ว?
“ถอนฟืนใต้กระทะ[1]งั้นหรือ! ประมุขเว่ยช่างเก่งกาจโดยแท้”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
เว่ยเจ๋อหันกลับมามองนางอีกครั้ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ยอมแพ้ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ และเมินคำพูดของเขา นางปรบมือเบาแล้วปัดฝุ่นตามตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“ในชีวิตคนอย่างข้า เกลียดผู้ที่ช่วงชิงของของข้าไปมากที่สุด”
เสียงของนางแผ่วเบา ราวกับจะปลิวหายไปตามลมได้ทุกเมื่อ
“ประมุขเว่ยเจ้าคะ ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใดพวกเราไม่มาลองทายกันดู ว่าใครจะปล้นใครกันแน่?”
เว่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลันขมวดคิ้วฉับ
“เจ้าไม่ใช่คู่…”
ทว่าขณะนั้นเองไม่ทันพูดจบ เขาก็อึ้งไป มองดูเด็กสาวคนนั้นเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ร่างของนางพุ่งทะยานออกไปราวลูกธนู!
มุ่งหน้าสู่ทะเลแห่งอัสนีบาตรอันไร้ที่สิ้นสุดบนท้องนภา!
[1]ถอนฟืนใต้กระทะ เป็นการอุปมาว่า ตัดไฟเสียแต่ต้นลม