ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2074 บังอาจนัก! / ตอนที่ 2075 จารึกสุสาน
ตอนที่ 2074 บังอาจนัก! ตอนที่ 2075 จารึกสุสาน
ตอนที่ 2074 บังอาจนัก!
“ผู้น้อยสายตาไม่ดีนัก สู้ให้โล่ผสานนภาช่วยเลือกดีกว่าเจ้าค่ะ”
ขณะกล่าวเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็วางมือข้างหนึ่งไว้บนโล่ผสานนภา ก่อนจะกลั้นลมหายใจแล้วอัดพลังปราณดั้งเดิมใส่เข้าไปในโล่
หึ่ง!
กลุ่มแสงสีฟ้าเจิดจ้า ปรากฏขึ้นบนโล่ผสานนภา!
ลวดลายอักษรแปลกตาที่สลักไว้บนนั้น สะท้อนกับแสงสีฟ้า จนทำให้ดูขลังยิ่งกว่าเดิม
ฉู่หลิวเยว่เฝ้ารออย่างอดทน
ทว่าหลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ โล่ผสานนภากลับไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆออกมา
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วฉงนใจ
ย้อนกลับไปตอนแรกยามที่นางอยู่นอกประตู นางสัมผัสถึงความผันผวนของโล่ผสานนภาได้อย่างชัดเจน แต่แล้วเหตุใดตอนนี้
นางรออีกสักพัก แต่ก็ยังไร้การเปลี่ยนแปลง
ยามนี้โล่ผสานนภาไม่สามารถช่วยนางเลือกได้แล้ว
แต่แล้วถังเคอก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“นางหนู เจ้านี่ช่างเฉลียวนัก! แต่น่าเสียดาย แม้ว่าโล่ผสานนภาจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ช่วยเจ้าเลือกไม่ได้หรอก เจ้า…ควรเลือกด้วยตัวเองดีกว่า!”
ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง มือเรียวเคลื่อนไปสัมผัสกับอักขระที่สลักไว้บนโล่ นัย์ตากลมทอประกายลึกล้ำยากเกินคาดเดา
บนห่วงเคาะประตูสัมฤทธิ์เองก็มีลายเช่นนี้ ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง โล่ผสานนภายามอยู่ที่นี่ กลับเหมือนกำลังพลังงานบางอย่างกดมันไว้
ถึงจะสัมผัสได้คลุมเครือ แต่นางสามารถบอกได้ชัดเจนว่า
ถังเคอผู้นี้…คงไม่อยากให้นางยืมพลังของโล่ผสานนภา?
ในสมองของฉู่หลิวเยว่คิดไปแล้วต่างๆ นาๆ หากแต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้น
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ถังเคอขอให้นางเลือกเอง เช่นนั้นนางก็จะเลือกมันด้วยตัวเอง!
…
ขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกสุสาน
ซั่งกวนจิ้งรู้สึกปั่นป่วนราวโลกหมุน หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ความมืดมิดที่ห้อมล้อมตัวเขาไว้ก็มลายหายไป
เมื่อสองปลายเท้าแตะพื้นพสุธาอย่างมั่นคงแล้ว ซั่งกวนจิ้งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขารีบเงบหน้ามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าบานประตูมันปิดอยู่
มันคือบานที่ฉู่หลิวเยว่เปิด เพื่อให้พวกเขาเข้าไป
ยามนี้ประตูบานเดิมกลับล็อคแน่น ห่วงเคาะประตูสัมฤทธิ์สั่นไหวสองครั้ง แล้วหยุดลง
เสมือนว่าทุกอย่างกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอึกทึกคึกโครมที่ดังมาจากด้านหลัง
พวกเขาคือกลุ่มคนที่เพิ่งถูกส่งออกมา สีหน้าคร่าตายังคงตื่นตระหนกไม่หาย
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ และไม่นานก็เข้าใจว่า พวกเขาถูกถังเคอส่งตัวกลับมายังป่าศิลาอีกครั้ง!
“พวกเรา…ออกมาแล้วรึ? เหมือนว่าซั่งกวนเยว่จะไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย?”
“นางทำลังจะได้รับมรดกของผู้อาวุโสถังเคอ แน่นอนว่านางย่อมไม่อยู่ที่นี่! เมื่อครู่ผู้อาวุโสถังเคอก็บอกเกริ่นแล้วมิใช่หรือว่า จะให้นางอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง? หากนางออกมาเมื่อใด เดาว่า…คงสะเทือนไปทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่เป็นแน่?”
คำพูดนี้มิได้ดูเกินจริงเลยสักนิด
ถังเคอนั้นเป็นถึงช่างหลอมอาวุธระดับตำนานของอาณาจักรเสิ่นซวี่ ผู้ใดก็ตามที่ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของเขา ย่อมมีอาณาคตที่สดใสรออยู่แน่นอน!
หากได้รับความเมตตาและได้เป็นคนที่เขาโปรดปราณ หลังจากนี้ฉู่หลิวเยว่น่าจะมีแนวโน้มที่จะทะลวงผ่าน และกลายเป็นช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ที่กล้าแกร่งได้ในอนาคต!
เมื่อถึงเวลานั้น สถานะของนางย่อมไม่เหมือนเดิม
ก่อเกิดยุคสมัยของช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้!
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีซั่งกวนจิ้งที่ถังเคอชื่นชมนักหนาอีก?
ณ ที่แห่งนี้ มีใครบ้างไม่อิจฉาพวกเขา?
“โชคของนางนี่ช่าง สวรรค์ประทานขนานแท้…”
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาหลังแช่งขัน ก็เป็นเพราะความสามารถของพวกเขาเอง นางชนะอย่างขาวสะอาดและมีเกียรติ ผู้ใดจักต่อว่านางได้
เว่ยเจ๋อมองไปรอบๆ อย่างถี่ถ้วน พลันตระหนักถึงความผิดปกติ
“หรงซิวละ?”
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ล้วนเป็นผู้ติดตามของเขาทั้งสิ้น หลังจากได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็รีบมองไปรอบๆ แต่หลังจากมองหาสักพัก กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหรงซิว
ถึงจะมีคนรวมตัวกันมากมาย ทว่าเพียงมองปราดเดียว ก็รู้แล้วว่าใครอยู่ใครหาย
อีกทั้งหรงซิวยังโดดเด่นขนาดนั้น
แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็ยังมองเห็นเขาได้ในพริบตา
“ท่านประมุข ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่จริงๆ นะขอรับ…”
ทันใดนั้น เว่ยเจ๋อก็นึกอันใดขึ้นได้ สองคิ้วขมวดเข้าหากัน และเบนสายตาไปยังประตูบานใหญ่ พลันทำหน้าตาตกอกตกใจสุดแรง
“เขาเองก็ได้อยู่ข้างในรึ!?”
เรื่องที่ว่าหรงซิวไม่ได้ออกมาพร้อมทุกคน แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างสงสัยใคร่รู้ และหลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาได้อยู่ข้างใน ซึ่งก็คือง้าวว่านเฟิง
อย่างใดเสีย มันก็เป็นสมบัตศักดิ์สิทธิ์ที่ถังเคอหล่อหลอมขัดเกลาด้วยตัวเอง
หลังจากเข้าใจอย่างถ่องแท้ เว่ยเจ๋อพลันกัดฟันกรอด ขุ่นเคืองในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ง้าวว่านเฟิงด้ามนั้น เดิมทีมันควรจะเป็นของเขา!
หากหรงซิวไม่ปรากฏตัวขึ้น แล้วชิงเอามันไปเป็นของตัวเอง ยามนี้คงเป็นเขาที่ได้สิทธิ์อยู่ข้างในนั้น!
เว่ยเจ๋อโกรธมาก เลือดลมในกายผันผวนอย่างรุนแรง และกระอักเลือดออกมาหลายครา
“ท่านประมุข!”
เหล่าผู้ติดตามที่อยู่ใกล้ ต่างเร่งเข้ามาช่วยเหลือเขา
“ไสหัวไป!”
เว่ยเจ๋อสะบัดคนเหล่านั้นออก สีหน้าบึ้งตึงน่าเกลียด ก่อนจะเดินไปหาที่นั่งสงบสติอารมร์ พลางปรับลมปราณอยู่คนเดียว กระทั่งอาการบาดเจ็บจางหาย
เขาหลุบตาลงมองฝ่ามือของตัวเอง
รอยกรีดก่อนหน้านี้ตกสะเก็ดแล้ว และเหลือเพียงรอยจางๆ
เขากัดฟันแน่น แล้วหลับตาลง
ยังดี…ดีที่ยังไม่ถูกจับได้
ซั่งกวนจิ้งหรี่ตาลงฉับพลัน พลางเหลือบมองเว่ยเจ๋อสองสามครั้ง ก่อนจะดึงสายตากลับมาแล้วครุ่นคิดกับตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าเว่ยเจ๋อดูผิดปกติ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ข้างในจู่ๆ หรงซิวก็ถามถึงเว่ยซีผิง แน่นอนว่าย่อมมิใช่เรื่องบังเอิญ
ในเวลานั้นซั่งกวนจิ้งยังอยู่กับฉู่หลิวเยว่ ดังนั้นนามนี้ก็มีอิทธิพลกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน
เป็นไปได้ไหมว่า มันจะเกี่ยวกับความลับของค้อนด้ามนี้ด้วย?
ซั่งกวนจิ้วคิ้วขมวดเป็นปม
แต่มันมิใช่เวลาจะมาถามเรื่องนี้
…
ท่ามกลางความเงียบสงัด
ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางวงล้อม ดวงตากลมสวยกวาดมองประตูทั้งสิบบานตามลำดับ
นางบอกไม่ได้ว่าเสียงของถังเคอดังมาจากทิศใด และไม่อาจระบุได้ว่าคลื่นพลังของโล่ผสานนภา กำลังทำปฏิกริยากับสิ่งที่อยู่หลังประตูบานใด
ฉะนั้นนาง…จำต้องสุ่มดูเท่านั้น!
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ก็ยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ประตูทางด้านซ้ายนับจากตรงกลาง
“ผู้อาวุโสถังเคอ ข้าเลือกบานนี้เจ้าค่ะ”
“เมื่อเลือกแล้วต้องไม่เสียใจ ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหม?”
“ข้าแน่ใจเจ้าค่ะ”
ถังเคอชะงักไปแวบหนึ่ง พลันหัวเราะเบาๆ
“ดี! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็แค่ก้าวไปข้างหน้า แล้วเปิดประตู!”
ฉู่หลิวเยว่สงบจิตสงบใจ พลางยกเท้าขึ้นเพื่อก้าวไปข้างหน้า
แต่ในขณะที่ยกเท้าขึ้นนางก็หยุดชะงัก แล้วหันไปมองหรงซิวที่อยู่ด้านข้าง
นางจำได้ขึ้นใจ ถังเคอกล่าวไว้ว่าหลังจากที่นางเลือกแล้ว หรงซิวเองก็ได้สิทธิ์ลือกเช่นกัน
นางอยากรู้ว่าหรงซิวจะเลือกบานไหน
“หรือเราจะรอให้เจ้าเลือกเสร็จก่อน แล้วค่อยเดินไปพร้อมกันดี?”
แต่ก่อนที่หรงซิวจะได้ตอบกลับ ถังเคอก็เอ่ยขัดเสียก่อน
“ไม่ เขาไม่สามารถเลือกประตูได้ จนกว่าเจ้าจะเข้าไป”
ฉู่หลิวเยว่ย่นจมูกอย่างขัดใจ
ผู้อาวุโสถังเคอ เจ้าของสมณานามอันลือเลื่องผู้นี้ ช่างร้ายกาจเกินใคร และยึดมั่นในกฎอย่างถึงที่สุด…
“เจ้าค่ะ”
แม้นางจะรู้ว่าสองเราย่อมเลือกต่างกัน และอาจเป็นเรื่องยากที่จะได้เจอกันหลังประตู แต่นางก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี
คิดไม่ถึงว่าแค่นี้ก็ยังไม่ยอมหยวนให้กันเลย
หรงซิวหัวเราะเอ็นดู พลางเดินเข้าไปจับมือนางไว้
นิ้วเรียวติดหยาบกร้านเล็กน้อย ลูบผ่านฝ่ามือของนางเบาๆ จนร่างบางสั่นสะท้าน
แขนยาวเหยียดออกไป แล้วคว้าเอาคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้
กลิ่นหอมเย็นจางๆ ล้อมรอบฉู่หลิวเยว่ในทันที
เขาวางคางลงบนหน้าผากของนาง และถูเบาๆ อย่างรักใคร่ ก่อนจะกระซิบเสียงทุ้มต่ำ
“วางใจเถอะ ข้าจะรีบไปหาเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบโดยไม่รู้ตัว พลางเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วแย้มยิ้มให้อีกคน
“เราเลือกประตูคนละบาน ถ้าเจ้าจะไปหาข้า เกรงว่าคงไม่สะดวกขนาดนั้น อย่างใดเสียเราก็ต้องออกมา เช่นนั้นก็นัดเจอกันที่นี่จะเป็นอย่างใด?”
เส้นแสงบางอย่างแวบผ่านดวงตาสีดำของหรงซิว ริมฝีปากบางสีแดงเรื่อหยักยกขึ้นเล็กน้อย
“ตกลง”
เขาไม่เคยปฏิเสธคำขอของนางอยู่แล้ว
“เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตาหยี ก่อนจะหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังประตูที่เลือก
สถานที่แห่งนี้ทั้งโล่งทั้งกว้าง แต่หลังจากกลืนกินทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้น ความแข็งแกร่งของนางก็ฟื้นตัวขึ้นมากกว่าเดิม จึงทำให้นางเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าปกติ และไม่นานก็มาถึงหน้าประตูที่เลือก
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ และยกมือขึ้นวางลงบนประตูสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด
สัมผัสนั้นเย็นเยือก หยาบกระด้าง และหนาแน่น
นางเริ่มออกแรงผลัก
แอ๊ด
ประตูตรงหน้าเปิดออกแล้ว!
ลมปราณสายหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า
ราวกับเปิดกล่องที่ฝุ่นเกาะอยู่นานหลายปี นางได้กลิ่นของความเก่าแก่ลอยอบอวลอยู่ภายใน
นางเพ่งสายตามองเข้าไปด้านใน และเห็นเพียงความมืดมิด
ไม่มีใครรู้ว่ามีอันใดรออยู่ข้างใน
ฉู่หลิวเยว่ตั้งจิตแน่วแน่ แล้วเดินเข้าไปด้านใน
ร่างของนายหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ปัง!
ประตูสัมฤทธิ์ปิดลงอีกครั้ง บดบังสายตาของหรงซิวโดยสมบูรณ์
พื้นที่อันกว้างใหญ่ตกอยู่ในความเงียบอีกครา
หรงซิวจ้องมองไปที่ประตูพักหนึ่ง แล้วดึงสายตากลับมา
ยามนี้ความอ่อนโยนละมุนละไมในดวงตาของเขา จางหายไปโดยสิ้นเชิง
และทนที่ด้วยความเย็นชาดังปกติ
ราวกับธารน้ำแข็งหมื่นลี้ ที่เย็นเฉียบจนน่ากลัว
อุณหภูมิโดยรอบ เหมือนจะลดฮวบลงในพลัน
กลีบปากบางเหยียดยิ้มเล็กน้อย
“ถังเคอ”
“เจ้าบังอาจนัก”
ตอนที่ 2075 จารึกสุสาน
เสียงของเขาเย็นชาและทุ้มต่ำ ราวกับเสียงแผ่นหยกกระทบกัน แต่กลับเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว!
และทันทีที่พูดจบ พื้นดินใต้เท้าเขาก็ปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งสีขาวกระจ่าง!
สายลมเย็นพัดโชยเข้ามา
ก่อนที่ร่างเงาโปร่งแสงร่างหนึ่ง จะปรากฏขึ้นต่อหน้าหรงซิว
ร่างเงานั้นเป็นบุรุษอายุอานามราวสามสิบปี เสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำเงินโปกสะบัด กายาสูงเด่นเป็นสง่า พร้อมกับรูปโฉมอันหล่อเหลาที่ค่อยๆ เผยให้เห็นทีละนิด
เขาคือ ถังเคอ!
หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง คงยากที่คนทั้งโลกจะเชื่อว่าถังเคอในตำนานนั้น ยังหนุ่มยังแน่นเพียงนี้
อันที่จริง เนื่องจากศักยภาพที่โดดเด่นมากกว่าใครในตอนนั้น ทำให้เขาทะลวงผ่านขอบเขตพลังปราณได้เร็ว และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นรูปร่างหน้าตาของเขาจึงคงหยุดไว้ที่ช่วงอายุดังกล่าว
เขาหันไปมองหรงซิวที่กำลังโกรธเคืองกัน ความกลัวพลันแล่นผ่านดวงตาอันลึกล้ำ ก่อนจะรีบประสานหมัดแล้วคำนับหรงซิวด้วยความเคารพ
“ข้ากระทำการอุกอาจ นำนายท่านเยว่เข้าไปในถ้ำเร้นวายุ หวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัย!”
หรงซิวมองเขาด้วยสายตาเชือดเฉือ
“พระชายาต่างหาก”
ถังเคอพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ และก้มศีรษะขอโทษโดยด่วน
“ข้าผิดไปแล้ว!”
เกือบลืมไปเลยว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงอภิเสษสมรสแล้ว…
หรงซิวก้าวเท้าไปข้างหน้า
แรงกดขี่บีบอัดหนักหน่วงมากขึ้นทุกย่างก้าว จนถังเคอแทบจะทนไม่ไหว
หรงซิวกล่าวเสียงเรียบตึง
“ไม่ว่านางจะเลือกประตูไหนในสิบประตูนี้ สุดท้ายมันก็จะนำพานางไปยังถ้ำเร้นวายุอยู่ดี เจ้าอยากให้นางช่วยคนที่เจ้าดูแลอยู่ใช่หรือไม่? แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้อันตรายต่อนางมากแค่ไหน!”
น้ำเสียงที่ใช้ถามนั้นเย็นเยียบไปถึงขั่วหัวใจ
เขากัดฟันกรอด พลางสะบัดชายเสื้อแล้วทิ้งตัวลงคุกเข่าขออภัยโทษ!
“ฝ่าบาท! ข้าเข้าใจทุกอย่างที่ท่านกล่าวมา แต่ว่าข้าต้องทำสิ่งนี้ผ่านมานานหลายพันปี ข้า…มิอาจทนรออีกต่อไปแล้ว!”
แม้เขาจะรู้ว่าการทำเช่นนี้ จะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว แต่อย่างใดเขาก็ต้องทำมัน!
เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวของเขา!
หรงซิวหลุบตามองคนที่อยู่ต่ำกว่าอย่างเย็นชา
ถังเคอจรดศีรษะแนบพื้น สองมือวางราบไปกับพื้นดิน ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลเช่นนี้ ทำเขาแทบทรงตัวไม่อยู่
หลังจากนั้นไม่นาน หรงซิวก็หมุนตัวกลับ และเดินไปยังประตูที่ฉู่หลิวเยว่เพิ่งเข้าไป
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเขา ถังเคอพลันเอ่ยห้ามปรามในทันใด
“ฝ่าบาท ยามนี้ท่านเข้าไปในถ้ำเร้นวายุไม่ได้!”
หรงซิวหยุดฝีเท้า
เรื่องนี้เขารู้อยู่แล้ว
หากเขาฝืนตัวเข้าไปในตอนนี้ สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
“ข้าจะรออยู่ที่นี่”
หรงซิวยืนนิ่งอยู่หน้าประตู พร้อมไพล่มือไปด้านหลัง นัยน์ตาคู่คมมืดมนจนน่ากลัว
“ถ้านางกลับมาได้ โดยมิได้รับบาดเจ็บ ข้าจะยอมลืมเลือนในวันนี้ไปเสีย แต่ถ้านางได้รับบาดเจ็บเพียงน้อยนิด…ถังเคอ การรอคอยนับหมื่นปีของเจ้า จะไร้ประโยชน์ในทันที!”
หัวใจของถังเคอสั่นไหวด้วยความกลัว ก่อนจะค่อยๆ ปรับลมหายใจและผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ สองตาหลับลงแล้วกล่าวคำนับด้วยความซื่อสัตย์
“ขอบพระคุณฝ่าบาทขอรับ!”
…
ยามนี้ฉู่หลิวเยว่มิได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเลย
หลังจากเข้าไปในประตูสัมฤทธิ์ และเดินฝ่าความมืดมาระยะหนึ่ง นางก็เห็นแสงสว่างปรากฎขึ้นด้านหน้า
ฉู่หลิวเยว่ตั้งสมาธิมั่น พลางก้าวเท้าไปข้างหน้า
หลังจากเดินผ่านทางเดินแคบๆ มา นางก็พบกับค่ายกลสีเงินที่ตั้งอยู่ปลายทาง
แสดงว่าแสงที่เห็นเมื่อครู่นี้ มาจากค่ายกลนี่สินะ
ฉู่หลิวเยว่ลอบสังเกตมันอย่างระมัดระวัง
แรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากค่ายกลนี่แข็งแกร่งมาก แต่เหมือนจะมิได้เป็นอันตรายแก่ชีวิต
นางเอื้อมมือออกไปอย่างลังเล แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่ามือของตนนั้น ทะลุผ่านค่ายกลเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“หึ”
ดวงตากลมเบิกโพล่งด้วยความตกใจ
นางแทบไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้เลย…
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เดินไปข้างหน้า ปรากฏว่านางสามารถผ่านเข้าไปได้ทั้งตัว โดยมิเป็นอันตรายแต่อย่างใด!
ทว่าในขณะที่สมองเต็มไปด้วยความสงสัย นางก็จำต้องตกใจกับภาพที่เห็น
หลังผ่านค่ายกลเข้าไปแล้ว ราวกับมีโลกอีกใบรออยู่
นางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ มันคือพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ไกลออกไปภายใต้ท้องนภาอันไร้ขอบเขต มีจารึกสุสานสองแท่น ตั้งตระหง่านท่ามกลางความเงียบสงบ