ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2076 ถ้ำเร้นวายุ / ตอนที่ 2077 หมดเรี่ยวแรง
ตอนที่ 2076 ถ้ำเร้นวายุ ตอนที่ 2077 หมดเรี่ยวแรง
ตอนที่ 2076 ถ้ำเร้นวายุ
โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง
เหล่านี้คือความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจยามฉู่หลิวเยว่ได้เห็นจารึกสุสานทั้งสองอันนี้
ทั่วทั้งบริเวณพื้นที่รกร้างแห่งนี้ นอกจากจารึกสุสานสองแห่งนั้นที่ตั้งชิดติดกันแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
เหมือนกับว่าพวกมันตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาเมื่อนานมากแล้วก็มิปาน
ดั่งถูกกระตุ้นจากกระแสพลังอะไรบางอย่าง ฉู่หลิวเยว่พลันสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า
ทันทีที่ก้าวเท้า นางก็ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเก่า
มิอาจเหาะเหินเดินอากาศได้ยามอยู่ที่นี่
ที่นี่หาใช่อาณาเขตธรรมดาสามัญไม่ หากแต่เป็นมิติพิเศษเล็กๆ แห่งหนึ่ง!
“อาเยว่ ให้ข้าพาเจ้าไปด้วยหรือไม่”
เสียงของถวนจื่อแล่นปราดขึ้นมาในความคิด
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะไปมา
“ไม่ต้อง”
กระทั่งตัวนางยังได้รับแรงกดดันรุนแรง คาดว่าตัวถวนจื่อเองก็คงมิอาจหลบเลี่ยงได้ไม่ต่างกัน
อย่างไรเสียก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ต้องเร่งรีบอะไร ค่อยๆ เคลื่อนไหวไปช้าๆ ก็ได้แล้ว
นางพลันคิดอะไรบางอย่างออก ก่อนจะหันศีรษะกลับไปมองคราหนึ่ง
ค่ายกลสีเงินอันนั้นราวกับเปลวเพลิงที่มอดดับอย่างรวดเร็วก็มิปาน!
เหนือพื้นที่ว่างนั้นรกร้างว่างเปล่าไปในชั่วพริบตา
ในตอนนี้ นางนับได้ว่าเข้ามายังมิติพิเศษอันแสนแปลกประหลาดนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว…
…
แม้ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ แต่โชคยังดีที่ตอนนี้นางหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้แล้ว ความเร็วเดินหน้าจึงไม่นับว่าช้าแต่อย่างใด
ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป นางก็มาถึงเบื้องหน้าของจารึกสุสานทั้งสองในที่สุด
จารึกสุสานนี้แกะสลักด้วยหินหยกขาว สูงประมาณตัวคนเห็นจะได้
อาจเพราะเผชิญกับลมฝนฟ้ากระหน่ำมาเนิ่นนาน บนหินหยกขาวจึงปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยที่ประสบมาหลายแรมปี
ตัวอักษรบนจารึกสุสานเองก็เลือนหายไปแล้วไม่น้อย
แต่ตราบที่มองดูอย่างละเอียด ก็ยังสามารถแยกแยะออกได้ดังเก่า
ที่น่าแปลกก็คือ จารึกสุสานสองอันนี้ มีเพียงอันเดียวที่แกะสลักตัวอักษรเอาไว้
ฉู่หลิวเยว่ตวัดสายตามองทางขวามือ
บนจารึกสุสานสลักตัวอักษรไว้ประโยคหนึ่ง
“สุสานของถังเคอ”
หัวคิ้วของฉู่หลิวเยว่ย่นเข้าหากันแน่น
แม้โลกภายนอกจะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างอยู่เนืองๆ ว่าถังเคอสิ้นชีวิตแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้าที่พวกเขาจะเข้ามาที่นี่ ก็ยังคิดมาโดยตลอดว่าที่นี่ก็คือสุสานของถังเคอ
แต่ในความเป็นจริง…ถังเคอยังคงมีวิญญาณส่วนหนึ่งหลงเหลือเอาไว้ เขายังไม่แดดิ้นสิ้นใจ!
เช่นนั้นใครเป็นผู้ตั้งจารึกสุสานอันนี้กันเล่า
นอกจากถังเคอแล้ว ที่นี่ก็ไม่น่าจะมีผู้อื่นอีก
คงมิใช่ว่า…เขาเป็นผู้สลักเองหรอกกระมัง!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าความคิดนี้ที่แล่นปราดขึ้นมาในใจของตัวเองช่างเหลวไหลและอยู่นอกเหนือความคาดหมายสิ้นดี
แต่นอกจากคำตอบนี้แล้ว ก็ดูจะไม่มีคำอธิบายอื่นอีก…
นางหันไปมองจารึกสุสานทางซ้ายอีกรอบ
ด้านบนจารึกราบเรียบนัก ไร้ซึ่งรอยสลักตัวอักษร
“สุสานไร้นาม…”
ฉู่หลิวเยว่เอามือเท้าคางพลางจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด
ตั้งจารึกสุสานเคียงข้างกับสุสานของถังเคอได้ เจ้าของร่างถูกที่ฝังอยู่ใต้จารึกสุสานอันนี้ย่อมต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แล้วเหตุใดด้านบนจารึกถึงไร้ชื่อเล่า?
เป็นเพราะคนตั้งจารึกสุสานไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใคร หรือ…ชื่อของคนผู้นี้มิอาจเผยบนจารึกได้กัน?
ฉู่หลิวเยว่หวนคิดไปถึงตลอดช่วงชีวิตของถังเคออย่างรอบคอบ
ครานั้นเขาออกจากตระกูลถังมาด้วยตัวคนเดียว
หลังจากที่เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นไม่นานคนตระกูลถังก็ถูกสังหารยกตระกูล
ผู้ที่ถูกฝังอยู่ด้านใต้จึงไม่น่าจะเป็นคนตระกูลถังผู้อื่น
เช่นนั้น…เป็นผู้ใดกันเล่า?
ถังเคอนั้นเรียกลมเรียกฝนได้ ทั้งยังหยิ่งทระนงและถือตัว ช่างยากจะจินตนาการนักว่าเขาจะอนุญาตให้คนแบบใดมาฝังร่วมกับตนในที่แห่งนี้
ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดว่าถังเคอจะไม่รู้ถึงสถานการณ์ของที่นี่
เขาจงใจให้นางเข้ามาที่นี่งั้นหรือ?
ในใจของฉู่หลิวเยว่เกิดคำถามขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
นางจดจ้องสุสานไร้นามพลางจมดิ่งสู่ภวังค์ความคิด
ทันใดนั้นเอง ชื่อของคนผู้หนึ่งพลันแล่นปราดเข้ามาในหัว!
เดี๋ยวก่อน!
ครานั้นมีคนผู้หนึ่งที่แทบจะหายตัวไปในเวลาเดียวกันกับถังเคอเลยนี่นา!
ก็คือคนผู้นั้น…
ท่านซูอย่างไรเล่า!
ทันทีที่ความคิดนี้แล่นปราดขึ้นมาในหัว เบื้องหน้าของฉู่หลิวเยว่พลันสว่างเรืองรองขึ้นมาทันใด
เหล่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างพากันทะยานนำหน้าออกไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของสุสานไร้นาม!
ตอนที่ 2077 หมดเรี่ยวแรง
ประกายแสงระยิบระยับสายหนึ่งทะยานออกมาจากหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็หยุดเคว้งเหนือจารึกสุสาน
ราวกับความมืดมิดอันดำสนิทพลันถูกแสงสว่างทำลายลงก็มิปาน
บนจารึกสุสานค่อยๆ มีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้น
ใจของฉู่หลิวเยว่สั่นระรัว
จากนั้นก็ตามด้วยภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยและขวานสุริยันมรกต!
ประกายแสงสามสายเข้ารวมตัวกัน
อักษรโบราณลึกลับส่วนหนึ่งค่อยๆ เผยขึ้นมาทีละน้อย
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองมันเขม็ง
อักษรโบราณพวกนี้ดูคุ้นตาไม่น้อย ราวกับนางเคยเห็นมันบนโล่ผสานนภาอย่างไรอย่างนั้น
เพื่อยืนยันความคิดของตัวเอง นางเรียกโล่ผสานนภาออกมาตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนจะพบว่าอักษรโบราณนี้มีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน!
เพียงแต่ว่าอักษรโบราณที่สลักบนจารึกสุสานมีอยู่บนโล่ผสานนภาแค่ครึ่งเท่านั้น
อีกทั้งโล่ผสานนภาราวกับถูกอะไรบางอย่างผนึกเอาไว้ก็มิปาน หลังแสงสว่างจากสมบัติศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นพวยพุ่งออกมาแล้ว มันก็ทอประกายเรืองรองขึ้นมาเพียงหนึ่งส่วน
ที่เหลือกว่าครึ่งยังคงมืดสนิท มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
หรือว่าต้องใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นในครั้งเดียวถึงจะสามารถทำให้มันปรากฏลักษณะเดิมออกมาได้อย่างสมบูรณ์?
ฉู่หลิวเยว่กอดอกพลางจมสู่ห้วงความคิด
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของสมบัติศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นก็เพียงพอจะอธิบายแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่นี่จะเป็นสุสานของท่านซู!
ที่แท้ร่างพวกเขาสองคนฝังเอาไว้ที่เดียวกันจริงๆ…
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทว่าในใจยังคงรู้สึกถึงคลื่นอารมณ์ที่กระเพื่อมไหว
คนในใต้หล้าได้เห็นการต่อสู้อันน่าประหวั่นพรึงของคนทั้งสองในปีนั้นแค่คราเดียว หลังผลออกมาว่าเสมอกัน ต่างฝ่ายต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ใครจะไปคาดคิดว่าสุสานจารึกของพวกเขาจะตั้งเคียงข้างกันเช่นนี้!
หรือว่าการที่ถังเคอให้นางเข้ามา… จะเกี่ยวข้องกับท่านซูผู้นี้เช่นกัน?
อย่างไรเสียตัวนางก็ครอบครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้นที่ท่านซูเป็นผู้ตีหลอมขึ้นมา
จู่ๆ ก็บังเกิดกระแสคลื่นสายหนึ่งกระเพื่อมจากโล่ผสานนภา จากนั้นก็มีแสงสว่างจางๆ ไหลท่วมเข้าปกคลุมอีกครึ่งของโล่!
ฉู่หลิวเยว่คุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้อย่างมาก
คราแรกตอนนางยังคงอยู่ด้านนอก โล่ผสานนภาก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกันนี้เช่นกัน!
ที่แท้…นั่นหาใช่เสียงเพรียกของถังเคอไม่ หากแต่เป็นสุสานของท่านซูต่างหาก!
จากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ยื่นมือไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว
ฝ่ามือของนางเข้าลูบบนอักษรโบราณอย่างแผ่วเบา
ตึกตัก!
ตึกตัก!
ทันใดนั้นราวกับมีเสียงหัวใจเต้นดังแว่วออกมาจากจารึกสุสาน!
ฉู่หลิวเยว่ลอบตกตะลึง
เสียงหัวใจเต้นนี้หาใช่ของนางไม่!
ตอนที่นางกำลังจะผละจากนั่นเอง ก็พบว่าพลันมีแสงสว่างเรืองวาบออกมาจากใต้ฝ่ามือ!
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น พลังปราณดั้งเดิมภายในร่างของนางก็ไหลทะลักเข้าไปทางจารึกสุสานด้วยความเร็วอันน่าตกใจ!
ท่าไม่ดีแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงรีบออกแรงมากกว่าเก่า ทว่ากลับต้องมาตกตะลึง เมื่อพบว่ามิอาจชักมือของตัวเองออกมาจากจารึกสุสานได้!
ราวกับมีตัวอะไรบางอย่างในที่แห่งนี้ที่คอยดูดกลืนพลังปราณดั้งเดิมของนางอย่างบ้าคลั่ง!
ทั้งร่างกายของนางเองก็เหมือนถูกกระแสพลังไร้รูปร่างกดทับอย่างหนักหน่วง มิอาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิดเดียว!
ตึกตัก!
เสียงหัวใจเต้นเสียงนั้นทวีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้เลยว่าพลังปราณดั้งเดิมภายในร่างของตนกำลังรั่วไหลออกไปอย่างรวดเร็ว!
นางหน้านิ่งคิ้วขมวดแน่น
โชคยังดีที่นางกักเก็บพลังปราณดั้งเดิมอันน่าตะลึงเอาไว้ในตำแหน่งตันเถียน มิฉะนั้นแล้วลำพังแค่การสูญเสียปราณเพียงชั่วประเดี๋ยวเช่นนี้ก็เพียงพอจะทำให้นางหมดแรงแล้ว!
“อาเยว่!”
เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ถวนจื่อเองก็กระโดดแผล็วออกมา
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่แสดงสีหน้าขมวดคิ้ว ถวนจื่อก็พลันร้อนใจขึ้นมาทันควัน
ระหว่างนางกับลู่หลิวเยว่ใช้พันธะร่วมกัน ดังนั้นนางจึงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังในร่างของฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้กำลังถูกอะไรบางอย่างดูดกลืนด้วยความเร็วอันน่ากลัว!
“อาเยว่ ข้ามาช่วยแล้ว!”
ถวนจื่อกำลังจะรุดหน้าเข้ามา ทว่ากลับถูกฉู่หลิวเยว่ตวาดห้ามเสียงเข้มไว้ทันที
“อยู่นิ่งๆ! ไม่ต้องเข้ามา!”
ลมปราณภายในจารึกสุสานแผ่นนี้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ที่สำคัญยิ่งกว่าคือมันมุ่งเป้ามาที่นางอย่างเห็นได้ชัด!
ต่อให้เป็นถวนจื่อ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่ดี
หากประมาทแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าจะลากถวนจื่อมาเจอปัญหาด้วย
ถวนจื่อได้ยินดังนั้นจึงยืนอยู่กับที่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ทว่าเมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่สีหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว ใจของนางก็บีบรัดแน่นตาม นัยน์ตากลมโตดุจผลองุ่นพลันถูกสายหมอกบดบังเอาไว้
“อาเยว่…”
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
“จื่อเฉิน!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาร่างสีดำสายหนึ่งพลันปรากฏเบื้องหน้า
จื่อเฉินถูกอัญเชิญออกมาในทันใด!
ฉู่หลิวเยว่กล่าวว่า
“ช่วยข้าดูแลถวนจื่อด้วย“
จื่อเฉินพยักหน้ารับ
“ขอรับ”
พูดจบเขาเตรียมตัวจะลงมือ ทว่าเมื่อเห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายออกจากหน้าผากของฉู่หลิวเยว่ไม่หยุด ดวงหน้างามที่เรียบนิ่งก็เผยแววกังวลอย่างหาได้ยาก
“นายท่าน…ไม่ต้องการความช่วยเหลือจริงหรือ?”
สภาพของนางตอนนี้ดูแล้วชวนให้คิดไม่ตกโดยแท้
ฉู่หลิวเยว่ฝืนหยักยกมุมปาก
“วางใจเถอะ ข้าคำนวณไว้แล้ว”
เหตุผลที่ให้จื่อเฉินพาถวนจื่อหลบไปฉับพลันเป็นเพราะแม้แต่นางยังรู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้อันตรายเกินไป
หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ได้พากันล่มจมหมดทั้งสามคนเป็นแน่
ดังนั้นพอครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทางเลือกนี้กลับเหมาะสมที่สุด
จื่อเฉินเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อโดยพลัน ริมฝีปากบางเม้มเบาๆ ก่อนผงกศีรษะ
“จื่อเฉินจะทำให้สมกับที่ท่านวางใจ ขอนายท่านโปรดรักษาตัว”
พูดจบ ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวไปหยุดอยู่ข้างกายถวนจื่อ
ตอนนั้นเองที่ถวนจื่อกำลังย่ำเท้าเปลือยเปล่าหมายจะรุดก้าวไปด้านหน้า
ทว่ายังไม่ทันได้ออกเดินก็ถูกจื่อเฉินขวางทางไว้เสียก่อน
“นายท่านบอกว่าให้คอยดูสถานการณ์ไปก่อน“
จื่อเฉินก้มศีรษะลงมามองร่างเล็กจ้อยตรงหน้า น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
ครรลองสายตาของถวนจื่อถูกขายาวสองข้างบดบังจนมิด ยามได้ยินเสียงก็เงยศีรษะขึ้นมองพลางเท้าเอวอย่างไม่ยอม
“แต่ตอนนี้อาเยว่ตกอยู่ในอันตราย! ข้าต้องไปช่วย!”
นางแค่นเสียงเป็นเชิงไม่พอใจ ก่อนหันเลี้ยวไปอีกทางแล้วก้าวขาสั้นป้อมผ่านจื่อเฉินไป
นางเดินไปพลางพึมพำกับตัวเองว่า
“ข้าเป็นถึงนายน้อยเผ่าหงส์ทองคำ! ข้าต้องช่วยอาเยว่ได้แน่! ต่อให้ข้าไม่ไหว เรียกพวกท่านปู่ประมุขมา…ไอ๊หยา!”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ร่างของนางก็ลอยหวือขึ้นไปในอากาศ
เป็นจื่อเฉินที่หิ้วนางขึ้นมานั่นเอง
“นางบอกคำไหนคำนั้น”
ตัวเล็กจิ๋วของถวนจื่อก็ถูกเขาขังไว้ในอ้อมอกอย่างง่ายดายทั้งแบบนั้น
นางเริ่มดิ้นรนสุดชีวิต
“ปล่อยข้า! ข้าต้องไป…”
ทว่าด้วยร่างเล็กจ้อยของนาง ไหนเลยจะสู้ได้ยามอยู่ต่อหน้าจื่อเฉิน
แม้ว่าตอนนี้นางจะมีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้นมาก ทว่าจื่อเฉินก็หาใช่คนที่รับมือได้ง่ายไม่
อย่างไรเสียผู้ที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจื่อเฉินก็เป็นถึงประมุขเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงโหมวเจิน!
เมื่อเทียบกันแล้ว ถวนจื่อในตอนนี้นั้นยังคงอ่อนวัยและไม่ประสีประสาอยู่มาก
เมื่อเห็นถวนจื่อไม่ยอมเลิกราง่ายๆ จื่อเฉินก็หรี่ตาลงน้อยๆ พลางกล่าวเสียงเย็นเยียบ
“หากเจ้าไม่กลัวเป็นตัวถ่วงนางก็ไปเสียสิ”
สิ้นเสียงคำพูดนี้ ในที่สุดถวนจื่อก็ทำตัวว่าง่ายขึ้นมา
นางแค่เป็นห่วงอาเยว่ก็เท่านั้นเอง…
หลังครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ นางก็เอนศีรษะมองจื่อเฉิน
“เจ้าจะบอกว่าอาเยว่ไม่เป็นอันใดจริงๆ หรือ?”
จื่อเฉินเชิดคาง
“เจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน”
เขาก็เป็นสัตว์อสูรในพันธะของนาง ในใจย่อมกังวลไม่แพ้ถวนจื่อ
แต่เขารู้ว่าฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาแม้แต่น้อย
จารึกสุสานอันนั้นมันหมายตานางไว้แต่แรกแล้ว!
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่าน
บนดวงหน้าของฉู่หลิวเยว่ไร้ซึ่งสีเลือดฝาดโดยสิ้นเชิงเป็นที่เรียบร้อย
เบื้องหน้าของนางค่อยๆ มืดสนิทลง
นี่เป็นสัญญาณของอาการหมดเรี่ยวแรง
จากนั้นเปลือกตาของนางก็ปิดลง