ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2080 จากไป
ตอนที่ 2080 จากไป
………………..
นางหยุดชะงัก มิได้พูดอะไรต่อ ทว่ากลับยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปทางจารึกสุสานของตัวเอง
“ตอนถังเคอตั้งจารึกสุสานสองอันนี้ขึ้นมา เขาจงใจทิ้งกลไกเอาไว้ด้านบนด้วย หากมีคนมาที่นี่ กลไกนี้จะเปิดใช้งานด้วยตัวเอง บังคับช่วงชิงดูดกลืนพลังภายในร่างของคนผู้นั้น”
“หรือก็คือ ไม่ว่าผู้มาเยือนจะเป็นใครก็ต้องประสบเหตุการณ์เช่นนี้?”
ฉู่หลิวเยว่มุ่นคิ้วน้อยๆ
หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ นี่มันออกจะขูดรีดกันเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!
ยังดีที่วันนี้นางคือผู้ที่ได้เข้ามาที่นี่ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงไม่โชคดีขนาดรอดพ้นจากวิกฤตมาได้แน่
ซูหลี่ผงกศีรษะ ก่อนกล่าวปลอบโยนว่า
“แต่เจ้าวางใจเถิด แม้ก่อนหน้านี้ข้าจะไม่รู้ว่ามีกลไกนี้อยู่ แต่หลายปีมานี้ นอกจากเขาแล้ว ก็มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ได้เข้ามาที่นี่”
คราแรกฉู่หลิวเยว่ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นสีหน้าก็พลันบิดเบี้ยวดูพิกลขึ้นมาทันใด
พอฟังไปแล้ว ทำไมเหมือนกับว่าถังเคอรอนางอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้วเลยเล่า
ซูหลี่ทอดถอนใจคราหนึ่ง กล่าวต่อว่า
“เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่าโล่ผสานนภายอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย ถึงได้ปล่อยให้เจ้าเข้ามาที่นี่”
ความจริงแล้วตัวฉู่หลิวเยว่เองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
“เช่นนี้แล้ว…มีแค่เจ้านายของโล่ผสานนภาเท่านั้นถึงจะช่วยท่านได้?”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้”
ซูหลี่หัวเราะอย่างขมขื่น
“อย่างไรซะปีนั้นข้าตาย เขาบาดเจ็บหนัก ทั้งหมดต้องขอบคุณโล่ผสานนภาจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตะลึงงัน
“มิใช่ว่าตอนนั้นท่านทั้งสองแข่งหลอมอาวุธกันที่ท่าเรือดอกท้อหรอกหรือ แล้วนี่มันเกี่ยวข้องอันใดกับโล่ผสานนภาเล่า”
“ตอนนั้นจู่ๆ โล่ผสานนภาก็ปรากฏขึ้นมาในใต้หล้า พวกข้าต่างก็สัมผัสได้ว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา ทั้งยังต่อสู้แย่งชิงกันดุเดือดเพื่อมัน ระหว่างที่สู้กัน พลังของโล่ผสานนภาแตกกระจายออกไปสี่ทิศ ทำให้ท่าเรือดอกท้อตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวาย ส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่พวกข้าทั้งสองคนตีหลอมขึ้นมาในตอนนั้นต่างก็ได้รับการหลอมพัฒนาไปอีกขั้นโดยบังเอิญ และกลายเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ท่าเรือดอกท้อแห่งนั้น”
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่พลันหดลง!
สิ่งที่ซูหลี่พูดออกมานับว่าเป็นความลับสะเทือนฟ้าโดยแท้!
“ความหมายของท่านก็คือ…สาเหตุที่ท่านกับผู้อาวุโสถังเคอหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์สิบชิ้นออกมาได้ ความจริงแล้วเป็นเพราะยืมพลังของโล่ผสานนภามาใช้อย่างนั้นหรือ!”
มุมปากของซูหลี่ปรากฏลักยิ้มเล็กๆ ก่อนถอนใจออกมาเสียงเบา
“จะตีหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมาสักชิ้น ต้องเสียแรงกายแรงใจไปเท่าไรมิอาจรู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นพวกข้ายังเป็นแค่ช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ ต่อให้มีความสามารถเทียมฟ้า แต่การหลอมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีเดียวห้าชิ้นจะเป็นไปได้อย่างไร”
…
ณ ป่าศิลา
ชั่วพริบตา เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าบริเวณประตูก็ยังคงไร้การเคลื่อนไหวแม้สักเสี้ยว
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกับคราแรกสุดไม่มีผิดเพี้ยน ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง
คนบางส่วนค่อยๆ หมดความอดทนขึ้นมา
“ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดพวกเขายังไม่ออกมากันอีก”
“เฮอะ นั่นมันมรดกของช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์เชียวนะ! เวลาครึ่งเดือนจะไปใช้การได้อย่างใด หากเจ้ารอไม่ไหว ก็ออกไปเสียตอนนี้เลยสิ จะมาโวยวายอยู่เหตุใด”
“เจ้า…ข้าก็แค่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้นแหละ ไม่ได้มีความหมายอื่นอันใด! ซั่งกวนเยว่ยังไม่ออกมาก็แล้วไป แต่เหตุใดหรงซิวเองถึงเงียบไปด้วยเล่า เขาไม่น่าจะใช้เวลาสืบทอดมรดกของถังเคอนานขนาดนั้นหรอกกระมัง?”
“นั่นก็ไม่แน่… อย่าลืมซี่ ง้าวว่านเฟิงเล่มนั้นก็ยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้ว! นั่นเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ถังเคอหลอมขึ้นมากับมือเลยหนา! ต่อให้อาศัยแค่ของสิ่งนี้ ถังเคอก็น่าจะโปรดปรานเขาอยู่บ้างกระมัง ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะรอซั่งกวนเยว่อยู่ข้างในก็ได้…”
เวลาผ่านไปเนิ่นนานขนาดนี้ ในใจของผู้คนก็เกิดข้อสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซั่งกวนจิ้งยืนฟังอยู่ข้างๆ พลางลูบเคราของตน เขามองไปทางประตูที่ปิดสนิทราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แท้จริงแล้วเขามิได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย หากแต่กำลังสงสัยว่าข้างในนั้นตอนนี้พวกเขามีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้วบ้าง
หากเยว่เออร์สืบทอดมรดกของถังเคอมาได้จริง ภายภาคหน้าก็จะได้ไพ่ลับมาไว้ในมือเพิ่มอีกใบ
ในตอนนั้นเอง เสียงผิวปากแหลมเสียดหูก็แว่วดังมาจากกลางอากาศ
บรรดาฝูงชนต่างทยอยเงยศีรษะขึ้นไปมอง ทว่าไม่พบอะไร
แต่เว่ยเจ๋อที่หลงมุมอยู่ห่างออกไปกลับลุกขึ้นมาทันควัน
เขาแหงนศีรษะขึ้นไปมองแวบหนึ่งพลางนิ่วหน้า
คนของตระกูลเว่ยมาถึงแล้ว
เว่ยเจ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปด้านนอก
“คนตระกูลเว่ยจงตามมา”
เมื่อบรรดาคนเหล่านั้นได้ยินเช่นนี้ก็รีบรุดตามไป
ยามได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว คนจำนวนไม่น้อยก็มองตามไป
ดูท่าแล้ว เว่ยเจ๋อกำลังคิดหนีไม่ผิดแน่!
“ประมุขเว่ย ท่านจะไปแล้วหรือ”
ใครคนหนึ่งตะเบ็งเสียงถาม
“คนยังไม่ออกมาเลยหนา!”
ฝีเท้าของเว่ยเจ๋อหยุดชะงัก
“เสียงผิวปากนั่นเป็นรหัสที่ตระกูลเว่ยใช้ส่งข่าวรุ่นสู่รุ่น ข้าต้องออกไปดูสักหน่อย”
บรรดาฝูงชนจึงได้เข้าใจในบัดดล
จะบอกว่าเขาเต็มใจอย่างนั้นหรือ
ดูไม่เห็นรู้เลยด้วยซ้ำ
ทุกคนต่างก็คิดว่าเขาต้องยืนกรานจะรอคนทั้งสองออกมาอยู่ที่นี่เป็นแน่
แต่ในเมื่อฝั่งตระกูลเว่ยมีเรื่องให้ต้องจัดการ คนอื่นย่อมมิอาจเอ่ยอะไรได้มาก
เว่ยเจ๋อจึงพาคนเหล่านั้นเดินจากไปต่อ
บางทีอาจเป็นเพราะถังเคอตัดสินใจเลือกผู้สืบทอดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ยามพวกเว่ยเจ๋อจากไปครานี้จึงมิได้ประสบเรื่องร้ายอะไร ล้วนออกไปได้อย่างราบรื่นตลอดทาง
ในไม่ช้า เงาร่างของพวกข้าก็หายเข้าไปหลังกลุ่มก้อนหินจำนวนมาก
คนหมู่มากต่างชักสายตากลับมาในทันที
มีเพียงซั่งกวนจิ้งที่จดจ้องไปยังทิศทางที่เว่ยเจ๋อจากไปอยู่พักใหญ่
ผู้ที่อยู่ข้างกันนั้นเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า
“ซั่งกวน ท่านมองอันใดหรือ”
ซั่งกวนจิ้งตอบว่า
“ไม่มีอันใด แค่รู้สึกว่าเว่ยเจ๋อจากไปค่อนข้างกะทันหันพอสมควร”
“เขาบอกแล้วมิใช่หรือว่าตระกูลเว่ยส่งคนมาเชิญเขาไป อย่างไรเสียป่าศิลาก็เป็นอาณาเขตของตระกูลเว่ย อีกอย่างเขาเองก็รออยู่ที่นี่มาพักใหญ่แล้ว อาจเกิดเรื่องที่ต้องให้เขาไปจัดการด้วยตัวเองขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้กระมัง”
ซั่งกวนจิ้งมิได้ตอบอะไรออกไป
เขาก็ยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ดี
ในการมาป่าศิลาครานี้ ตัวเว่ยเจ๋อนั้นมุ่งเป้ามาที่สุสานของถังเคอโดยตรง
คนตระกูลเว่ยไม่มีทางไม่รู้ความจริงข้อนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เว่ยเจ๋อย่อมต้องมีแผนและเตรียมความพร้อมเอาไว้แต่แรกแล้วถึงจะถูก
เป็นเรื่องด่วนแบบใดกันแน่หนอ ถึงได้มีความสำคัญเหนือกว่าเรื่องสุสานของถังเคอ?
จู่ๆ คนตระกูลเว่ยก็มาเช่นนี้ ไม่ได้คิดเผื่อไว้หรือไรว่าบางทีตอนนี้เว่ยเจ๋ออาจกำลังสืบทอดมรดกของถังเคออยู่ก็เป็นได้?
เว้นเสียแต่ว่า…พวกเขารู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้เว่ยเจ๋อต้องทำอีก
แม้ว่าเว่ยเจ๋อจะรั้งรออยู่ที่นี่ตลอดตั้งแต่ออกมาจากในนั้น แต่ใครก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่าเขาจะไม่ติดต่อกับภายนอก
อีกทั้งทันทีที่เขาเพิ่งออกไปได้เมื่อครู่ ก็ดูมีท่าทีลอบรีบร้อนอยู่หลายส่วน
ซั่งกวนจิ้งครุ่นคิดอยู่นานทีเดียว ทว่าก็หาคำตอบไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงต้องเก็บงำความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ
…
อีกฟากหนึ่ง เว่ยเจ๋อเดินออกมาจากป่าศิลาได้อย่างราบรื่น
ครั้นเดินออกมาก้าวสุดท้าย เขาก็หันศีรษะกลับไปมองคราหนึ่ง
ภายในป่าศิลาเงียบสงัดไร้เสียงใด
ไม่ว่าผู้ใดก็จินตนาการไม่ออกว่า ณ เวลานี้กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นอยู่ด้านในนั้น
“ท่านประมุข”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังรอท่าอยู่ด้านนอกแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นเขาออกมาก็สาวเท้าก้าวขึ้นมาด้านหน้าทันที