ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2083 รังแกเจ้าหรือไม่
“แต่…”
ซูหลี่เปิดปากอย่างลังเล
“เรียกสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ ปลุกโล่ผสานนภา สำหรับแม่นางซั่งกวนในเวลานี้แล้ว ยังค่อนข้างยากลำบากอยู่บ้าง เพื่อรับประกันสรรพพ้นภัย แม่นางซั่งกวนรอจนหลังจากทะลวงระดับช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ได้แล้วค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
นางเข้าใจความหมายของซูหลี่
การรวบรวมสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถกระทำได้โดยง่ายอย่างแน่นอน
แม้ว่านางในเวลานี้จะเป็นเจ้านายของโล่ผสานนภาแล้ว หากคิดอยากทำ ก็ยังยากลำบากเช่นเดียวกัน
นางในยามนี้แม้แต่จะรับมือกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นล้วนยังยากอยู่บ้าง นับประสาอะไรกับสิบชิ้นเล่า
“นอกจากนี้ ยามที่ปลุกโล่ผสานนภา พลังอำนาจนั้นช่างสะเทือนขวัญผู้คน แม้แม่นางซั่งกวนมีความสามารถอหังการ ทั้งยังใช้ทัณฑ์ทลายเทพชุบหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่หากสามารถอาศัยพลังของระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ล่ะก็ โอกาสในการประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
ซูหลี่เอ่ยอย่างจริงจัง ฉู่หลิวเยว่เองก็ฟังอย่างละเอียด
“ขอบพระคุณท่านซูที่ชี้แนะ เรื่องเหล่านี้อนุชนล้วนจดจำเอาไว้ในใจแล้ว”
มือของฉู่หลิวเยว่ปัดผ่านโล่ผสานนภาอย่างแช่มช้า
แม้ว่านางเองก็อยากจะเห็นอานุภาพที่แท้จริงของโล่ผสานนภาสักเล็กน้อย แต่จังหวะเวลาในยามนี้ไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านั้น นางจำเป็นต้องยกระดับความสามารถของตนเองก่อน!
เมื่อสัมผัสได้ถึงอักษรลับซึ่งยุบนูนไม่เสมอกันที่ใต้นิ้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“อนุชนยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องการขอคำชี้แนะ ท่านซู ท่านรู้จักอักษรลับที่ด้านบนนี้หรือไม่?”
ซูหลี่ส่ายศีรษะ
ในใจของฉู่หลิวเยว่นิ่งขรึมลงเล็กน้อย
แต่ได้พบกับซูหลี่ อีกทั้งยังได้รู้ความลับที่เกี่ยวกับโล่ผสานนภาเหล่านี้ ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
ที่เรียกกันว่าการสืบทอดของถังเคอ แท้จริงแล้วไม่มีอยู่จริง
กลายเป็นเคล็ดวิชาลับของช่างหลอมอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์…นั้นอยู่ที่โล่ผสานนภา และสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่นี้!
เพื่อซูหลี่ ถังเคอก็เรียกได้ว่าแทบล้มประดาตาย กระทั่งไม่เสียดายการรอคอยนับหมื่นปีนี้
แม้นางจะนับได้ว่าถูก ‘หลอก’ ให้เข้ามา แต่หลังจากได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว กลับล้วนไม่อาจเกรี้ยวโกรธได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหลือแค่เพียงความรู้สึกปลงอนิจจังไร้สิ้นสุดก็เท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่ทำจิตใจให้นิ่งสงบ
“ในเมื่อท่านในเวลานี้ตื่นขึ้นมาแล้ว เช่นนั้น…ก็ออกไปด้วยกันกับอนุชนเถิด ท่านว่าอย่างไร?”
“ออกไปหรือ”
“เจ้าค่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ทอดมองไปโดยรอบ
แม้ที่นี่พลังจะบริบูรณ์ แต่ก็อ้างว้างเกินไปนัก
ยามทอดมองไป ก็ทำให้คนสัมผัสได้เพียงความเดียวดายอันลึกล้ำ
ไม่รู้จริงๆ ว่าระยะเวลาที่เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ถังเคอผ่านมันไปได้อย่างไร
นางยกริมฝีปากส่งยิ้มให้ซูหลี่คราหนึ่ง
“หากผู้อาวุโสถังเคอได้เห็นท่านอีกครา จะต้องปีติยินดีอย่างมาก”
ยามเอ่ยถึงถังเคอ สีหน้าของซูหลี่ก็มีการกระเพื่อมไหวหลายส่วน
อันที่จริงที่ศึกนั่นในปีนั้น เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองได้พานพบหน้ากัน และก็เป็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นกายเนื้อของนางก็พินาศ ดวงวิญญาณกระจัดพลัดพราย
หากไม่ใช่เพราะถังเคอ นางก็ตัวตายวายวิญญาณไปนานแล้ว
แม้แต่ตัวนางเอกก็ยังไม่รูว่าเหตุใดถังเคอถึงกระทำเรื่องราวจนมาถึงจุดนี้เพื่อนาง
ซูหลี่เม้มริมฝีปาก เนื่องด้วยมีความลังเลอยู่บ้าง
นางยังมิได้คิดให้ดีว่าจะไปพบหน้าถังเคออย่างไร
ฉู่หลิวเยว่มองนาง ไม่ต้องถามก็คาดเดาได้ว่าซูหลี่ในเวลานี้กำลังคิดอะไรอยู่
แม้นางจะเป็นท่านซูหลี่ผู้ครั้งหนึ่งเคยกร่นด่าลมเมฆ แต่ก็ยังเป็นสตรีผู้ไม่ประสาเรื่องรักในเวลาเดียวกัน
กำลังและเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของนางล้วนทุ่มเทให้กับการฝึกตน
เดิมทีนั้นเป็นเพียงเพราะความประหลาดใจและใฝ่ชัยชนะ นางถึงได้มอบเทียบเชิญท้าประลองให้แก่ถังเคอ ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากศึกหนึ่งที่ท่าเรือดอกท้อนั่น…
ซูหลี่พลันเอ่ยถาม
“แม่นางซั่งกวน เจ้าว่า เหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้นเล่า พวกเราเพียงพบหน้ากันแค่ครั้งหนึ่ง ประมือกันครั้งเท่านั้น…”
นางมิใช่ไม่รู้ว่าถังเคอทุ่มเทไปมากน้อยเท่าไรเพื่อนาง และก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ นางถึงได้สับสนงุนงงยิ่งกว่าเดิม
เวลานี้จึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะดี
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่หลุบลงเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังครุ่นคิด
ครู่หนึ่ง นางก็ช้อนตาขึ้นมองไปยังป้ายสุสานตั้งตระหง่านสองป้ายนั้น แล้วโค้งมุมปากยกยิ้ม ในดวงตาคล้ายว่าจะมีแสงดาราพร่างประกาย
“เรื่องอารมณ์ความรู้สึกนั้น ไร้ซึ่งเหตุผลให้เอื้อนเอ่ยเป็นที่สุด”
…
ด้านนอกประตูสำริด
หลังจากแน่ใจได้ว่าซูหลี่ตื่นขึ้นมาแล้ว ถังเคอก็เปลี่ยนไปเป็นกระสับกระส่ายขึ้นมา มักจะมองไปยังทิศทางของประตูใหญ่อยู่เนืองๆ
หรงซิวมองเขาปราดหนึ่ง
“เวลาหมื่นปีก็ล้วนรอมาแล้ว ยังขาดอีกเพียงครู่หนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
อย่างไรก็ต้องรอเยว่เออร์พักผ่อนให้เสร็จก่อนถึงจะดี
แต่ในตอนที่ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆ นั้น ในใจเขากลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความจริงมากเกินไป จึงไม่กล้าเอ่ยวาจา
หรงซิวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ เจ้าทำไปมากมายถึงเพียง สุดท้ายแล้วจะไม่อาจรั้งนางไว้ได้”
ถังเคอตะลึงงัน นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย
“เพียงแค่นางปลอดภัย ผู้น้อยก็ไม่ขอสิ่งใด”
ริมฝีปากบางสีแดงเข้มของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มสายอ่อนบางถึงที่สุด
ถังเคอไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ฝ่าบาท…ยิ้มอันใดหรือ?”
หรงซิวกำลังจะเปิดปาก จู่ๆ ก็หันศีรษะกลับไป มองยังประตูสำริดบานใหญ่นั่น
แทบจะในเวลาเดียวกัน ถังเคอก็พลันสัมผัสอะไรบางอย่างได้ จึงช้อนตาขึ้นมองจ้องไป!
แอ๊ด…
บานประตูสำริดใหญ่ที่กำปิดสนิทอยู่บานนั้น ค่อยๆ เปิดออก!
เงาร่างสองสาย หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง เดินออกมาจากด้านใน
คนหนึ่งที่ด้านหน้าคือฉู่หลิวเยว่ ส่วนเงาร่างกึ่งโปร่งใสที่ด้านหลังนั่น ย่อมเป็นซูหลี่อย่างไม่ต้องสงสัย!
…
ฉู่หลิวเยว่เดินออกมา มองปราดเดียวก็เห็นหรงซิวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่ไกล
นางยกมุมปากขึ้นโค้ง ขณะกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง พลันมองเห็นว่าที่ด้านหลังของหรงซิว ยังมีเงาร่างอีกสายหนึ่งยืนอยู่
นั่นเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่มองดูแล้วอายุเพียงสามสิบกว่าปี รูปโฉมหล่อเหลาสูงตระหง่าน
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้เข้าใจ คนผู้นี้ก็คือถังเคอนั่นเอง!
เดิมทีฟังจากเสียงของเขา ฉู่หลิวเยว่ยังคิดไปเองว่าเขาน่าจะค่อนข้างโชกโชน ผู้ใดจะคิดว่ายังหนุ่มเช่นนี้…
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะอย่างจนใจแล้วแย้มยิ้ม
“ในที่สุดท่านก็กล้าออกมาจนได้หรือ?”
สายตาของถังเคอตกกระทบลงบนร่างของซูหลี่ ชั่วขณะหนึ่งนั้นสติก็ค่อยข้างจะหลุดลอยไปอยู่บ้าง
รูปลักษณ์ของนางยังเหมือนกับยามที่พบกันในคราแรกไม่ผิดเพี้ยน ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้เพียงครึ่งส่วน
ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกกระทั่งว่าเรื่องทั้งหมดเพิ่งจะเกิดขึ้นไปเมื่อวานนี้เอง
ท่ามกลางคืนวันอันเนิ่นนานนี้ เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งก็เท่านั้น
ซูหลี่ใจเต้นเล็กน้อย แต่กลับเป็นฝ่ายมีท่าทีตอบสนองก่อน
“ถังเคอ ไม่ได้พบกันนาน”
ถังเคอพลันได้สติ กดเก็บคลื่นถาโถมเอาไว้ในใจ แล้วแย้มยิ้มอย่างแช่มช้า
“ไม่ได้พบกันนาน”
สายตาของฉู่หลิวเยว่กวาดผ่านไปทั่วร่างของคนทั้งสองเล็กน้อย แย้มยิ้มแล้วเอ่ย
“ผู้อาวุโสทั้งแยกจากกันมาเนิ่นนาน เวลานี้ได้พบหน้ากันอย่างไม่ง่ายดายนัก น่าจะมีเรื่องมากมายอยากจะพูดคุยกัน พวกข้าไม่รบกวนแล้ว”
ขณะพูด นางก็เดินมายังข้างกายหรงซิว ใช้ข้อศอกกระทุ้งเขาเบาๆ แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ
“ผู้อาวุโสถังเคอออกมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
หรงซิวกลับกุมมือของนางไว้แน่น แล้วดึงคนเข้ามาตรงหน้าเขา มองซ้ายขวาเสียจนละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อยืนยันได้ว่าตัวนางล้วนปลอดภัยทั้งหมดแล้ว ถึงได้วางใจลง
ได้ยินคำถามของฉู่หลิวเยว่ เขาก็คิดคำนวณคร่าวๆ
“ประมาณ…ครึ่งชั่วยามก่อน”
ฉู่หลิวเยว่กะประมาณในใจ นั่นใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ซูหลีตื่นขึ้นมา
ดูท่าถังเคอน่าจะรู้สถานกาณ์ที่ด้านใน
นางกะพริบตาเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครา
“แล้ว…ผู้อาวุโสถังเคอได้ทำให้เจ้าลำบากหรือไม่?”
คิ้วกระบี่ของหรงซิวเลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ได้ทำ”
………………..