ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2087 เจ้าสำนัก
ข้าเคยเห็นด้วยตาตัวเอง
ประโยคนี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดออกไป
สีหน้าของซูหลี่ไม่คล้ายว่าเสแสร้งแกล้งทำ
นางเป็นตัวตนที่เก่งกาจถึงขั้นใด ครั้งหนึ่งเคยมีผู้แข็งแกร่งระดับเหนือเทพกระทั่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ยินยอมที่จะติดตามนางไม่รู้ว่ามากน้อยเท่าใด
ในเมื่อนางพูดถึงเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นจะต้องเป็นความจริงไม่แปดก็เก้าเต็มสิบส่วน
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้น…เรื่องของพี่เป่านั่นมันเป็นมาอย่างใดกัน
ฉู่หลิวเยว่จดจำได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ในตอนแรกเริ่มนั้นเขากำลังฟื้นคืนร่างศักดิ์สิทธิ์ใหม่ด้วยตนเองอยู่ที่ทะเลทรายจันทราสีชาด
อีกทั้งในตอนนั้นยังเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเด็กน้อยภายใต้ความรีบร้อนเพื่อช่วยเหลือนาง
หากบอกว่าเป็นพลังภายนอก…ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายนั้นก็คือพี่เป่าใช้เลือดของนาง
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยนำเรื่องนี้มาใส่ใจโดยตลอด
เพราะดูจากปฏิกริยาตอบสนองของพวกพี่เป่าทั้งสามแล้ว อันที่จริงก็ไม่เคยคิดว่าต้องการให้นางช่วยเหลือเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
พวกเขานั้นวางแผนจะฟื้นฟูร่างศักดิ์ใหม่ด้วยตนเอง
ด้วยเหตุนี้ฉู่หลิวเยว่จึงคิดมาโดยตลอดว่า ทุกผู้คนล้วนเป็นเช่นนี้
แต่เวลานี้ได้ยินวาจาของซูหลี่ นางถึงได้พบว่า ความเข้าใจของตนเองคล้ายว่าผิดไปอยู่บ้าง
“เยว่เออร์ เยว่เออร์”
ซูหลี่ยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
“เจ้ากำลังคิดอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ได้สติโดยพลัน โค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ไม่มีอันใด อันที่เรื่องพวกนี้ก็เป็นข้าก่อนนี้ไปได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงเข้าโดยมิได้ตั้งใจ ที่แท้นึกไม่ถึงว่าจะผิดแล้ว…เช่นนั้นท่านซู บนโลกใบนี้ไม่มีใครสามารถทำเรื่องนี้ได้จริงหรือ?”
“เรื่องเช่นนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉู่หลิวเยว่หลุบตาลงต่ำ
“แต่…”
ซูหลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง
“บางทีตัวตนอย่างผู้ยิ่งใหญ่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอาจจะสามารถทำได้หรือไม่ ก็ไม่รู้”
ฉู่หลิวเยว่ช้อนตาขึ้นมองนางอย่างประหลาดใจ
“ตัวตนอย่าง ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้มีตัวตนอยู่แค่ในตำนาน แม้แต่ข้าและถังเคอเองก็ไม่เคยพบมาก่อน ใช่แล้วได้ยินว่าเจ้าเป็นนักเรียนของสำนักหลิงเซียวใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
“มีคนบอกว่า เจ้าสำนักผู้นำของสำนักหลิงเซียวก็เป็นบุคคลเช่นนี้ เพียงแต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เคยได้ยืนยันด้วยตนเอง อีกทั้งในภายหลังเขาก็หายไปอย่างเงียบงันไร้ร่องรอย เกี่ยวกับข่าวคราวเหล่านั้นของเขาก็ค่อยๆ เลือนไปตามเวลา ไม่มีใครเอ่ยถึงอีก”
ซูหลี่ส่ายศีรษะอย่างน่าเสียดายอยู่บ้าง
แต่ก้นบึ้งหัวใจของฉู่หลิวเยว่กลับเป็นความปั่นป่วนล้นทะลักทั่วทั้งผืน
เอ่ยเช่นนี้ พี่เป่า…
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่จมลงสู่ความเงียบงัน ซูหลี่ก็คิดว่านางยังกังวลกับเรื่องการฟื้นคืนกายเนื้อใหม่อยู่ จึงเอ่ยปลอบใจ
“เยว่เออร์ ที่จริงเจ้าไม่ต้องกังวล ต่อให้สุดท้ายแล้วทำไม่สำเร็จก็ไม่เป็นอันใด แม้ว่าจะไม่มีกายเนื้อแต่ยังมีวิญญาณอยู่ ข้าก็พึงพอใจเป็นอย่างมากแล้ว”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า นางในเวลานี้ยังสามารถออกมาได้ ได้พบกับสายลมและแสงตะวันนี้ ได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายตาบนโลกใบนี้
สำหรับนางแล้ว นี่ก็เป็นโชคดีอย่างมากแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เก็บความคิดกลับ ระงับอารมณ์นับไม่ถ้วนในดวงตาลง
…
จวนเยว่
ภานในห้องตำรา หรงซิวกำลังจับพู่กันเขียนอันใดบางอย่าง
อวี๋มั่วเดินเข้ามาหาอย่างรีบร้นอ
“ฝ่าบาท ตระกูลเว่ยฝั่งนั่นมีข่าวคราวแล้ว”
หรงซิวหยุดการกระทำลง
“ว่ามา”
อวี๋มั่วเอ่ย
“ช่วงก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสตระกูลเว่ย เว่ยเค่อหานนั้นเคยออกไปตัวคนเดียวจริง ไม่มีใครทราบว่าเขาไปที่ใด หรือไปทำอันใด”
สีหน้าของหรงซิวนิ่งสงบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ตระกูลอี้ฝั่งนั้นล่ะ”
อวี๋มั่วก้มหน้า
“ตระกูลอี้ฝั่งนั้นวุ่นวายกันไประลอกหนึ่ง จนกระทั่งอี้เหวินเทาเสียชีวิตแล้วถึงได้นับว่าสงบลงมาได้ แต่เพราะอี้เหวินเทาระเบิดตัวเอง ประกอบกับก่อนหน้านี้พ่ายแพ้ให้กับฮูหยินที่ศึกท่าเรือดอกท้อด้วย ตระกูลอี้รู้สึกว่าไม่อาจแขวนใบหน้าเอาไว้ได้อีก จึงไม่ได้จัดงานศพทำเพียงฝังเขาอย่างรีบร้อน ส่วนเรื่องง้าวว่านเฟิง…กลับไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอันใด”
นี่ย่อมแน่นอน
ถึงอย่างใดคนที่รู้จักการดำรงอยู่ของง้าวว่านเฟิงในตระกูลอี้ก็ยกนิ้วนับได้
หรงซิวแย้มยิ้มเล็กน้อย
“ตัวตายวายวิญญาณ มีอันใดให้ฝังได้กัน เพียงแค่รู้สึกขายหน้าก็เท่านั้น เรื่องการเชือดไก่ให้ลิงดูของจวินจิ่วชิงเช่นนี้ ยิ่งชำนาญขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
อวี๋มั่วรู้สึกสังเวชอยู่บ้าง
หรงซิววางพู่กันลง หยิบกระดาษใต้ฝ่ามือขึ้นมา มองอยู่หลายปราด
จวินจิ่วชิงเดินมาถึงตำแหน่งอย่างในวันนี้ไม่ง่ายดาย ย่อมต้องการโอกาสทั้งหมดวางเท้ายืนให้มั่นคง
อี้เหวินเทาเพียงแค่ย่ำสะดุดหินของเขาก็เท่านั้น
คนของตระกูลอี้ เดิมทีก็ไม่เต็มใจจะยืนอยู่ข้างเขาอยู่แล้ว ผู้ที่จ้องเขมือบตำแหน่งประมุขตระกูลก็ยิ่งมีไม่น้อย
แต่ทั้งหมดนี้ ล้วนตกตายไปกับอี้เหวินเทา เงียบงันสงบลงแล้ว
คนทั้งหมดล้วนมองออกว่า ความตายของอี้เหวินเทา จวินจิ่วชิงมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เป็นแน่
แต่นี่ก็คือผลลัพธ์ที่จวินจิ่วชิงต้องการ
อำนาจการปราบปราม บางครั้งก็สำเร็จผลเร็วเสียยิ่งกว่าวิธีการและลูกไม้ใด
เขาพลันชะงักงัน
“จวินจิ่วชิงเป็นคนฉลาดผู้หนึ่งมาโดยตลอด”
อวี๋มั่วเอ่ยถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง
“เช่นนั้น…หรือว่าฝ่าบาทวางแผนไว้ว่าจะปล่อยให้เขาสมรู้ร่วมคิดกัน”
“จวินจิ่วชิงหมายมั่นจะกุมตระกูลอี้เอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงส่งง้าวว่านเฟิงออกไปอย่างไม่เสียดาย ใช้ประโยชน์จากตระกูลเว่ยมาสนับสนุนข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมไว้หน้าเขา”
แม้ง้าวว่านเฟิงนี้จะไม่ได้อยู่ในสายตาเขา แต่ถือโอกาสพาถังเคอและซูหลี่ออกมาได้ ทั้งยังได้เพิ่มพูนอำนาจให้เยว่เออร์ ก็ไม่เลว
“ภายหลังเว่ยเจ๋อยังต้องติดต่อกับตระกูลอี้อีก เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงก็พอ”
อวี๋มั่วขานรับโดยพลัน
“ขอรับ!”
และเป็นในเวลานี้เอง นอกประตูก็มีอีกคนเดินเข้ามา
เป็นเยี่ยนชิง
“ฝ่าบาท”
หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้ว
หรงซิวเชิดคางขึ้น
“ลุกขึ้นแล้วพูดก็พอ”
เยี่ยนชิงถึงได้หยัดกายขึ้นยืนแล้วหยิบเทียบเชิญฉบับหนึ่งออกมาจากในอก พลันเอ่ยเสียงเข้ม
“ฝ่าบาท เจ้าสำนักเสียชีวิตแล้ว ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกส่งเทียบเชิญกลับมา เชิญท่านให้ออกเดินทางกลับทันที”
ในตอนที่อวี๋มั่วได้ยินครึ่งประโยคแรกก็ยังไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ตอนที่ฟังครึ่งประโยคหลังจบ พลันเบิกตาโพลงขึ้นอย่างตกตะลึง เกือบจะกระโดดขึ้นมา
“เจ้าสำนักเสียชีวิตแล้วหรือ?”
นี่กะทันหันเกินไปแล้ว!
บนใบหน้าของหรงซิวกลับไร้ซึ่งอารมณ์ตกตะลึง นิ้วเรียวขาวยาวเสลาเพียงขยับเล็กน้อย กระดาษแผ่นนั้นในมือก็ทะยานไปตรงหน้าของเยี่ยนชิง
“นี่คือคำไว้อาลัยที่ข้าเขียนเพื่อท่านเจ้าสำนัก นำไปคัดลอกสักหลายฉบับ แล้วแบ่งไปให้ผู้อาวุโสทุกท่าน”
อวี๋มั่วหันหน้ากลับมาอย่างตกตะลึง
ในตอนที่เขาเข้ามาก็เห็นว่าฝ่าบาทกำลังเขียนอันใดบางอย่าง แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่ากำลังเขียนคำไว้อาลัยให้เจ้าสำนัก!
“ฝ่าบาท ท่านรู้แล้วหรือ?”
เยี่ยนชิงรับกระดาษแผ่นนั้นไว้มั่น พลันเข้าใจอันใดบางอย่างภายในพริบตา จึงทำความเคารพแล้วพยักหน้า
“ขอรับ”
หรงซิวผินหน้า มองไปนอกหน้าต่าง
หมื่นลี้ไร้เมฆ อากาศแจ่มใส
“วันนี้อากาศไม่เลว”
เป็นวันที่ดีในการส่งคนออกเดินทาง