ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2091 นางมาแล้ว
ตอนที่ 2091 นางมาแล้ว
………………..
หรงซิวที่เดิมทีกำลังนั่งตัวตรง นางพลันขยับเช่นนี้ เขาจึงรีบยื่นมือข้างหนึ่งออกไปยันที่ตั่งน้อย ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกลับประคองเอวนางเอาไว้
ร่างกายของทั้งสองคนประกบติดกันแนบสนิท นางอยู่บน เขาอยู่ล่าง สัมผัสถึงลมหายใจกันและกัน
หรงซิวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เยว่เออร์ เจ้าอยากจะใช้ท่าทางเช่นนี้พูดเรื่องเหล่านี้กับข้าจริงๆ หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถึงเวลารู้สึกในเวลานี้เองว่าท่าทางของสองทั้งคนนั้นไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ใบหน้าพลันเห่อร้อน แล้วรีบเร่งจะผละออก
หรงซิวโอบเอวคอดกิ่วของนางเอวไว้ แล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย พลันจุมพิตลงบนริมฝีปากนาง
โทนเสียงทุ้มต่ำเครือกคลุมอยู่ระหว่างปากฟัน
“…ข้าไปกับเจ้าด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอย่างเลื่อนลอย เช่นนี้ก็คล้ายว่าจะไม่ผิด
พอดีกันกับที่ถังเคอในเวลานี้เองก็อยู่กับหรงซิวมาโดยตลอด หากพวกเขาทั้งสองเดินทางไปด้วยกันได้ บางทีอาจจะสามารถช่วยเหลือถังเคอและซูหลี่ฟื้นคืนร่างได้พร้อมกัน
แน่นอน นางก็อยากจะดูสักหน่อยว่า พวกพี่เป่าในเวลานี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใดกันแน่
เมื่อสัมผัสได้ว่านางกำลังเหม่อลอย หรงซิวพลันขบนางอย่างไม่หนักไม่เบาคราหนึ่ง
“ซี๊ด…”
ฉู่หลิวเยว่ผละออกมาตามติดใต้สำนึก แล้วพึมพำเสียงต่ำอย่างคับข้องใจอยู่บ้าง
“เจ็บนะ…”
หรงซิวพลันหัวเราะเสียงเบา แล้วเข้าไปปลอบนางอย่างอดทน
“ข้าจะเบากว่านี้หน่อย…”
…
แสงตะวันอันร้อนแรงแผดเผาอยู่ทะเลทรายอันไพศาลไร้สิ้นสุด อุณหภูมิอันน่าหวั่นกลัวคล้ายว่าจะแผดเผาแม้แต่ชั้นบรรยากาศไปด้วย
สี่ทิศไร้ลม คลื่นความร้อนถาโถม
ระลอกมรกตเพียงหนึ่งเดียวที่ใจกลางทะเลทรายกระเพื่อมขึ้นอยู่หลายสายเป็นครั้งคราว
ใต้น้ำทะเลสาบ เป็นกรงขังอันมืดมิดไร้ฟ้าไร้ดวงตะวัน
กลิ่นคาวโลหิตอันเข้มข้นคละคลุ้ง ทุกแห่งหนล้วนเป็นรอยโลหิตสีแดงเข้ม คล้ายว่าเมื่อครู่เพิ่งจะผ่านการต่อสู้อันดุเดือดผิดปกติไปฉากหนึ่ง
เงาร่างสามสายนั่งประจันหน้ากันเป็นรูปสามเหลี่ยม
เป็นพวกตู๋กูโม่เป่าทั้งสาม
เวลานี้ เหนือยอดศีรษะของทั้งสาม มีค่ายกลสีเงินอันสลับซับซ้อนไร้ที่เปรียบอันหนึ่งลอยค้างอยู่ ทั้งยังขยับหมุนอย่างช้าๆ
แผ่ลำแสงอ่อนจางปกคลุมทั้งสามเอาไว้ ทรงพลังไร้เทียบเทียม
หากฉู่หลิวเยว่อยู่ที่นี่ จะต้องพบว่าค่ายกลนี้เคล้ายคลึงอย่างมากับค่ายกลนั้นที่เรียกออกมาบนเขาหมื่นเมรัยของสำนักหลิงเซียว แต่เทียบกันแล้วกลับมีความสลับซับซ้อนยากเข้าใจยิ่งกว่า
ใต้ค่ายกล ตรงกลางทั้งสามคนมีเงามืดสีดำขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ก้อนหนึ่ง
บนเงามืดนั้น คล้ายว่าจะมีลวดลายแปลกประหลาดชนิดหนึ่งอยู่ เพียงแต่ในขาดๆ หายๆ ไม่สมบูรณ์ ไม่อาจมองออก
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เงามืดนั้นเองก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน
ในตอนที่เลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ตอนสุดท้าย ค่ายกลที่อยู่เหนือยอดศีรษะของทั้งสามเองก็หยุดหมุนในเวลาเดียวกัน จากนั้น…ก็สลายไปอย่างรุนแรง
พรวด!
ร่างของตู๋กูโม่เป่าสั่นสะท้านคราหนึ่ง แล้วพลันพ่นโลหิตออกมาคำหนึ่ง
สถานการณ์ของผู้อาวุโสลำดับห้าและหลานเซียวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก ลมปราณของแต่ละคนล้วนถดถอยลงไม่น้อย
“ช่างมันเถิด จัดการยากเย็นมากจริงๆ”
ผู้อาวุโสลำดับห้าฝืนที่ยันเอาไว้อยู่ อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาชุดหนึ่ง
เขามองไปยังตู๋กูโม่เป่าและหลานเซียว
“พวกเจ้าเป็นอย่างใดบ้าง”
ตู๋กูโม่เป่ายกมือเช็ดรอยเลือดที่ริมฝีปาก แล้วค่อยลืมตาขึ้นช้าๆ
“ไม่เป็นอันใด”
หลานเซียวยังคงถูกล่ามโซ่พันธนาการเอาไว้อยู่ เมื่อได้ยินวาจาก็เพียงฝืนขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้นข้างหนึ่งไปลูบใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเอง แล้วหัวเราะเสียงหนึ่ง
“น่าเสียดายจริง ข้านั้นพึงพอใจในใบหน้าครั้งนี้เป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่ามันจะเสียหายไปเช่นนี้…”
หัวคิ้วผู้อาวุโสลำดับห้าขมวดแน่น
“เวลาใดแล้ว ยังคิดเรื่องพวกนี้อยู่อีก!”
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นหลานเซียวยังมีใจพูดถึงเรื่องพวกนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังผ่อนลมใจครั้งหนึ่ง
หลานเซียวยกมุมปากขึ้นเล็ก ใบหน้าใต้ฝ่ามือก็พังทลายแล้ว
“พรืด วางใจ ข้ายังตายไม่ได้ คิดอยากได้ชีวิตข้า…ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น”
“ถ้าคิดอยากจะฆ่าเจ้าในสภาพสมบูรณ์ ย่อมไม่ง่ายดาย แต่ถ้าคิดอยากจะเอาชีวิตเจ้าในเวลานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด”
ตู๋กูโม่เป่ามองมาด้วยสายตาเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ระลอกคลื่น
หลานเซียวเบ้ปาก แล้วพยายามกลอกตา
“ก็รู้อยู่ว่าในปากเจ้าไม่เคยพูดเรื่องดีอันใดออกมาได้”
ตู๋กูโม่เป่าไม่สนใจคำพูดออกเขา แล้วเอ่ยต่อ
“วิญญาณของเจ้าไม่อาจค้ำจุนได้นานนักแล้ว ถ้าไม่รีบฟื้นคืนร่างศักดิ์สิทธิ์ใหม่ ดวงวิญญาณกระจัดพลัดพรายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วแล้ว”
พูดประโยคนี้จบ รอบข้างพลันเงียบสงัดในพริบตา
พวกเขาล้วนเข้าใจ คำพูดของตู๋กูโม่เป่านั้นเป็นความจริง
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เขาก็ล้มเหลวไปรอบหนึ่งแล้ว ยิ่งเป็นการเพิ่มเกล็ดหิมะลงบนหิมะ
เขาในครั้งนี้สามารถฝืนผ่านภัยบุหลันไปได้ ก็เพราะอาศัยความช่วยร่วมกันของตู๋กูโม่เป่าผู้อาวุโสลำดับห้ามาฝืนค้ำจุน หากคิดอยากฟื้นคืนร่างศักดิ์สิทธิ์ใหม่อีก ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้นกัน
ทันใดนั้น เขาพลันยกมุมปากขึ้นอีกครั้ง แล้วหัวเราะเสียงหนึ่งอย่างไม่ใจใส่
“ต่อให้ผ่านไปไม่ได้ก็ไม่เป็นอันใด ถูกขังอยู่ในสถานที่ผุพังนี่มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ พวกเจ้าไม่รำคาญ แต่ข้านั้นรำคาญแล้ว…”
ตู๋กูโม่เป่าเอ่ยเสียงเยียบเย็น
“หากเจ้าอยากตาย ในหมื่นปีนี้มีโอกาสมากมายถึงเพียงนั้น เหตุใดเจ้าไม่คว้าเอาไว้สักครั้งหนึ่งล่ะ”
หลานเซียวพลันเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่
“ข้าพูดไปอย่างนั้น เจ้าคิดจริงจังอันใดล่ะ”
ผู้อาวุโสลำดับห้ากุมขมับอย่างจนปัญญา
ภัยบุหลันเพิ่งจะจบลง ก็ทะเลาะกันอีกแล้ว
ไม่รู้จริงๆ ว่าเดือนปีเหล่านี้ เขาที่ขนาบอยู่กลางทั้งสองคนนี้ ที่สุดแล้วผ่านพ้นไปได้อย่างใดกัน…
“พูดอีกอย่างต่อให้ข้าอยากตาย ก่อนตายก็จะต้องเห็นหน้านางหนูเยว่เออร์สักครั้งหนึ่งก่อนกระมัง ข้า…”
ทันใดนั้น สีหน้าของตู๋กูโม่เป่าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันลุกขึ้นยืน
“นางมาแล้ว”
เขาหันหน้ากลับมา เหลือบมองหลานเซียวปราดหนึ่งอย่างนิ่งเฉย
“เจ้าสามารถตายได้อย่างไม่เสียดายแล้ว”
หลานเซียว
“…พูดจาดีๆ แล้วเจ้าจะตายหรือ ไม่เห็นหรือว่าข้าล้วนเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้นางมา ประเดี๋ยวก่อนเจ้าบอกว่าใครมานะ”
หลานเซียวกำลังเตรียมจะกร่นด่าอีกระลอกหนึ่งจู่ๆ ก็ชะงักค้าง
ผู้อาวุโสลำดับห้ากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นความปีติยินดีก่อน แล้วพลันเอ่ยถามอย่างกังวล
“เวลาของภัยบุหลันในครั้งนี้ต่อเนื่องยาวนานกว่าครั้งก่อน การมานี้ของนางไม่นับว่ารวดเร็ว”
ถึงอย่างใดก็ยังห่างจากครั้งที่หรงซิวนำลมปราณสายนั้นของผู้อาวุโสลำดับห้ามาส่งก็เนิ่นนานอยู่
แต่ยังดีที่ทั้งหมดล้วนผ่านไปแล้ว…
“เช่น เช่นนั้นก็ไม่ได้แล้วนะ สภาพของพวกเราในเวลานี้นั้น…”
ตัวของผู้อาวุโสลำดับห้าเองนั้นยังดีหน่อย ตู๋กูโม่เป่านั้นได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ผู้ที่สาหัสที่สุดคือหลานเซียว
ถ้านางหนูนั่นมาเห็น จะต้องเดาอันใดบางอย่างได้แน่นอน
หลานเซียวรีบร้อนเอ่ย
“ใช่น่ะสิ ใบหน้าของข้านี้ยังไม่ได้ฟื้นคืนเลย พบไม่ได้ พบไม่ได้”
ตู๋กูโม่เป่ามองคนทั้งสองปราดหนึ่ง
“นางยังไม่อาจเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ชั่วคราว พวกเจ้ากังวลอันใด?”
เมื่อได้เขาเตือนสติเช่นนี้ ผู้อาวุโสลำดับห้าและหลานเซียวถึงค่อยได้สติกลับมา พลันถอนใจโล่งยกอย่างยืดยาวเฮือกหนึ่ง
“เช่นนั้นก็ได้…”
“หรงซิวก็มาด้วย”
ในดวงตาของตู๋กูโม่เป่าแฝงไว้ด้วยความไม่ยินยอมหลายส่วน
ผู้อาวุโสลำดับห้าเอ่ยอย่างลังเล
“คาดว่าเพราะครั้งก่อนข้าบอกเรื่องภัยบุหลันกับพวกเขา พากเขาไม่อาจวางใจ นี่ถึงได้มาด้วยกันกระมัง…”
ตู๋กูโม่เป่าเอ่ย
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก็พอ ข้าจะออกไปพบพวกเขา”
…
ในเวลาเดียว ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวในที่สุดก็มาถึงริมทะเลสาบ
“เยว่เออร์ เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
“ไม่รู้…ข้ามักจะรู้สึกเหมือนที่นี่ไม่ค่อยถูกต้อง ไม่ค่อยเหมือนกับครั้งก่อน…”
ฉู่หลิวเยว่เชิดปลายจมูกขึ้นเล็กน้อย ความสงสัยเสี้ยวบางวาบผ่านดวงตา
“หรงซิว เจ้า…ได้กลิ่นคาวเลือดหรือไม่?”
แววตาของหรงซิววาวโรจน์เล็กน้อย แล้วส่ายศีรษะ
“ไม่ได้กลิ่น”
แล้วเขาเองก็มองออกไปยังบริเวณโดยรอบเช่นกัน
“ที่นี่…เหมือนกันกับก่อนหน้านี้ เจ้ารู้สึกว่าตรงไหนไม่ถูกต้องหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เอ่ยอันใด
ใช่ นางรู้ว่าทะเลทราบผืนนี้มองดูแล้วไม่ได้แตกต่างอันใดกับก่อนหน้านี้เลย
ยามทอดมองออกไปก็ยังเป็นทรายสีเหลืองที่มองไม่เห็นจุดจบผืนหนึ่ง
แต่น้ำทะเลสาบผืนนี้ตรงหน้านั้น ไม่เหมือนกันกับก่อนหน้านี้
ทิวทัศน์ที่เรียบง่ายแล้วกว้างใหญ่เช่นนี้ เดิมที่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอันใดยากอยู่แล้ว
แต่…นางรู้สึกว่ามีสักที่หนึ่งไม่เหมือนเดิม
ความรู้สึกเช่นนี้อ่อนจางอย่างมาก นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายอย่างใด
“บางทีข้าอาจจะเข้าใจผิดกระมัง”
ฉู่หลิวเยว่สงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง
หรงซิวกระชับมือนาง ฝ่ามือที่เป็นดั่งรังไหมบาง ห่อหุ้มมือของนางทั้งเอาไว้
“หรืออาจจะเป็นเพราะภัยบุหลัน?”
หรงซิวคล้ายว่ากำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง
“ก็เป็นไปได้…”
นางส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วกดเก็บความคิดอันวานวายเหล่านั้นลงไป
“ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกพี่เป่าในเวลานี้เป็นอย่างใดบ้างแล้ว…”
วาจายังไม่จบ บนผิวน้ำจู่ๆ ก็กะเพื่อมระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ ขึ้น
ผิวน้ำค่อยๆ แหวกออกจากตรงกลาง เงาร่างเล็กๆ สายหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
นั่นมองดูแล้วเหมือนเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสามสี่ขวบ ผมตาเป็นสีม่วง น่ารักดั่งหยกหิมะ
เพียงแต่รอบกายนั้นกลับแผ่อำนาจกดดันอันน่าหวั่นกลัวออกมาอย่างเลือนราง ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
ฉู่หลิวเยว่พลันปีติ
“พี่เป่า”
ตู๋กูโม่เป่าเห็นนาง บนใบหน้าที่ราวกับภูเขาน้ำแข็ง ในที่สุดก็ปรากฏรอยยิ้มอันจืดชืดรอยหนึ่ง
แต่รอยยิ้มนี้พลันเก็บซ่อนเอาไว้อย่างรวดเร็วในตอนที่มองเห็นหรงซิวซึ่งกำลังยืนอยู่ด้านข้าง
หรงซิวพยักหน้าเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสตู๋กู”
ฉู่หลิวเยว่นั้นคุ้นเคยกับท่าทางเย็นชานี้ของตู๋กูโม่เป่านานแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจ พลันรีบร้อนก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถาม
“พี่เป่า เจ้าอยู่ที่นี่ล้วนปลอดภัยดีใช่หรือไม่ ผู้อาวุโสห้ากับผู้อาวุโสหลานเซียวนั้นเป็นอย่างใดบ้าง?”
………………..