ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2103 เส้นชีพจรขั้นที่แปด
ตอนที่ 2103 เส้นชีพจรขั้นที่แปด
………………..
ฉินอีเหลือบมองเขาครู่หนึ่งพลางกล่าวขึ้น
“ควรเป็นที่ที่ควรไปอย่างแน่นอน”
เชียงหว่านโจวเม้มปากและพูดขึ้น
“ข้าจะอยู่กับเจ้า”
ดวงตาของเฉินอีขยับเล็กน้อย เขากวาดตามองเชียงหว่านโจวอย่างละเอียดรอบหนึ่งและถามขึ้นอย่างระแวดระวัง
“เจ้ารู้อันใดมาหรือ”
มีคนไม่มากนักที่รู้ว่าฝั่งนายท่านเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางของเชียงหว่านโจว เขาไม่เพียงรู้อะไรบางอย่างมาเท่านั้น แต่ยังไม่ช้าไปกว่าเขาอีกด้วย
เชียงหว่านโจวเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยขึ้น
“ข้า…ไม่รู้ ข้าแค่รู้สึกไม่สบายใจและเห็นเจ้าออกมาพอดี”
เฉินอีหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองไปทางเชียงหว่านโจวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการตรวจสอบอย่างคับข้องใจและเรียบเฉย
เชียงหว่านโจวมองเขาอย่างสงบนิ่ง
สิ่งที่พูดไปเมื่อครู่เป็นความจริง
มิรู้เป็นเพราะเหตุใดเขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในคืนนั้น จึงคิดจะออกไปเดินเล่นแต่กลับชนเข้ากับเฉินอีพอดี
บัดนี้ฉู่หลิวเยว่กับหรงซิวไม่ได้อยู่ที่ท่าเรือดอกท้อ โดยปกติแล้วเรื่องทั้งหมดจะมอบหมายให้เฉิงอีรับผิดชอบทุกอย่าง
จู่ๆ เข้าก็ออกมาอย่างเร่งรีบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับฉู่หลิวเยว่เป็นแน่
หลังจากการเผชิญหน้าช่วงสั้นๆ เฉินอีก้าวไปข้างหน้าและผ่านเชียงหว่านโจวไป
“เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอ”
เส้นผมสีทองที่นุ่มสลวยตกลงมาปิดคิ้วของเขา
ภายใต้คืนอันมืดมิดจึงทำให้แทบแยกกันไม่ออก
เขาถามขึ้นทีละคำที่ละคำว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ”
เฉินอีเบื่อหน่ายที่จะใส่ใจและกำลังจะหันหลังจากไป แต่จู่ๆ เขาก็เห็นสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเชียงหว่านโจว!
เขาชะงักฝีเท้า บนใบหน้าที่ไร้อามรณ์มาโดยตลอด ซึ่งยากที่จะเผยให้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“เจ้า…”
ลมปราณของเชียงหว่านโจวลดลงเล็กน้อยและสัญลักษณ์นั่นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
…
ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงแสงไฟสว่างไสว
ประตูตำหนักปิดลง ความเงียบสงัดปกคลุมทุกทิศทาง
มีเพียงผู้อาวุโสอี้อวี่ที่ยืนอยู่ตรงบันไดหน้าประตู เขามองดูท้องฟ้าและตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงเป็นครั้งคราว ราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่างด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
ผ่านไปเวลานานจนประตูใหญ่ตำนักเปิดออกและมีร่างหนึ่งเดินออกมา
นั่นคือ อี้จาว
“ท่านประมุข”
ผู้อาวุโสอี้อวี่ก้าวไปข้างหน้าในทันที
“เป็นอย่างใดบ้าง”
อี้จาวส่ายหัว
“ยังไม่สำเร็จ”
“เดิมทีเรื่องนี้ก็ยากนัก หลายปีมานี้ตระกูลหงส์ทองคำของเราสามารถเปิดเส้นชีพจรขั้นที่แปดได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อท่านถึงเกณฑ์แล้ว และยังเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างมาก หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ บางทีครั้งหน้า…”
หากมีคนอื่นมาได้ยินคำพูดในตอนนี้จะต้องตื่นตกใจเป็นแน่
เพราะเส้นชีพจรขั้นแปดเป็นระดับตำนานของตระกูลหงส์ทองคำ!
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลหงส์ทองคำสามารถทำได้สำเร็จเพียงไม่เกินสามครั้งเท่านั้น!
ในเวลานี้อี้เจาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในตำหนักตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง และทุกคนในตระกูลล้วนคิดว่าเขาเพียงฝึกฝนตามปกติเท่านั้น สุดท้ายเขาก็อยู่ที่นี่บ่อยๆ ในวันปกติ
ยกเว้นผู้อาวุโสอี้อวี่ ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเขากำลังพยายามเปิดเส้นชีพจรขั้นที่แปด!
เพียงแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากพยายามมาอย่างหนักก็ยังล้มเหลวลงอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสอี้อวี่ อี้เจาจึงโบกมืออย่างไม่สนใจ
“เรื่องเหล่านี้ข้ารู้ทั้งหมด”
ในฐานะท่านประมุขและขณะเดียวกันทั้งตระกูลหงส์ทองคำเป็นกลุ่มที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในการเปิดเส้นชีพจรขั้นที่แปด และเขารู้ดีกว่าใครว่าการก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ยากเย็นเพียงใด!
ตั้งแต่วันที่เขาเป็นท่านประมุขจนถึงวันนี้ เขาหยุดอยู่ที่เส้นชีพจรขั้นที่เจ็ดมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
แท้จริงแล้วเดิมทีเขาไม่ได้คาดหวังอะไรนักกับเรื่องนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ไม่รู้เพราะเหตุ
เขารู้สึกเหมือนสัมผัสถึงช่องทางอะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดขึ้นอีก
หากทำได้สำเร็จแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
หากทำไม่สำเร็จ เพียงทุ่มเทกำลังทั้งหมดก็นับว่าคงไม่มีสิ่งใดให้เสียใจ
การมาถึงในระดับนี้ได้ ไม่เพียงต้องอาศัยความพยายามและความอดทนเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ความสามารถและโอกาสอีกด้วย
ดังนั้นอี้เจาจึงปล่อยวางกับเรื่องเช่นนี้
เมื่อเห็นอี้เจาเช่นนี้ผู้อาวุโสอี้อวี่จึงวางใจได้ลง
แต่จะพูดว่าไม่เสียใจก็ดูเป็นการหลอกลวง
อี้เจาเอ่ยถามขึ้น
ผู้อาวุโสอี้อวี่เก็บความคิดไป เมื่อถามถึงถวนจื่ออเขาก็หัวเราะขึ้นอย่างไม่เป็นตัวเอง
“ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ ซั่งกวนเยว่กับอี้เหวินเทาต่อสู้กันและอี้เหวินเทาพ่ายแพ้ย่อยยับ หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้นถวนจื่อก็เปิดชีพจรขั้นที่ห้าได้สำเร็จ”
เมื่อเร็วๆ นี้ข่าวเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเสิ่นซวี่ซึ่งยากที่จะไม่มีผู้ใดรู้
เพียงแต่อี้เจากำลังเก็บตัวอยู่ในช่วงเวลานี้ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้
เมื่อได้ยินเรื่องนี้แวบแรกอี้เจาทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ
“จริงเหรอ ทำไมถึงรวดเร็วเช่นนี้!”
ดูเหมือนจะผ่านไปไม่นานซึ่งเป็นช่วงที่ถวนจื่อเปิดชีพจรขั้นที่สามได้ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง
เดิมทีอี้เจายังคิดว่าถวนจื่อจะต้องรออีกสองสามปีถึงจะสามารถเปิดชีพจรที่ห้าได้
ไม่คิดว่า…
“ย่อมเป็นความจริง บัดนี้ซั่งกวนเยว่มีพลังแข็งแกร่งอย่างมาก กับถวนจื่อจึงนับว่าเป็นการร่วมมือกันจนบรรลุความสำเร็จร่วมกัน
อี้จาวยิ้มด้วยความดีใจและพูดความรู้สึกถอดถอนใจ
“เมื่อพูดขึ้นมาบรรพบุรุษนี่ช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ! ในตอนแรกพวกเราทุกคนไม่เห็นด้วยกับถวนจื่อที่ติดตามซั่งกวนเยว่ไป แต่บรรพบุรุษของเรายืนกรานที่จะทำเช่นนี้ ใครจะคิดว่า จะมาถึงวันนี้ได้อย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อี้อวี่ถอดถอนใจ ถวนจื่อติดตามสตรีผู้นั้นช่างเป็นทางเลือกที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่สง่างามเยียบเย็นของอี้เจา
แม้เพียงพริบตาเดียว แต่ช่างยากเย็นยิ่งนัก
“บรรพบุรุษนั้นคิดการณ์ไกล อีกทั้งถวนจื่อก็ฉลาดมากเช่นกัน มีผู้ฝึกฝนมากมายในโลกนี้ แต่มันกลับเป็นตัวเลือกสิ่งที่ดีสุดในครู่เดียว! เหมาะสมแล้วสายเลือดของตระกูลหงส์ทองคำของข้า!
ระหว่างที่พูดเขาภูมิใจอย่างยิ่ง
ผู้อาวุโสอี้อวี่เหลือบมองเขาอย่างเงียบๆ และไม่เกรงใจ ในตอนแรกเป็นใครกันที่พูดอะไรล้วนไม่เห็นด้วยที่ถวนจื่อทำพันธสัญญากับซั่งกวนเยว่ผู้นั้น จนถึงขั้นพูดจาบีบบังคับ
อี้เจาพูดพลางเปลี่ยนเรื่อง
“แต่นังหนูซั่งกวนเยว่… ก่อนหน้าพูดเสมอว่าเมื่อมีเวลาจะพาถวนจื่อกลับมาเยี่ยม เวลาผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว ทำไมยังไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย”
อี้เจาพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พวกนางเพิ่งยึดครองท่าเรือดอกท้อมาได้สักพักแล้วไม่ใช่หรือ ช่วงนี้น่าจะยุ่งมาก คาดว่าคงรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ถวนจื่อต้องคิดถึงพวกเรามากเหมือนกันใช่หรือไม่”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของอี้จาาวก็อ่อนลงมาก
หลังจากครุ่นคิดอยู่นานเขาก็ถอนหายใจด้วยเสียงต่ำๆ
“ถวนจื่อเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ มีความสามารถล้ำเลิศและฉลาดอย่างมาก การเปิดเส้นชีพจรขั้นที่แปดได้สำหรับคนในเผ่าเป็นเรื่องยากยิ่งนัก แต่สำหรับนางอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม แม้กระทั่ง…”
แม้กระทั่งสามารถไปถึงระดับสูงสุดก็เป็นไปได้อย่างแน่นอน!
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปพลางพูดขึ้น
“แย่แล้ว! ถวนจื่อเกิดเรื่องแล้ว!”